-กลุก กลุก- กลิ้งปากกาไปมา ผมกำลังรอช่วงเวลานี้อยู่

    ได้ทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว ทบทวนซ้ำไปหลายรอบ ใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกน้อยนิดไปเงียบๆ

    ยังคงมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่พยายามอยู่จนถึงที่สุด กำลังตวัดปากกาอยู่ราวกับว่ามันเกาะติดกับโต๊ะ

    …..เขียนได้มากขนาดนั้นเชียว? ถึงจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่จะนึกสงสัย

    และแล้ว เสียงกริ่งก็ดังขึ้น อาจารย์ผู้คุมก็ส่งเสียง

 

「เอาล่ะ พอแค่นั้นแหละ วางปากกาไว้บนโต๊ะซะ」

 

    ทันใดนั้น เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นมาทั่วห้องเรียน ผมเองก็นั่งตัวตรงขึ้น

    วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบกลางภาค พวกเราได้หลุดพ้นจากนรกการสอบแล้ว

 

「อา~ จบซักที」

「ใช่เลย อะไรหลายอย่างมันจบแล้ว ที่เข้าใจมีไม่ถึงครึ่งเลย」

 

    พออาจารย์ออกจากห้องไป คู่หูตะวันออก-ตะวันตกก็ทักขึ้นมา

 

「มาโร่คราวนี้เป็นไงบ้างล่ะ?」

「ของชั้นก็เหมือนเคยแหละ น่าจะอยู่ที่ 60-70 คะแนนล่ะมั้ง?」

 

    นิชิดะขมวดคิ้วให้กับคำตอบของผม

 

「ค่าเฉลี่ยของคราวนี้คือประมาณนั้นสินะ เกณฑ์ตกก็คงจะลบออกจากเฉลี่ยไป 20 ใช่ม่ะ? ชั้นเองอาจจะแย่วิชาเลขแล้วก็ได้」

「หยุดเอาคะแนนคนอื่นมาเป็นตัววัดได้ไหม? มันอาจจะมากกว่าค่าเฉลี่ยก็ได้」

 

    …..แต่ก็นะ มันก็คงเป็นค่าเฉลี่ยแหละ ด้วยบางเหตุผลคะแนนสอบของผมจะอยู่ในช่วงค่าเฉลี่ยมาตั้งแต่ชั้นประถมแล้ว ตอนม.ปลายนี้มันก็คงเป็นค่าเฉลี่ยอีก รู้สึกเกลียดตัวเองที่ออกจะธรรมดาแบบนั้น แต่ก็ไม่ทั้งหมด

 

「ก่อนอื่นก็ ไปหาอะไรเล่นกันซักที่เถอะ」

「มาโร่เองก็ไม่มีงานพิเศษตอนช่วงสอบใช่ไหมล่ะ?」

「โอ้ ตามคาดเลยวันนี้」

「อู้ว! งั้นไปที่ไหนดี? นานๆทีไปคาราโอเกะกันดีไหม」

 

    พวกเราที่คุยแบบนั้นกันอยู่ขณะที่กำลังจะออกจากห้องเรียน

 

「โอ๊ะ…..」

「อะ」

 

    เกือบจะชนกับคนที่กำลังจะเข้ามาในห้องเรียน…..มินามิยาม่าล่ะ ที่มือดูเปียกๆ คงจะไปเข้าห้องน้ำมา

    มินามิยาม่ารู้สึกถึงตัวตนของพวกเราแล้วเลิกคิ้วขึ้น พวกฮิกาชิโนะเองก็หยุดยิ้มไป

    …..กลายเป็นสถานการณ์ชวนอึดอัด

    ถ้านี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นแล้วล่ะก็ พวกเราก็คงหลีกทางให้ทันที หรือจะเป็นอีกด้านที่หลีกทางให้ มันไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง

    แต่พอรู้ตัวว่าอีกฝ่ายคือมินามิยาม่าแล้ว ด้วยบางเหตุผล พวกเราไม่อยากที่จะหลีกทางให้

    อีกด้านหนึ่ง มินามิยาม่าเองก็ไม่ยอมหลีกทางให้พวกเราเช่นกัน รู้สึกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    หมอนี่ในตอนนี้ได้ไปอยู่ในชนชั้นบนแล้ว ถ้าตามปกติของความสัมพันธ์เชิงอำนาจควรจะเป็นพวกเราที่ยอม

    ทว่าในหมู่พวกเรา ไม่ทำการยอมรับว่าหมอนี่จะมีอะไรที่ดีไปกว่าพวกเรา

    นั่นอาจจะเพราะความดื้อรั้นบางอย่างที่มิตรภาพของพวกตนถูกทิ้งไปอย่างง่ายดายก็เป็นได้

 

    —–คือว่านะ คุยกันแบบไม่ต้องเกรงใจก็ได้ ก็ผมกับพวกนายเอง แบบนั้นไง เข้าใจกันนะ?

 

    ครั้งหนึ่ง ตอนที่พวกเราชวนจับกลุ่มด้วยกัน คำพูดของหมอนี่ที่เคยพูดลอยขึ้นมาในหัว

    คู่หูตะวันออก-ตะวันตกก็คงจะจำได้ด้วยเหมือนกัน สีหน้าดูเคร่งเครียด

    พอเห็นพวกเราเป็นแบบนั้น มินามิยาม่าก็ฮึดจมูก

 

「…..มันเกะกะนะ」

「…..!」

 

    ขณะที่ชิดะกำลังจะพูดอะไรออกไปนั้น

 

「มินามิยาม่าคุง? เป็นอะไรเหรอ?」

 

    เสียงของโอโน่ดังมาจากด้านหลัง พอหันไปมองก็เจอกับพวกทาคาฮาชิจากกลุ่มเรียจูและเพื่อนร่วมชั้นอีกหลายคน แน่นอนว่า ชิโนมิยะซังกับ…..อุชิคุระซังก็อยู่ด้วย

 

「เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?」

 

    ทาคาฮาชิพร้อมรอยยิ้มสดใสถามขึ้น

 

「อา หรือว่าบางทีคงจะชวนมินามิยาม่าไปเที่ยวด้วยกันสินะ? โอ้ ขอโทษด้วย! พวกเราชวนไปก่อนหน้าแล้วล่ะ ของแบบนี้มันใครไวกว่าก็ได้ไปก่อนล่ะนะ เนอะ?」

「อา ไม่หรอก…..」

 

    ทาคาฮาชิยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วพูดขอโทษทำให้อารมณ์พวกเราผ่อนลง โดนโถมใส่ด้วยออร่าความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยมที่แตกต่างไปจากมินามิยาม่า

 

「ไม่ใช่แบบนั้นหรอก โทษทีโทษที จะไปเอากระเป๋ามาเดี๋ยวนี้แหละ」

 

    มินามิยาม่าพูดพลางหัวเราะ แล้วออกแรงดันพวกเราออกไป

    ฮิกาชิโนะกัดริมฝีปาก

    นี่ก็คือความสัมพันธ์เชิงอำนาจในห้องเรียนปัจจุบันของพวกเรา

    ในขณะที่พวกเรากำลังมองส่งพวกเรียจูอยู่นั้น ชิโนมิยะซังก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วพูดว่า

 

「อะ ใช่แล้ว ถ้าไม่ว่าอะไร มาโระจิเองก็มาด้วยกันไหมล่ะ? ที่คาราโอเกะ」

『!?』

 

    รู้สึกได้ว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปทั่วบริเวณนั้น ทุกๆคนเปิดตากว้างแล้วจ้องมองมาที่ผม

    นี่ผมไม่ใช่เอสเปอร์นะ…..บางที แต่ว่าตอนนี้ ผมสามารถได้ยินถึงสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคนได้อย่างแน่นอน

    นั่นก็คือ ทำไมชิโนมิยะซังถึงได้ชวนเจ้าม็อบนี่!? นั่นล่ะ

 

「อา ไม่ล่ะ…..」

 

    ลิ้นติดพันไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ทันที

    ในตอนนั้นโอโน่ก็ก้าวออกมาอยู่ระหว่างพวกเรา

 

「อาแหม แต่ว่า คิตา…..เอ คิตาจิม่าคุง? กับฮิกาชิดะคุงและนิชิโนะคุง เหมือนจะไปเที่ยวด้วยกันกับสมาชิกเขาเหมือนอย่างเคยนะ คิดว่าถ้าไปชวนแบบนั้นมันจะทำให้ลำบากใจรึเปล่า?」

「โอ๋? ถ้างั้นก็ไปทั้ง 3 คนเลยไหมล่ะ? ถ้าเช่าห้องเพิ่มเป็น 2 ก็น่าจะไปได้ทั้งหมด หรือว่าจะเปลี่ยนเป็นโบว์ลิ่งแทนดีไหม?」

 

    ด้วยข้อเสนอของทาคาฮาชิทำให้มินามิยาม่าและโอโน่เปลี่ยนสีหน้าไป

    สมาชิกคนอื่นๆเองก็สีหน้ากระตุก

    เพื่อนร่วมชั้นเองก็รู้ถึงความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างพวกเรากับมินามิยาม่า มันเป็นข้อเสนอที่ไม่มีใครต้องการ

    หรือว่าทาคาฮาชิจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา? เป็นไปได้ ทาคาฮาชิเคยยอมรับด้วยตัวเองกับคนอื่นๆมาแล้วว่าเขาเป็นพวกบ้าเบสบอล ให้ความรู้สึกว่าขาดความเข้าใจในความละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ภายในชั้นเรียน แต่ไหนแต่ไรแล้ว บางทีคงจะเพิ่งรู้สึกถึงตัวตนของมินามิยาม่าเอาตอนที่กลายเป็นนักผจญภัยเท่านั้นด้วยซ้ำ

    ก่อนจะถึงตอนนั้น มินามิยาม่าก็เป็นแค่เพื่อนร่วมชั้น A คงจะไม่ได้เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาเลย

    แต่ดูจากปฏิกริยาที่เกิด โอโน่เหมือนจะรู้ดี หมอนี่ค่อนข้างจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นทั้งชั้นเรียน

    อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบรับข้อเสนอนี้ เพราะทั้งกลุ่มจะถูกแยกไปใน 2 ห้องโดยไม่รู้ว่าใครจะไปห้องไหน แค่นั้นก็วุ่นกันหมดแล้ว สมาชิกคนอื่นก็พยายามส่งความรู้สึกให้บอกปฏิเสธไป ฮิกาชิโนะจึงตอบกลับไปอย่างลนลาน

 

「ม-ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่เป็นไร อื้ม ทุกคนไปสนุกกันตามสบายเถอะ」

「งั้นเหรอ? น่าเสียดายนะ…..」

 

    โอโน่อาศัยจังหวะที่ทาคาฮาชิยอมถอยไปอย่างรวดเร็ว

 

「งั้น พวกคิตาจิม่าคุงก็พูดมาเองแบบนั้นแล้ว น่าเสียดายนะคราวนี้」

「อ-อืม」

 

    โอโน่พยายามส่งสายตาไปรอบๆ เพื่อนร่วมชั้นจึงรีบพากันพยักหน้า

    ขณะที่เรื่องกำลังจะจบลงได้แล้ว จู่ๆชิโนมิยะซังก็พูดขึ้นมา

 

「คือว่านะ โอโน่」

「อ-อะไรเหรอ?」

 

    โอโน่ที่ถูกเรียกชื่อ ตอบกลับขณะที่รู้สึกสั่นคลอนเล็กน้อย

 

「คิดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่ใช่คิตาจิม่านะ แต่เป็นคิทากาว่าต่างหาก คิทากาว่า อุทามาโร่ ชื่อเดียวกับช่างวาดภาพสมัยเอโดะ ชื่อของเพื่อนร่วมชั้นก็จำไว้ดีๆหน่อยสิ」

「เอ….. อ-โอ้ นั่นสินะ ขอโทษด้วย คิทา…..กาว่าคุง」

「อ-โอ้…..ไม่ต้องใส่ใจหรอก」

「อืม…..งั้นไปกันเถอะ」

 

    ด้วยคำพูดนั้น ทาคาฮาชิกับเพื่อนๆก็ออกไปจากห้องเรียน

    เหลือเพียงแค่พวกเรา 3 คนอยู่ข้างหลัง

 

「โอ่ยโอ่ยโอ่ยโอ่ย! นี่มันหมายความว่ายังไงกัน มาโร่!」

「แกไปเป็นเพื่อนกับชิโนมิยะซังตั้งแต่เมื่อไร!」

 

    พวกฮิกาชิโนะเข้ามารุมทันที เข้ามาคว้าอกเสื้อไว้พร้อมด้วยสีหน้าดุดัน รู้สึกถึงแรงกดดันมากกว่าที่มีต่อมินามิยาม่าซะอีก ไม่สิรู้สึกถึงจิตสังหาร…..!

 

「ไม่รู้ไม่รู้ไม่รู้ไม่รู้! เอ๋ มันหมายความว่าไงเนี่ย!?」

 

    แม้จะพยายามแก้ตัวอย่างลนลาน แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อเลยซักนิด

 

「มันจะไปไม่รู้ได้ยังไง! ไม่งั้นแล้วทำไมชิโนมิยะซังถึงได้ชวนแกไปคาราโอเกะด้วยกันล่ะ? ห๋า?」

「ทำไมถึงมีแค่แกที่ได้แก้ชื่อให้ถูกด้วย! ขนาดของพวกเราเองยังผิดเลย」

「ไม่สิ เรื่องนั้นมัน…..อะ หรือว่าจะเป็นตอนนั้น?」

 

    เพียงแค่คำพูดนิดเดียวของผม ปิรันย่า 2 ตัวก็เข้ามาขย้ำอย่างรวดเร็ว

 

「ว่าแล้วมันต้องมีอะไรแน่! คายมาซะ! ไอ้คนทรยศ!」

「คนทรยศนี่มันก็…..ตอนที่ไปห้องพยาบาลเมื่อวันก่อน ชิโนมิยะซังเองก็พักอยู่ด้วย ก็เลยได้แนะนำตัวไปนิดหน่อย น่าจะจำได้ตอนนั้นล่ะมั้ง?」

「…..แค่นั้นรึ?」

「แค่นั้นแหละ」

 

    ด้วยคำพูดนั้นทำให้ทั้งคู่ปล่อยมือออกจากเสื้อผม

 

「ฟุมุ งั้นก็หมายความว่าแค่จำชื่อของมาโร่ได้แต่จำของพวกเราไม่ได้เท่านั้น?」

「ที่ชวนไปคาราโอเกะก็คงเพราะแค่บังเอิญนึกอยากชวน หรือไม่ก็อาจจะแค่คิดล้อเล่นด้วย? มีความเป็นไปได้อยู่แหะ」

「…..พูดก็พูดเถอะพวกแก ไม่ใช่ว่าชอบคุณพี่สาวกับโลลิรึไง」

 

    พอผมบ่นกลับไปขณะที่นวดคอ ทั้งคู่ก็ตอบกลับมาพร้อมกัน

 

『เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น』

「อีกอย่าง ตามหลักสามัญสำนึกแล้ว ไม่คิดว่าจะสามารถคบหากับโลลิได้หรอก ความรักในความเป็นจริงก็คงจะเป็นในช่วงอายุใกล้เคียงกัน」

「ในห้องนี้เองก็มีเด็กน่ารักอยู่เต็ม ตอนที่ได้เห็นชิโนมิยะซังครั้งแรกนี่ทำเอาสั่นไปหมด แบบ นี่มันชั้นเรียนไอดอลแล้ว」

「มาโร่ที่เป็นมนุษย์ดาวหน่มน้มเองก็เถอะ ถ้ามีสายสวยอกเล็กมาติดพันก็คงจะคบด้วยใช่ไหมล่ะ?」

「…..นั่นก็จริง!」

 

    พลังโน้มน้าวมหาศาลมาก

    นั่นสินะ ความชอบก็ส่วนความชอบ ความจริงก็ส่วนความจริง ถ้ามีสาวสวยที่สามารถไขว่คว้าได้ มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะตกหลุมรักเธอคนนั้น

 

「อยากมีแฟนจังน้า~」

 

    จู่ๆฮิกาชิโนะก็พูดขึ้นมา นิชิดะพยักหน้ารับอย่างหนักหน่วง

 

「เคยคิดว่าพอขึ้นม.ปลายแล้วจะได้แฟนเป็นเรื่องปกติ แต่…..ไม่รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นเลย มันหมายความยังไงกัน?」

「อา ชั้นเองก็คิดแบบนั้น แบบ คิดว่าพอโตขึ้นก็คงได้แต่งงานแล้วก็มีลูกเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปอยู่ล่ะก็…..」

「โอ่ย หยุดเลย」

 

    ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่แล้วก็นึกตาม

    แฟนเหรอ ก็จริงที่อยากมี จะว่าไปแล้ว มันเป็นเหตุผลอีกครึ่งหนึ่งที่อยากจะเป็นเรียจูเลย

    มีความหวังอยู่ลางๆว่าถ้าเกิดได้เป็นนักผจญภัยแล้ว จะสามารถหาแฟนสาวน่ารักๆพร้อมหน้าอกใหญ่ๆได้

    แม้แต่ขณะที่สู้กับนักเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลิน ตอนที่เฉียดใกล้กับความตาย ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่หายไป

    อันที่จริงตอนที่เกือบตาย ความต้องการที่จะเป็นเรียจูมันยิ่งรุนแรงมากขึ้น

    …..พอคิดว่าจะไม่ได้แฟนจนกว่าจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแล้วก็อดเศร้าไม่ได้

 

「คริสต์มาส จะทันไหมน้า」

 

    ผมพูดกระซิบขึ้นเบาๆ

 

 

 

 

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผมได้เป็นนักผจญภัยก็ผ่านไปแล้ว 1 เดือน

    ตัวผมที่ผ่านมาก็เข้าท้าทายดันเจี้ยนอยู่เรื่อยๆ แทบทุกวัน พิชิตเขาวงกตไปได้แล้วรวม 10 แห่ง

    นับว่ารวดเร็วมากจนแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาวงกตแห่งแรกจะใช้เวลาไปทั้งอาทิตย์ถึงจะพิชิตได้ แต่แน่นอนว่าของแบบนี้มันมีที่มาอยู่

    อย่างแรกคือ ในวันที่โรงเรียนเปิดเทอมอยู่ ผมจะเล็งเป้าไปที่เขาวงกตระดับต่ำๆที่สามารถพิชิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

    อย่างที่สองคือ ค้นคว้าข้อมูลแผนที่และรูปแบบของมอนสเตอร์ภายในเขาวงกตนั้นล่วงหน้า

    อย่างสุดท้ายที่สำคัญที่สุดเลยคือ จากการต่อสู้อันดุเดือดกับชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลิน ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราแน่นแฟ้น และช่วยให้เติบโตขึ้นอย่างมาก

 

    และนี่ก็คือสเตตัสของพวกเธอ ณ ตอนนี้

 

 

【เผ่า】ซาชิกิวาราชิ (เร็นกะ)

【พลังต่อสู้】310 (5UP!)

【ทักษะติดตัว】

    – โชคดีและโชคร้ายคือเชือกที่มัดรวมกันแน่น

    – ซ่อนแอบ

    – เวทมนตร์ฟื้นฟูพื้นฐาน

 

【ทักษะเรียนรู้】

    – ตัวตนที่ร่วงหล่น

    – ปิดกั้นจิตใจ -> จิตวิญญาณอิสระ (CHANGE!) : หัวใจที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยสิ่งใด, ค่าบวกต่อการเคลื่อนไหวอิสระ, ทนทานต่อสถานะผิดปกติทางจิต, ยกเลิกสกิลเหนี่ยวรั้งบางอย่าง

    – เวทมนตร์โจมตีพื้นฐาน

 

 

【เผ่า】กูล่า (เอลิซ่า)

【พลังต่อสู้】140 (30UP!)

【ทักษะติดตัว】

    – ศพมีชีวิต

    – พลังบ้าคลั่ง ณ ชุมนุมเพลิง

    – ผู้กินศพ

 

【ทักษะเรียนรู้】

    – เชื่อฟังเด็ดขาด

    – ทักษะทางเพศ

    – ฟีโรโมน

    – ลอบโจมตี

    – หัวใจกลวง -> หัวใจเยือกเย็น (CHANGE!) : จิตใจที่ระงับอารมณ์และไม่สูญเสียความสงบ, ทนทานต่อสถานะผิดปกติทางจิดอย่างมาก, เสริมทักษะความคิด

    – ปกป้อง (NEW!) : เคลื่อนย้ายไปหาและเข้าแทนที่พรรคพวกในทันที, ขณะใช้งาน พลังป้องกันและพลังชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    – เคลื่อนไหวแม่นยำ(NEW!) : ช่วยให้การเคลื่อนไหวมีความแม่นยำมากขึ้น

 

 

【เผ่า】คูซี่ (ยูคิ)

【พลังต่อสู้】175 (25UP!)

【ทักษะติดตัว】

    – สุนัขเฝ้ายามแห่งภูติ

    – พฤติกรรมรวมฝูง

 

【ทักษะเรียนรู้】

    – ภักดี : หลักฐานของการค้นพบผู้เป็นนายที่ต้องการรับใช้, เพิ่มค่าสเตตัสตามความภักดีที่มี

    – ผู้กล้าตัวน้อย : ไม่ทราบรายละเอียด

    – การตื่นขึ้นของสัญชาตญาณ : ปลดปล่อยสัญชาตญาณสัตว์ป่า, เพิ่มความสามารถด้านกายภาพโดยแลกกับความมีเหตุผล, ในขณะเดียวกันลดความทนทานต่อสถานะผิดปกติทางจิด

    – ตรวจจับตัวตน (NEW!) : เสริมประสาทสัมผัสทั้ง 5, ตรวจจับสกิลพรางตัวได้ง่ายขึ้น

 

 

    ทั้ง 3 ใบพัฒนาทั้งพลังต่อสู้และสกิลขึ้นมามาก

    ด้านเร็นกะ สกิลด้านลบอย่างปิดกั้นจิตใจซึ่งเกิดมาจากความไม่เชื่อใจต่อมาสเตอร์ ได้กลายมาเป็นจิตวิญญาณอิสระ

    ระยะห่างระหว่างเธอและมาสเตอร์ไม่มีอีกแล้ว

    เธอเริ่มมีส่วนร่วมในการต่อสู้ ทั้งหน้าที่การสนับสนุนในการต่อสู้และความสามารถที่ช่วยเพิ่มอัตราดรอปของได้เฉิดฉายขึ้น

   โดยเฉพาะการเพิ่มอัตราดรอปที่มากกว่าอัตราปกติถึง 3 เท่า ถ้าอัตราดรอปมันต่างกันขนาดนี้ จะไม่แปลกใจเลยถ้าซาชิกิวาราชิเป็นสิ่งที่มือโปรจำเป็นต้องมี แต่น่าแปลกว่ามันไม่ใช่

    ก็นะ อาจจะเพราะมันมีหลายสกิลที่เพิ่มอัตราดรอปอยู่ด้วยเหมือนกัน

 

    ต่อไปมาพูดถึงเอลิซ่ากัน

    ตัวเธอ หัวใจกลวงถูกเปลี่ยนเป็นหัวใจเยือกเย็น ในที่สุดเธอก็มีความรู้สึกเป็นของตัวเองแล้ว

    ถึงแม้ว่าความคิดจะยังช้าอยู่ แต่ก็สามารถคิดและกระทำการต่างๆได้ด้วยใจตัวเอง

    แต่อาจจะด้วยหัวใจที่กำลังเติบโตก็ดี หรืออาจจะด้วยลักษณะนิสัยของตัวเธอเองก็ดี เธอไม่ค่อยจะพูดมากนักและสีหน้าก็ไม่ค่อยเปลี่ยน

    กระนั้นแล้วก็แน่นอนว่าเธอมีความใส่ใจต่อพรรคพวกในแบบเงียบๆของเธอเองอยู่ จากสิ่งที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนของสกิลหัวใจเยือกเย็น เธอเองก็ได้สกิลสนับสนุนที่ชื่อปกป้องมา

    นี่คือสกิลที่ทำให้สามารถพุ่งไปแทนที่พรรคพวกที่เห็นในระยะสายตาได้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะเป็นอิทธิพลมาจากประสบการณ์ตอนที่ต่อสู้กับนักเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลิน

    พอรับรู้ถึงสกิลนี้ ทั้งเร็นกะและยูคิต่างมุ่งพากันพัฒนาความร่วมมือเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกเอลิซ่ามาปกป้อง เป็นผลส่งเสริมกันและกันได้อย่างดี

    และก็มีของเล็กๆน้อยๆ อาจจะเนื่องด้วยผลของสกิล ดวงตาที่แดงก่ำได้หายไปแล้ว ถือเป็นการเปลี่ยนที่ดีสำหรับผม

 

    สุดท้ายคือยูคิ

    สำหรับเธอคงจำเป็นต้องอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของสกิลจากการต่อสู้กับชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลิน

   อย่างแรก สกิลเชื่อฟังของเธอกลายเป็นสกิลภักดี, ขี้ขลาดกลายเป็นผู้กล้าตัวน้อย, และได้สกิลการตื่นขึ้นของสัญชาตญาณกับตรวจจับตัวตนเพิ่มมา

    ในพวกนี้ ภักดี, การตื่นขึ้นของสัญชาตญาณ, และตรวจจับตัวตน ทั้ง 3 สกิลสามารถหาข้อมูลจากกิลล์มาได้โดยง่าย แต่สำหรับผู้กล้าตัวน้อยที่ดูจะมีบทบาทอย่างมากในการต่อสู้นั้นกลับยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก

    ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถยกเลิกสกิลพิเศษบางอย่าง, เพิ่มประสิทธิภาพของสกิลตนเองและพรรคพวก แต่ความสามารถนั้นไม่คงที่ บางครั้งก็แสดงผลแต่บางครั้งก็ไม่ ยังไม่เข้าใจแก่นจริงๆของมัน

    วันหนึ่งจู่ๆก็หายไป…..มีรายงานมาว่าแบบนั้น ดูจะเป็นสกิลที่โด่งดังจากการที่เต็มไปด้วยปริศนาและความโรแมนซ์

    ในอีกด้านหนึ่ง ที่เหลืออีก 3 อย่างสามารถทำความเข้าใจได้อย่างดี

    ภักดี สามารถเพิ่มค่าสเตตัสขึ้นตามความภักดีต่อเจ้าของการ์ด

    ค่าสูงสุดอยู่ประมาณ 20% ดูเหมือนว่าถ้าหากทำอะไรที่บ่อนทำลายความภักดีที่มีให้ต่อเจ้าของแล้ว อาจทำให้สูญเสียสกิลไป

    จะต้องระมัดระวังไว้

 

    การตื่นขึ้นของสัญชาตญาณ เป็นสกิลที่มักจะได้โดยมอนสเตอร์ประเภทสัตว์ มีความสามารถง่ายๆคือเพิ่มความสามารถด้านกายภาพแลกกับความมีเหตุผล

    ในอีกด้านหนึ่ง ยิ่งสูญเสียความมีเหตุผลไปมากเท่าไหร่ ความทนทานต่อสถานะผิกปกติทางจิตก็ยิ่งลดต่ำลง เป็นสกิลที่ค่อนข้างสุดโต่ง

    …..แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ถ้าเลือกไปเขาวงกตที่ไม่มีการโจมตีทางจิต ก็สามารถใช้งานมันได้โดยไร้ข้อเสีย และดูเหมือนว่าผลมันถือว่าอยู่ในขอบเขตของผู้กล้าตัวน้อยด้วย ตัวยูคิดูจะไม่สูญเสียความมีเหตุผลไปแม้จะเสริมพลังไปจนสูงสุดก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม มันมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างการเพิ่มค่าสเตตัส กับ การเพิ่มความสามารถด้านกายภาพ นั่นก็คือ การเพิ่มค่าสเตตัสจะเพิ่มหลายอย่างแบบกว้างๆ ซึ่งรวมไปถึงพลังโจมตีเวทและการทนทานต่อสถานะผิดปกติ ในขณะที่การเพิ่มความสามารถด้านกายภาพจะจำกัดอยู่ที่ความสามารถทางร่างกาย เช่น ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและความเร็วในการตอบสนอง

 

    สุดท้าย ก็อยากจะพูดถึงตรวจจับตัวตนที่มีความสามารถทำให้ตรวจจับสกิลพรางตัวได้ง่ายขึ้นอยู่ แต่ว่า…..

    เมื่อทดสอบความสามารถในการตรวจจับกับเร็นกะโดยให้ใช้ซ่อนแอบแล้ว จะมีความรู้สึกเหมือนรับรู้ตำแหน่งที่เธออยู่ได้คร่าวๆ

    ดูเหมือนถ้าใช้เวลาก็สามารถตามเจอได้ด้วยการดมกลิ่น แต่ก็แน่นอนว่าถ้าเคลื่อนไหวด้วยความไว และยังล่องหนอยู่ก็ไม่สามารถตามเจอได้

    แต่ถึงอย่างนั้น กับศัตรูที่ไม่มีสกิลพรางตัว สามารถตรวจจับได้จากระยะห่างพอสมควร เพราะงั้นจึงคุ้มค่าที่จะฝึกฝนในฐานะหน่วยค้นหาศัตรูต่อไป

 

 

    เอาล่ะ ทั้งหมดนั้นก็คือที่เกี่ยวกับการเติบโตของการ์ด ต่อไปมาพูดถึงผลประกอบการของ 1 เดือนกัน

    ใน 1 เดือนที่ผ่านมานี้ ผมพิชิตเขาวงกตไปได้ 10 แห่ง รวมกับที่ได้ต่อสู้กับนักเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลินไปด้วย

    จำนวนชั้นรวมทั้งหมด 50 ชั้น หินเวทรางวัลสำหรับการพิชิตเขาวงกต คำนวณด้วยจำนวนชั้น x 10,000 เยน ดังนั้นผลตอบแทนของหินเวทคือ 500,000 เยน

    จากยอดนี้ แม้จะหักออกด้วยค่าข้อมูลเขาวงกตที่ซื้อจากกิลล์ไป 90,000 เยนก็จะยังอยู่ในโซนบวก 410,000 เยน

 

    ยิ่งกว่านั้น ยังมีของที่ได้จากการต่อสู้ระหว่างทางแบ่งเป็น หินเวทประมาณ 60,000 เยน, การ์ด 64 ใบ เนื่องจากไม่คิดจะใช้การ์ดแรงค์ F จึงขายไปทั้งหมดได้ประมาณ 70,000 เยน

    และอย่าเพิ่งลืม อุปกรณ์เวทที่ได้จากกล่องน่าผิดหวังด้วย

    ถึงอุปกรณ์เวทที่ได้จากเขาวงกตแรงค์ F จะไม่หวือหวา แต่ก็ดูถูกไม่ได้

 

    รายละเอียดตามด้านล่าง

 

    – โพชั่นระดับกลาง x1     100,000 เยน

    – โพชั่นระดับต่ำ x3     30,000 เยน

    – หินจุดไฟ x4     20,000 เยน

    – ถุงกลิ่น x2     2,000 เยน

 

    นอกจากนี้ ราคาซื้อของอุปกรณ์เวทตั้งแต่แรงค์ F – D คือ 10% ของราคาตลาด

    แน่นอนว่าตัดสินใจไม่ขาย เอามาไว้ใช้เอง

    โพชั่นระดับกลางสามารถรักษาอาการกระดูกหักหรือบาดแผลเล็กน้อยได้ทันที เหมาะสำหรับตอนฉุกเฉิน, ถุงกลิ่นเอาไว้ล่อพวกสัตว์ประหลาด, หินจุดไฟเมื่อปาออกไปจะมีพลังเทียบเท่าเวทโจมตีธาตุ 1 ครั้ง ใช้ได้ในกลยุทธทั่วๆไป, โพชั่นระดับต่ำไว้เป็นของขวัญให้แม่และน้องสาว

    แม้ว่าโพชั่นระดับต่ำที่สุดจะไร้ประโยชน์ในการรักษาบาดแผล แต่ก็สามารถทำให้ผิวพรรณสวยขึ้นได้โดยนำไปผสมน้ำแช่, หากโปรยบนมือจะช่วยลดความหยาบกร้านของมือได้, หากดื่มจะช่วยให้สภาพร่างกายดีขึ้นในทันที นับเป็นของฟุ่มเฟือยในชีวิตประจำวัน แต่ก็เป็นของมีประโยชน์ที่ควรมี

 

    แต่ว่า ผลรวมของพวกนี้พอนำมาเทียบกับของที่ได้จากขายเป่าขลุ่นแห่งฮาเมลินแล้วจะดูด้อยไปทันที

    ในการต่อสู้นั้น พวกเราได้รางวัลมา 2 อย่างคือ หินเวทสีแดง, และขลุ่ยยาว

    หินเวทสีแดง เป็นของพิเศษที่ได้รับเฉพาะจากอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์เท่านั้นสามารถขายได้ 1,000,000 เยน โดยเป็นการรวมรางวัลค่าหัวแล้ว แถมนี่เป็นแค่ราคาต่ำที่สุดสำหรับหินเวทของอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์ด้วย ทุกครั้งที่แรงค์เพิ่มขึ้น ราคาของมันจะพุ่งขึ้น 10 เท่า เพราะแบบนั้นการรับรู้ด้านการเงินแทบจะรวนไปหมด

    อีกอย่างที่เป็นขลุ่ยยาว อันนี้พอให้กิลล์ประเมินแล้ว มันคือ 【ขลุ่ยของฮาเมลิน】เป็นอุปกรณ์เวท

    ความสามารถคือเคลื่อนย้ายพื้นที่ แม้ว่าจะกำจัดการใช้งานภายในเขาวงกตเท่านั้น แต่ก็ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายไปยังชั้นที่เคยไปมาแล้วได้

    ถือเป็นแรร์ไอเทมในหมู่แรร์ไอเทม อุปกรณ์เวทสำหรับเคลื่อนย้ายพื้นที่แทบทั้งหมดนั้นเป็นแบบใช้แล้วทิ้งและใช้ได้แค่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของที่ได้จากชั้นลึกมากๆ ถูกแลกเปลี่ยนกันในราคามหาศาลในหมู่มือโปร

    ส่วนอุปกรณ์เวทที่สามารถใช้เคลื่อนย้ายพื้นที่ได้อย่างไม่จำกัดจำนวนครั้ง ในแต่ละประเทศก็มีเพียงไม่กี่อัน

    ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่แปลกหากเกิดการฆ่ากันเพื่อขโมยมัน

    ทว่านั่นไม่ใช่สำหรับของนี้ที่ได้มาจากอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์

    ของที่ได้จากอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์จะสามารถใช้ได้เฉพาะแค่กับผู้ที่จัดการพวกมันลงได้

    ข้อเท็จจริงนี้เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องหัวของผมเอาไว้เลย

    ถ้าเกิดเป็นอะไรที่ใครๆก็สามารถใช้ได้ล่ะก็ ผมคงต้องยอมปล่อยมันไปทันที

    ในตอนนี้ยังแค่พิชิตเขาวงกตแรงค์ F เท่านั้นจึงยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้ายังเป็นนักผจญภัยต่อไป จะต้องรู้สึกถึงประโยชน์ของมันแน่นอน นั่นเพราะเขาวงกตแรงค์สูงๆจะประกอบไปด้วยจำนวนชั้นที่เยอะ

    แล้วก็ ผมไม่อยากที่จะสร้างความขุ่นเคืองอะไรโดยใช่เหตุจากการเปิดเผยการมีอยู่ของขลุ่ยของฮาเมลินนี้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนขลุ่ยให้อยู่ในรูปแบบการ์ด

    ทางกิลล์มีให้บริการสำหรับแปลงสิ่งของให้กลายเป็นการ์ดอยู่ ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูง แต่ของขนาดใหญ่ที่คนไม่สามารถแบกได้ก็สามารถเก็บลงในการ์ดใบเดียวได้

    เมื่อของถูกทำให้เป็นการ์ดแล้ว สามารถนำออกมาและนำกลับเข้าการ์ดได้ไม่จำกัดครั้ง และนอกจากเจ้าของแล้วก็ไม่สามารถนำออกมาได้

    นอกจากจะใช้เพื่อขนย้ายเสบียงสำหรับการพิชิตเขาวงกตแล้ว มันยังใช้เพื่อเก็บของมีค่าอีกด้วย

    ผมจึงคิดจะใช้การ์ดเพื่อเก็บซ่อนตัวขลุ่ยของฮาเมลินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    สิ่งที่คำนวณพลาดก็คือ ราคาที่ต้องจ่ายมันลงเอยที่พอดี 1,000,000 เยน

    จากชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลินได้หินเวทราคา 1,000,000 เยน, และค่าแปลงการ์ดให้ขลุ่ยก็ราคา 1,000,000 เยน….. อาจเป็นแค่การคิดไปเอง แต่รู้สึกเหมือนเป็นเจตจำนงของอะไรซักอย่าง

 

    แรร์ไอเทมคือขลุ่ยของฮาเมลิน, เงินสด 540,000 เยน, และไอเทมใช้งานทั่วไป นี่คือผลลัพธ์ของเดือนที่ผ่านมา

    โอ้ แล้วก็มีอีกอย่าง

    ด้วยความสำเร็จเหล่านี้ทำให้สามารถเข้ารับการทดสอบเพื่อเลื่อนระดับเป็นนักผจญภัย 2 ดาวได้แล้ว

    เนื้อหาของการทดสอบคือการลุยเดี่ยวในเขาวงกตแรงค์ E ที่ทางกิลล์กำหนด

 

    แล้วพวกเราก็มาถึงเกินกว่าครึ่งทางแล้วด้วย

 

 

 

 

【Tips】แปลงการ์ด

    ทางกิลล์นักผจญภัยมีการให้บริการที่จะใช้อุปกรณ์เวทพิเศษในการแปลงของต่างๆให้เป็นการ์ด ไม่ว่าจะเป็นแหวนเล็กๆ หรือบ้านทั้งหลัง ด้วยค่าใช้จ่าย 1,000,000 เพียงครั้งเดียวก็สามารถแปลงให้เป็นการ์ดได้ สิ่งที่ถูกแปลงเป็นการ์ดนั้น เหมือนกับการ์ดมอนสเตอร์ที่มีเพียงเจ้าของที่เรียกใช้ได้ มันยังถูกใช้เพื่อปกป้องทรัพย์สิน สำหรับนักผจญภัยทั่วไปที่ไม่มีอุปกรณ์เวทสำหรับการเคลื่อนย้ายอย่างตัวเอก จะใช้บริการนี้เพื่อแปลงเสบียงจำนวนมากให้เป็นการ์ด เพื่อไว้สำรวจในชั้นลึกๆที่ต้องใช้เวลาข้ามคืน

    ยิ่งกว่านั้น มีกฏหมายระบุด้วยว่า หากได้รับอุปกรณ์เวทที่สามารถแปลงการ์ดได้ล่ะก็ จะต้องรายงานกับทางกิลล์และขายมัน หากพบว่าปกปิดมันไว้จะถูกจับในทันทีและถูกสอบสวนอย่างเข็มงวดโดยหน่วยรักษาความปลอดภัยสาธารณะ