ท้องฟ้าช่วงใกล้ค่ำในหน้าฝนดูเหมือนจะยังคงมีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเป็นแสงไฟจากบรรดาบ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง หรือเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ที่กระเจิงเหลืออยู่ในชั้นบรรยากาศ
นิโนะมิยะยืนรอฉันอยู่ที่ทางเข้าออกอาคารเรียน ไม่รู้เขารอมานานแค่ไหน เห็นเพียงแต่ว่าเขากำลังดูอะไรสักอย่างในโทรศัพท์และเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฉันเดินเข้าไปใกล้
“ขอโทษที่ให้รอนะ”
ฉันเอ่ยขอโทษเขาที่ปล่อยให้รอ
“ไม่เป็นไรหรอกคุณโอโตเมะ ผมเองก็เพิ่งมา”
นิโนะมิยะยิ้มให้ฉัน เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง แล้วคว้ากระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาสะพาย
“งั้นเราไปกันเลยมั้ย?”
“อืม”
ฉันกับนิโนะมิยะเดินออกจากโรงเรียนด้วยกัน รู้สึกได้ถึงสายตาจากนักเรียนหลายๆ คนที่กลับบ้านในตอนนั้นแต่ฉันไม่ได้สนใจเท่าใดนัก
พอเดินพ้นประตูโรงเรียนก็เริ่มรู้สึกว่าสายตาที่มองมาลดหายไปเยอะ แต่ก็ยังคงมีเหลืออยู่ นิโนะมิยะเองก็คงไม่ได้สนใจอะไร เขาเปิดประเด็นถึงสาเหตุที่ฉันชวนเขากลับบ้านพร้อมกันในวันนี้
“คุณโอโตเมะอยากคุยอะไรกับผมหรอ?”
“อืมม เรื่องข่าวลือของเราน่ะ แล้วก็เรื่องที่ฉันกับเซริถูกหาเรื่องน่ะ นิโนะมิยะคุงอาจจะพอรู้เรื่องมาบ้างแล้ว”
นิโนะมิยะร้องอ่อออกมา หันมาหาฉันด้วยสีหน้าขอโทษ เขาหยุดเดินทำให้ฉันต้องหยุดตาม แล้วเขาก็ก้มหัวลงขอโทษฉัน
“ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณโอโตเมะกับคุณอาโออิต้องเดือดร้อน”
“อ๊ะ ไม่ๆๆ ไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่ใช่ความผิดของนิโนะมิยะคุงหรอก”
ฉันที่ตกใจกับการขอโทษของนิโนะมิยะรีบอธิบายก่อนที่เขาจะเข้าใจผิดคิดว่าฉันเรียกเขามาต่อว่า แต่ประโยคต่อมาของเขาทำให้ฉันตกใจกว่าเก่าอีก
“เป็นความผิดของผมจริงๆ นั่นแหละ ผมเข้าหาคุณโอโตเมะเพราะมีจุดประสงค์ เรื่องข่าวลือต่างๆ ก็รู้แต่ไม่คิดจะแก้ข่าวให้ แถมเรื่องที่ถูกพวกผู้หญิงบางคนไม่ชอบผมก็ยังทำเป็นไม่สนใจอีก”
“เอ๊ะ!?”
“ทั้งหมดผมผิดเอง ถ้าคุณโอโตเมะจะโกรธผมก็ได้ แต่สาบานได้ว่าผมไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายกับคุณจริงๆ”
สมองฉันเกิดการลัดวงจรไปชั่วขณะ นิโนะมิยะยังก้มหัวให้ฉันอยู่ ยืนอึ้งอยู่อึดใจหนึ่งสมองก็กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
“ทำไมล่ะ?”
เป็นคำถามที่ถ้าคนอื่นมาได้ยินอาจจะงงว่าถามเรื่องอะไร แต่คงไม่ใช่ในสถานการณ์ตอนนี้ นิโนะมิยะสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองฉันตรงๆ แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ถึงแม้ว่าแสงสว่างจะไม่มากนักแต่ฉันพอจะมองออกว่าเขาหน้าแดง
“ผมสนใจคุณโอโตเมะน่ะ อย่าเพิ่งเข้าใจอะไรผิดนะ ผมสนใจคุณในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ผมอยากจะรู้จักคุณให้มากกว่านี้ เลยพยายามเข้าหาคุณ”
ฉันยืนทำความเข้าใจประโยคที่นิโนะมิยะเพิ่งพูดจบอยู่ครู่นิ่งแล้วก็รู้สึกว่าใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“นิโนะมิยะคุงชอบฉัน?”
ฉันถามนิโนะมิจะที่อยู่ตะลึงอยู่ตรงหน้า รู้สึกได้ว่าใจของตัวเองเต้นรัวเสียงดังซะจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก นิโนะมิยะหน้าแดงขึ้นกว่าเก่า มองออกเลยว่าเขาเขินมาก พูดตะกุกตะกัก แต่ก็พอจับใจความได้
“คะ..คือ..จะว่ายังไงดีล่ะ ผมคิดว่าผมชอบคุณโอโตเมะนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก คือผมไม่เคยเข้าหาผู้หญิงก่อนเลย มีแต่ผู้หญิงเข้ามา แต่ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนก็เคยรู้สึกดีกับผู้หญิงคนอื่น แต่พอเพื่อนบอกว่าชอบผู้หญิงคนนั้นอยู่ผมก็ตัดใจได้ เลยไม่คิดว่านั่นคือความรู้สึกชอบ แต่พอฟังเพื่อนๆ คุยกัน ผมก็รู้สึกว่าความรู้สึกของผมตอนนั้นน่าจะเรียกว่าชอบได้ ผมสับสนพอสมควรเลย แล้วตอนนี้ผมก็รู้สึกดีกับคุณโอโตเมะอีก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าแบบนี้เรียกว่าชอบได้ไหม เลยอยากจะลองรู้จักคุณให้มากขึ้นน่ะ”
นิโนะมิยะร่ายคำอธิบายยาวเหยียดที่ทำให้ฉันหัวใจเต้นแรงจนเกือบระเบิดออกมา รู้สึกได้เลยว่าใบหน้าร้อนผ่าว ถ้ามีกระจกตรงหน้าฉันคงเห็นตัวเองยืนหน้าแดงก่ำอยู่แน่ๆ
“ตอนที่มีข่าวลือกับคุณโอโตเมะนั่นผมแอบดีใจเล็กๆ ว่ามีคนจับคู่ให้พวกเราด้วย ตอนมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับคุณกับคุณอาโออิผมก็รู้สึกไม่ดีแต่ไม่ได้แก้ไขอะไรเพราะคิดว่าปล่อยให้คนเข้าใจว่าผมคบกับคุณโอโตเมะไปเลยก็ดีเหมือนกัน ผู้ชายคนอื่นจะได้ไม่มายุ่งกับคุณด้วย แต่กลายเป็นว่าเรื่องมันร้ายแรงกว่าที่คิด ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่เห็นแก่ตัวจนทำให้คุณกับเพื่อนต้องเจอปัญหา”
นิโนะมิยะก้มหัวขอโทษฉันอีกครั้ง ตัวฉันในตอนนี้ทั้งตื่นเต้น ทั้งเขิน ทั้งรู้สึกเคืองนิโนะมิยะ แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก
[‘เอาแล้วไง เกิดมาเพิ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้ ทีนี้จะทำไงดีล่ะ’]
ฉันยืนนิ่งไม่พูดอะไรเพราะทำอะไรไม่ถูก ส่วนนิโนะมิยะก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา บรรยากาศแปลกประหลาดชวนอึดอัดใจระหว่างเราดำเนินไปอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งจนฉันเริ่มใจเย็นลง
“เงยหน้าขึ้นก่อนนะนิโนะมิยะคุง”
ในที่สุดฉันก็เอ่ยคำพูดออกมาได้ ถึงใจจะเต้นรัวอยู่ แต่ไม่ได้ดังก้องหัวเหมือนเมื่อกี้ ตอนนี้คิดตามสถานการณ์ทันแล้ว
“อย่างแรก ฉันดีใจนะที่นิโนะมิยะคุงมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ฉันเองก็ชื่นชมนิโนะมิยะคุงเหมือนกัน”
ฉันเริ่มอธิบายสิ่งที่อยู่ในหัวให้นิโนะมิยะฟัง
“แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้มันทำให้ฉันกับเพื่อนลำบากน่ะ การที่นิโนะมิยะคุงเข้ามาสนิทกับฉันมันก็ดีนะ แต่เพราะแบบนั้นมันทำให้เกิดข่าวลือและความเข้าใจผิด เพราะงั้นแล้วฉันเลยคิดว่าช่วงนี้เราอยู่ห่างๆ กันสักพักน่าจะดีกว่า ฉันไม่ได้รังเกียจนิโนะมิยะนะ แต่ถ้าเราไม่แก้ข่าวหรือยืนยันความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ปัญหามันไม่จบง่ายๆ แน่”
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดตามคำแนะนำของรุ่นพี่คาวากุจิและเซริ ถึงเวลาจัดการสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว
“ยืนยันอีกครั้งว่าฉันดีใจจริงๆ ที่นิโนะมิยะมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน แต่ความรู้สึกที่ว่านั่นจะใช่ความชอบพอแบบคนรักหรือเปล่าตัวนิโนะมิยะคุงเองก็ยังไม่มั่นใจ เพราะงั้นฉันจะถือว่าตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา ถ้ามีคนถามฉันก็จะบอกแบบนั้น แล้วฉันก็หวังว่านิโนะมิยะคุงจะตอบเหมือนกันด้วย อย่างที่บอกว่าฉันไม่เคยรังเกียจนิโนะมิยะคุง ถ้าวันนึงนิโนะมิยะคุงเข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้วจริงๆ ถึงตอนนั้นถ้าอยากจะบอกฉัน ฉันก็ยินดีรับฟัง”
ฉันยิ้มให้นิโนะมิยะคุง น่าแปลกที่ตัวเองสามารถสรุปจบเรื่องราวได้ง่ายกว่าที่คิด ใจที่เต้นโครมครามรวมถึงความร้อนบนใบหน้าก็หายไปตอนไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นคนใจเย็นพูดเหตุเล่าผลได้ชัดถ้อยชัดคำซะงั้น เก่งมากเลยตัวฉัน
นิโนะมิยะยืนตัวตรงฟังฉันพูดจนจบ ท่าทางแบบนี้คงไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนในโรงเรียนเห็นแน่ๆ ดูแล้วก็น่ารักดีเหมือนกัน เหมือนเด็กที่ตั้งใจฟังคุณครูสอนหนังสือ
เรายืนมองหน้ากันสักพักหนึ่ง นิโนะมิยะก็ยิ้มออกมาบ้าง แม้จะมองไม่ชัดแต่ก็พอเห็นลางๆ ว่าเป็นยิ้มเชิงขอโทษ
“ขอบคุณคุณโอโตเมะมากนะ ผมผิดเองที่ไม่ชัดเจนแต่ก็ยังทำตัวเป็นคนเห็นแก่ตัวจนคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อนไปหมด ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
แล้วนิโนะมิยะก้มหัวขอโทษอีกครั้ง ฉันลนลานรีบบอกว่าไม่เป็นไรให้เขาเงยหน้าขึ้น คนอะไรชอบขอโทษขนาดนี้เลยหรอ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมจะบอกทุกคนว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่ผมจะไม่พูดถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณโอโตเมะให้ใครฟังจนกว่าจะมั่นใจในความรู้สึกนั้น แน่นอนว่าผมจะบอกคุณเป็นคนแรกแน่นอน”
พูดจบก็ยิ้มให้ฉัน เป็นยิ้มแบบทุกทีที่เคยเห็น รอยยิ้มที่สามารถล่อลวงหญิงสาวให้ลุ่มหลงได้ ขนาดฉันเองที่เห็นบ่อยจนเริ่มชินยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เข้าใจเลยว่าทำไมสาวๆ ในโรงเรียนถึงหลงใหลนิโนะมิยะกันนัก
เรายิ้มพยักหน้าให้กันแล้วเริ่มออกเดินต่อ เพราะหยุดคุยกันนานพอสมควร อีกอย่างเมื่อกี้เหมือนจะเห็นคนเดินตามมาอยู่ไกลๆ แต่ตอนนี้หายไปไหนแล้วไม่รู้
เดินกันมาจนถึงหน้าบ้านตัวเองแล้วฉันก็แอบถอนหายใจเบาๆ ถึงจะบอกว่าคุยเปิดใจกันแล้ว แต่การเดินกลับบ้านด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันเลยก็น่าอึดอัดพอสมควร
“ขอบคุณนะที่วันนี้ยอมมาคุยกัน แล้วก็ยังเดินมาส่งอีก”
ฉันหันมาบอกนิโนะมิยะก่อนจะเดินเข้าบ้าน เขายิ้มให้ฉัน บอกว่าไม่เป็นไร
“อันที่จริงการกลับบ้านกับคุณโอโตเมะก็เป็นอะไรที่น่ายินดีอยู่แล้ว เพราะงั้นคนที่ควรขอบคุณคือผมต่างหาก”
ฉันรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่หน้าอีกครั้งที่ได้ยินคำหยอดนั้น
[‘ไหนบอกว่าไม่แน่ใจว่าชอบฉันไหม แล้วไหงมาหยอดกันแบบนี้ล่ะเนี่ย นิโนะมิยะนี่อันตรายในหลายๆ ความหมายแฮะ ถ้าไม่อยากเสียใจต้องระวังตัวไว้สักหน่อยแล้วล่ะมั่ง’]
ฉันคิดแบบนั้นในใจแต่ไม่ได้แสดงออกให้เขารู้ หลังขอบคุณนิโนะมิยะอีกครั้งฉันก็เดินเข้าบ้าน จังหวะหันกลับ หางตาเหมือนจะเหลือบไปเห็นคนในเครื่องแบบนักเรียนกักคุรัน แต่พอหันไปมองดีๆ ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว
เปิดประตูเข้าบ้านเหมือนทุกที พี่ยังไม่กลับจากทำงาน บ้านจึงมืดสนิท ฉันเปิดไฟและเปลี่ยนรองเท้าก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อน้ำดื่ม
วันนี้เป็นวันที่รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยตั้งแต่เช้า ปัญหาที่เกิดจากความเข้าใจผิดเรื่องฉันกับนิโนะมิยะดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนี้คงต้องเตรียมตัวให้ดีพร้อมโต้กลับตลอดเวลา
อีกเรื่องคือเรื่องความรู้สึกของนิโนะมิยะที่มีให้ฉัน ถึงจะไม่ได้รังเกียจอะไรแถมออกจะดีใจที่มีคนมากึ่งๆ สารภาพรัก แต่ถ้าคิดดีๆความรู้สึกของนิโนะมิยะอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกแบบชายหญิงก็ได้ ดังนั้นจะคิดไปเองก่อนคงไม่ดี
ส่วนที่เป็นปัญหาคือดูเหมือนนิโนะมิยะจะเข้าหาฉันมากขึ้นหลังจากนี้ ถึงจะในฐานะเพื่อนก็อาจจะสร้างปัญหาเหมือนตอนนี้อีกก็ได้ แต่จะให้กีดกันนิโนะมิยะออกไปก็รู้สึกว่าไม่แฟร์กับเขา แถมความรู้สึกลึกๆ ก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจที่คนอื่นเข้ามาวุ่นวายกับความสัมพันธ์ของตนเองและเพื่อนๆ
[‘ให้ตายเถอะ แค่จะคบใครสักคนทำไมถึงวุ่นวายขนาดนี้ ขนาดเป็นเพื่อนยังวุ่นขนาดนี้ ถ้าเป็นแฟนจะขนาดไหน’]
ฉันคิดและสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วก็รู้สึกปวดหัวตุบๆ จึงตัดสินใจไปอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายร่างกาย ตั้งใจว่าคืนนี้คงต้องคุยกับเซริซะหน่อยแล้ว