“อื้ออออ….” 

           ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียงเหยียดแขนเหยียดขาจนสุด หลังจากบิดซ้ายบิดขวาจนรู้สึกว่าเริ่มหายง่วงแล้วจึงค่อยลุกจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำ เหลือบตาไปดูนาฬิกาก็เห็นว่าสายมากแล้ว เวลานี้พี่คงไปทำงานนานแล้ว

           หลังจากออกมาจากห้องน้ำฉันเดินตรงเข้าครัวเพื่อกินมื้อเช้าทันทีเนื่องจากสายมากแล้ว แม้จะเป็นวันหยุดแต่ฉันไม่ได้หยุดเพราะเมื่อคืนรุ่นพี่คาวากุจิส่งข้อความมาชวนไปซื้อของที่ห้างพอดีกับที่ฉันอยากได้หนังสือคู่มือเล่มใหม่อยู่พอดีจึงตอบตกลงไป นัดหมายเวลากันตอน 11 โมง ตอนนี้ 9 โมงกว่าแล้ว หักลบเวลาเดินทางก็ยังพอมีเวลาให้แต่เนื้อแต่งตัวอีกครึ่งชั่วโมง

           กินเสร็จก็ลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างแล้วคว่ำไว้ เช็ดไม้เช็ดมือเรียบร้อยแล้วก็ตรงขึ้นห้องไปแต่งตัว ชุดที่ต้องใส่เตรียมไว้เรียบร้อย เป็นเดรสกระโปรงยาวสีฟ้าที่พ่อกับแม่อวยนักอวยหนาว่าฉันใส่แล้วขึ้น จริงๆ ฉันไม่ได้สนใจคำอวยของพ่อแม่เท่าไรหรอก แต่ชุดนี้มันน่ารักจริงๆ ก็เลยเลือกมาใส่

           การที่วันนี้ต้องไปเดินห้างกับรุ่นพี่คาวากุจินั้นเป็นอะไรที่ต้องใส่ใจตัวเองค่อนข้างมาก ไม่งั้นจะถูกรัศมีความงามของรุ่นพี่กลบจนไร้ตัวตนเอาได้ ฉันนั่งส่องกระจกมองใบหน้าตัวเองที่เพิ่งล้างมา เป็นใบหน้าสดๆ ของผู้หญิงที่ว่ากันว่าหาดูยากมากเพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้ดูรวมถึงฉันด้วย แม้ปกติฉันจะไม่ได้แต่งหน้าทาปากแบบจัดเต็ม แต่อย่างน้อยๆ ก็มีรองพื้น เขียนคิ้ว ทาลิปบ้างเป็นธรรมดา แต่ดูท่าวันนี้คงแค่ธรรมดาไม่ได้ เพราะว่า…ใต้ตาคล้ำมาก

           “อ๊า… ยัยอามายะเอ้ยยย… ไหงปล่อยให้หน้าโทรมแบบนี้ได้” 

           อยากจะก่นด่าตัวเองให้รู้สึกสำนึกผิดให้มากกว่านี้ แต่คิดอีกทีก็รู้สึกเสียเวลาเปล่า เพราะสาเหตุที่หน้าโทรมก็เพราะว่านอนดึก และที่นอนดึกก็เพราะคุยกับเซริ และที่คุยกับเซริเพราะมันมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วน สรุปที่หน้าโทรมเพราะมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนนั่นเอง

           เรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ว่าก็คือเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ การพูดคุยกับนิโนะมิยะเพื่อหาทางออกตามคำแนะนำของเซริกับรุ่นพี่คาวากุจิ นำไปสู่เหตุการณ์การถูกกึ่งสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตของฉัน ตอนที่เล่าให้เซริฟังยัยนั่นถึงกับกรี๊ดเสียงดังจนต้องเอาหูฟังออกจากหู

           – “กรี๊ดดด… พูดจริง นิโนะมิยะคุงสารภาพรักกับเธอ? อ๊า…ฤดูใบไม้ผลิของเธอจะยาวนานเกินไปไหมเนี่ย อ๊ายยย… แล้วไงต่อๆ เล่ามาให้หมด เร็วๆ เข้า” –

           แล้วเราก็คุยกันยาว ยัยเซริซักโน่นถามนี่จนฉันรู้สึกว่าเธอสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของฉันมากกว่าพ่อแม่ฉันเองซะอีก เพราะตอนที่พ่อกับแม่เจอนิโนะมิยะยังไม่ถามอะไรฉันเลย

           สุดท้ายเราก็คุยกันจนดึก เซริยังคงเตือนให้ฉันระวังตัวเองเพราะหลังจากนี้นิโนะมิยะอาจจะเข้าหาฉันมากขึ้นและอาจจะนำปัญหาเข้ามามากขึ้นด้วย แถมเธอยังต่อว่านิโนะมิยะที่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนจนเกิดปัญหาแล้วยังไม่ช่วยกันแก้

           – “ฉันไม่ได้จะบอกว่านิโนะมิยะคุงโกหกหรอกนะ แต่คนที่ดูฮอตขนาดนั้นจะอินโนเซนต์ขนาดที่เธอเล่ามามันก็ดูแปลกๆ ใช่ไหมล่ะ ยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี แต่ถ้าเธอจะคบกับหมอนั่นจริงๆ ฉันก็ไม่ขัดขวางนะ ยินดีจะสนับสนุนด้วย” –

           – “อืมม…นี่ เซริ…” –

           – “หืมม” –

           – “เธอว่าฉันชอบนิโนะมิยะคุงหรือป่าว?” –

           – “ไหงเธอมาถามฉันล่ะ ความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่รึ?” –

           – “อืมม..” –

           – “แล้วตอนนี้รู้สึกยังไง คิดถึงเขาไหม อยากอยู่ใกล้ อยากเจอ นึกถึงเขาแล้วใจเต้นตึกตักหรือเปล่า?” –

           – “อืมมม…ไม่นะ เฉยๆ แต่ตอนที่เขาบอกฉันตอนที่เรากลับบ้านด้วยกัน ตอนนั้นใจเต้นแรงมาก ฉันว่าหน้าต้องแดงมากด้วยแน่ๆ” –

           – “ถ้าตอนนี้เธอไม่มีอาการแบบที่ฉันบอกก็แสดงว่าเธอไม่ได้หลงรักนิโนะมิยะคุงหรอก แต่ก็ไม่ได้รังเกียจเขาเพราะเธอไม่ได้รู้สึกไม่ดีตอนที่เขาบอกความรู้สึกกับเธอ” –

           – “งั้น ถ้าเกิดสมมติว่า สมมตินะ ถ้าเกิดนิโนะมิยะมาสารภาพรักจริงๆ ฉันควรทำยังไง?” –

           – “ยัยบ้า รอให้ถึงตอนนั้นก่อนค่อยว่ากัน ไหนเธอว่านิโนะมิยะยังไม่มั่นใจความรู้สึกของตนเองไง แล้วทำไมสมมติอะไรไปไกลขนาดนั้น” –

           – “ก็ฉันกลัวนินา นี่ขนาดเป็นเพื่อนยังเจอปัญหาขนาดนี้ ถ้าเขามาสารภาพรักจริงๆ ฉันควรจะทำยังไงดี คบกันแล้วจะเกิดปัญหาอะไรไหม หรือถ้าปฏิเสธไปจะเสียเพื่อนไปเลยหรือเปล่า แล้วปัญหาต่างๆ จะจบลงตรงไหน ตอนที่อาบน้ำฉันคิดเรื่องนี้ตลอดเลย” –

           – “ไม่ต้องกลัวหรอกอามายะ ไม่ว่าเธอจะเลือกแบบไหนหรือเจอปัญหาอะไร ฉันสนับสนุนเธอเต็มที่ ไว้ใจฉันได้เลย” –

           – “อื้มมม ขอบคุณนะเซริ” –

           บทสนทนาเมื่อคืนยังคงดำเนินต่อไปในความคิดของฉันจนกระทั่งฉันแต่งหน้าเสร็จ ฉันปรับอารมณ์เล็กน้อยไม่ให้ขุ่นมัวจนเกินไปรู้สึกได้ว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ หน่วงๆ ที่ท้องน้อย

           [ ‘อืมม ใกล้จะมาแล้วซินะ คงจะพรุ่งนี้’ ] 

           ฉันลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า หันซ้ายหมุนขวาอยู่หน้ากระจก รู้สึกได้ว่าอาการหน่วงที่ท้องเริ่มรุนแรงขึ้น

           “ใส่กันไว้ดีกว่า” 

           ฉันใช้เวลาเปลี่ยนชุดไม่ถึง 15 นาที จากนั้นจึงสะพายกระเป๋าใบเล็กสีขาวแล้วก้าวออกจากห้องนอน เดินลงบันไดไปที่หน้าประตู เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าหุ้มส้นสีขาวเข้ากับชุดแล้วจึงออกจากบ้าน

           “อ๊ะ ลืมลูกอม” 

           นึกได้ตอนที่เดินออกมาที่ถนนแล้ว แต่ขี้เกียจย้อนกลับไปเอา เลยปล่อยเลยตามเลย

           “แค่ครึ่งวัน ไม่เป็นไรหรอก” 

           แล้วการเดินทางไปช้อปปิ้งกับรุ่นพี่คาวากุจิก็เริ่มขึ้น แต่ทว่า…

           ทันทีที่เจอหน้ารุ่นพี่ตรงตำแหน่งนัดพบ ฉันก็พบว่ารุ่นพี่ไม่ได้มาคนเดียว

           “อรุณสวัสดิ์ค่ะรุ่นพี่ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณนาคาจิมะ” 

           ข้างๆ รุ่นพี่คาวากุจิคือคุณนาคาจิมะแฟนหนุ่มมาดขี้เล่นของรุ่นพี่ที่ฉันเคยเจอมาสองสามครั้ง ฉันทักทายทั้งสองคนแล้วก็หันไปหารุ่นพี่คาวากุจิ สงสัยเหลือเกินว่าเธอมาเดตกับแฟนแล้วจะชวนฉันมาทำไม

           “โทษทีนะอามายะ ทีแรกยูทากะก็พารุ่นน้องมาด้วย แต่หมอนั่นขอแยกตัวออกไปก่อนมาเจอฉันเมื่อกี้นี่เอง” 

           “อ่อค่ะ งั้นฉันขอแยกไปคนเดียวบ้างนะคะ” 

           ตอบไปแล้วจึงรู้สึกตัว ทั้งน้ำเสียงและรูปประโยคประชดประชันชัดเจนจนน่าตกใจ ปกติแล้วฉันจะไม่พูดแบบนี้กับรุ่นพี่คาวากุจิ แต่วันนี้มันไม่ปกตินี่นา 

           รุ่นพี่คาวากุจิหรี่ตามอง สายตาเฉียบคมเหมือนเสือกำลังมองเหยื่อทำเอาใจฉันเต้นแรงขึ้นมาเหมือนกับว่าตัวเองถูกมองความลับที่ซุกซ่อนไว้ออก

           “ขอโทษค่ะ” 

           ฉันขอโทษรุ่นพี่คาวากุจิที่เสียมารยาท แต่รุ่นพี่บอกว่าไม่ต้องใส่ใจ

           “มีเรื่องไม่สบายใจหรอ?” 

           “คะ!? …” 

           “หรือว่าไม่สบาย?” 

           “เอ่ออ…ก็ไม่เชิงค่ะ” 

           ฉันตอบรุ่นพี่เสียงเบาแล้วแอบชำเลืองมองไปที่คุณนาคาจิมะกลัวเขาจะมาได้ยินที่เราคุยกัน แต่ปรากฏว่าฉันคิดผิดไปไกล เพราะแฟนหนุ่มคนนั้นของรุ่นพี่คาวากุจิเดินเลี่ยงออกไปซะไกลตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

           รุ่นพี่คาวากุจิมองฉันขึ้นๆ ลงๆ เหมือนสำรวจความผิดปกติของสิ่งของแล้วก็พยักหน้าให้ฉัน

           “เข้าใจแล้ว งั้นไปกันเถอะ” 

           รุ่นพี่คาวากุจิตัดบทไปดื้อๆ เธอเดินไปหาแฟนหนุ่มของตนเอง มองจากภายนอกแล้วทั้งคู่ก็ดูเหมือนคู่รักวัยรุ่นธรรมดา แต่ถ้าหากบอกว่าคนหนึ่งมาจากโรงเรียนชั้นนำด้านวิชาการและกิจกรรมส่วนอีกคนมาจากโรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องนักเรียนนักเลง ฉันเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนที่ได้ยินเป็นครั้งแรกคงต้องหันมามองใหม่อีกรอบแน่ๆ

           ฉันเดินตามรุ่นพี่คาวากุจิกับคุณนาคาจิมะไป รู้สึกหน่วงที่ท้องน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่เตรียมตัวป้องกันไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน ไม่งั้นตอนที่อยู่บนรถไฟคงดูไม่จืดแน่ๆ

           วันเสาร์แบบนี้คนที่มาเที่ยวห้างเยอะกว่าวันปกติมาก แม้จะไม่เท่ากับวันอาทิตย์ที่เป็นวันครอบครัวแต่ปริมาณผู้คนตรงหน้าและโดยรอบก็ทำให้ฉันตาลายได้แล้ว

           เรา 3 คนเดินเข้าไปในห้างโดยมีเป้าหมายแรกคือร้านเสื้อผ้าผู้ชาย คุณนาคาจิมะอยากได้ชุดสำหรับใส่ไปงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ฉันจำได้ว่ารุ่นพี่คาวาคุจิขอบัตรเชิญจากฉันไป 3 ใบ และไปขอจากคนอื่นอีก 2 ใบ เพื่อให้รุ่นน้องของคุณนาคาจิมะ เป็นไปได้ว่ารุ่นน้องคนที่ชิ่งไปก่อนคงเป็นหนึ่งในนั้น

           ร้านที่เรา 3 คน เป็นร้านขนาดใหญ่เน้นเสื้อผ้าแบรนด์ แม้ราคาค่อนข้างสูงแต่ก็สมเหตุสมผลกับคุณภาพและการบริการ ฉันที่เดินตามทั้งสองเข้ามาได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก รุ่นพี่คาวากุจิหันมาเห็นเข้าก็บอกให้ฉันไปนั่งรอตรงจุดพักที่ร้านจัดไว้ให้ สุดท้ายฉันจึงได้แต่เดินตามพนักงานต้อนรับไปนั่งรอรุ่นพี่กับแฟนหนุ่มเลือกซื้อเสื้อผ้ากัน

           ฉันมองไปรอบๆ ร้านที่จัดตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบ มีการแบ่งโซนของเสื้อผ้าตามรูปแบบและลักษณะของเสื้อผ้า หน้าร้านกับบางจุดในร้านมีหุ่นที่สวมใส่เสื้อผ้าแนะนำที่เป็นแฟชั่นในช่วงนี้ ดูโดยรวมแล้วก็คล้ายๆ กับร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง สิ่งที่แตกต่างกันจนเห็นได้ชัดคงจะเป็นลูกค้า ลูกค้าที่เข้ามาในร้านส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมีทั้งมาคนเดียว มากับเพื่อน และบางส่วนมากับแฟนแบบรุ่นพี่คาวากุจิกับคุณนาคาจิมะ

           ว่าแล้วก็หันไปมองทางรุ่นพี่กับแฟนหนุ่มที่กำลังเลือกชุดกัน ทั้งคู่ดูเป็นปกติไม่มีอาการเก้อเขินแต่อย่างใด แต่ต่างจากบางคู่ที่ดูมีอาการเขินกันเองหรือเขินพนักงานที่ยืนแนะนำอยู่บ้าง คงจะมาเลือกซื้อของด้วยกันเป็นปกติ ภาพของรุ่นพี่คาวากุจิที่เดินเลือกเสื้อผ้าจากราวแขวนแล้วก็หยิบออกมาทาบกับตัวคุณนาคาจิมะสายตามองประเมินอยู่สักพักก็ยื่นให้คุณนาคาจิมะถือไว้คุณนาคาจิมะเองก็ไม่พูดว่าอะไรแค่ถือเดินตามไปยิ้มไปแบบนั้น

           [‘ถ้าฉันมีแฟนแล้วจะมีโมเมนต์แบบนี้บ้างไหมนะ’] 

           คำพูดของนิโนะมิยะเมื่อคืนดังขึ้นมาในหัว ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นยังไม่ทันพ้น 24 ชั่วโมง ลอยขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครั้ง

           [‘ถ้าเมื่อคืนนิโนะมิยะสารภาพรักกับฉันจริงๆ ฉันจะตอบเขาว่ายังไงนะ’] 

           จนตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อนิโนะมิยะนัก ถ้าบอกว่าชอบมันก็ชอบแหละ แต่ถ้าถามว่าอยากคบเป็นแฟนหรืออยากออกเดตด้วยกันไหมกลับรู้สึกเฉยๆ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พอเอาไปถามเซริที่มีประสบการณ์ตรงในด้านความรักมากกว่าเธอกลับบอกให้ไปค้นหาเอาเอง

           “โชคดีแล้วที่เขายังไม่สารภาพรักกันตรงๆไม่งั้นคงปวดหัวแน่ๆ” 

           ฉันพึมพำเบาๆ อยู่คนเดียว ขณะเดียวกันก็เห็นรุ่นพี่คาวากุจิกับคุณนาคาจิมะกำลังเดินไปลองชุดกันอยู่ ดูท่าแล้วคงอีกซักพัก ลองทักไปหาเซริดูดีกว่า คิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วแชทไปหาเซริทันที