“ขอโทษที่ให้รอนะโอโตเมะจัง เดี๋ยวจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนะ” 

           คุณนาคาจิมะเอ่ยขอโทษฉันที่นั่งเล่นโทรศัพ์อยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นรุ่นพี่คาวากุจิกับคุณนาคาจิมะยืนอยู่ ฉันรีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายแล้วลุกขึ้นยืน

           “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้รอนานอะไรขนาดนั้น อีกอย่างฉันเองก็อยากให้รุ่นพี่คาวากุจิช่วยเลือกหนังสือคู่มือให้ด้วยค่ะ ยังต้องรบกวนรุ่นพี่กับคุณนาคาจิมะอีกเยอะเลย” 

           ฉันเอ่ยความต้องการของตัวเองไปตรงๆ แล้วก็รู้สึกตกใจอีกครั้งที่ตัวเองกล้าพูดปฏิเสธแถมยังขอร้องอีกฝ่ายแบบตรงๆ ทั้งที่ไม่ได้สนิทกัน ถึงคำพูดจะไม่มีตรงไหนที่ดูไม่เหมาะไม่ควร แต่การพูดแบบนี้กับอีกฝ่ายที่ไม่ได้สนิทกันอาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบเอาได้

           “เป็นเด็กดีจังเลยน๊า รอพวกเราตั้งนานไม่มีบ่นสักคำ แถมยังขยันตั้งใจเรียนอีก ตรงข้ามกับมารุเลย หึ พูดแล้วก็ชักเคืองๆ แค่บอกว่ามากับแฟนก็ทิ้งกันซะแล้ว เป็นเด็กไม่ดีเลยเนาะ” 

           คุณนาคาจิมะชมฉันว่าเป็นเด็กดีขณะเดียวกันก็บ่นคนที่ชื่อมารุไปด้วย ไม่ได้สนใจเลยว่าคำพูดของฉันมันดูเหมาะสมหรือไม่ฉันเลยทำได้แค่ยืนยิ้มในหัวก็นึกค้นในความทรงจำไปด้วย

           [‘มารุหรอ…คุ้นๆ แฮะ มารุ…อ้อ รุ่นน้องคุณนาคาจิมะคนนั้นเอง อาคิยามะ เออิชิ งั้นคนที่มาด้วยวันนี้ก็คือหมอนั่นเองซินะ’]

           จะว่าไปหนก่อนเหมือนจะเคยเห็นเขาอยู่กับคุณนาคาจิมะที่สถานีรถไฟด้วย คงจะสนิทกับคุณนาคาจิมะน่าดู

           ฉันนึกภาพเด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งที่เคยเจอ การเจอกันสองครั้งก่อนจบลงด้วยการที่ฉันทำให้เขาไม่พอใจเพราะความเข้าใจผิด ส่วนครั้งล่าสุดเป็นฉันที่เห็นเขาอยู่ฝ่ายเดียว

           “ไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วกันนะ ศูนย์อาหารอยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือเท่าไร จะได้ดูหนังสือให้ยูทากะด้วย” 

           รุ่นพี่คาวากุจิพูดขัดความคิดของฉัน แล้วเรา 3 คนก็ออกจากร้านมุ่งตรงสู่ศูนย์อาหาร

           ระหว่างที่เดินเลือกว่าจะกินอะไรกันนั้นฉันก็เกิดความรู้สึกว่าไม่อยากกินขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไม่หิวนะ แค่ไม่อยากกิน พอรู้สึกตัวก็รู้แล้วว่าตัวเองกำลังอารมณ์แปรปรวนเพราะน้ำตาลตก

           “รู้แบบนี้น่าจะเอาลูกอมมาด้วย” 

           ฉันเดินพึมพำบ่นตัวเองไปเรื่อยแต่เสียงไม่ได้ดังมากนัก รุ่นพี่คาวากุจิกับคุณนาคาจิมะเลยไม่ได้ยิน

           ทุกครั้งที่มีรอบเดือน ฉันต้องกินของหวานๆ ไม่งั้นจะอารมณ์แปรปรวนง่าย ตอน ม.ต้น ถึงขนาดเคยโวยวายใส่อาจารย์ที่โรงเรียนจนเป็นที่โจษจันไปทั้งโรงเรียน สุดท้ายแม่ต้องไปอธิบายกับทางโรงเรียนและฉันก็ได้รับคำแนะนำให้อมลูกอมในช่วงเวลานั้นของเดือนมาตั้งแต่ตอนนั้น

           “โอโตเมะอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” 

           รุ่นพี่คาวากุจิหันมาถามฉันที่กำลังพึมพำกับตัวเอง ฉันจึงตอบไปว่าว่าอะไรก็ได้ ถึงใจจริงอยากจะไปกินของหวานๆ ให้อารมณ์ดี แต่ขืนบอกไปแบบนี้มีหวังโดนรุ่นพี่กับคุณนาคาจิมะมองแปลกๆ แน่ๆ สุดท้ายเรา 3 คนก็จบกันที่ร้านอาหารครอบครัวร้านเดิมที่เคยมากินเมื่อครั้งก่อน

           กว่าจะออกจากร้านอาหารมาก็เป็นเวลาบ่าย แม้ใจจะไม่อยากกินเท่าไรแต่ร่างกายก็ยังต้องการอาหารอยู่ดี ฉันสั่งเมนูเด็กง่ายๆแล้วกดน้ำอัดลมหวานๆ มาดื่ม ทั้งรุ่นพี่คาวากุจิและคุณแฟนหนุ่มมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ อย่างที่คิดแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจนัก รู้สึกอยากเลือกซื้อหนังสือแล้วรีบกลับบ้านแล้ว

           ตอนที่กำลังเดินไปร้านขายหนังสือกันนั่นเอง ไม่รู้ว่าเป็นคราวเคราะห์ของฉันหรืออย่างไรที่สายตาเผลอเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งหลับอยู่ตรงโซนพักผ่อนของห้าง แม้จะมองจากข้างหลังก็รู้ว่ากำลังหลับเพราะท่าทางสัปหงกนั่น

           “ง่วงขนาดนั้น ทำไมไม่กลับบ้านไปนอนนะ?” 

           ฉันพูดลอยๆ คนเดียว แต่คุณนาคาจิมะที่เดินคู่กับรุ่นพี่คาวากุจิกลับได้ยินด้วย 

           “หืมม? อะไรหรอ? โอโตเมะจัง” 

           คุณนาคาจิมะหันมาถามฉัน รุ่นพี่คาวากุจิเองก็หันมามองด้วย ฉันจึงชี้ไปที่ม้านั่งในโซนพักผ่อนตัวหนึ่งที่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งหลับอยู่

           “อ๊ะ!!…มารุนี่นา” 

           คุณนาคาจิมะพูดขึ้นมาแล้วทำท่าจะเดินไปหาเด็กหนุ่มที่น่าจะเป็นรุ่นน้องคนที่มาด้วยกันเมื่อเช้าแต่ถูกรุ่นพี่คาวากุจิห้ามไว้

           “เขานอนอยู่ ปล่อยเขาไปเถอะน่า เราไปซื้อหนังสือกันเถอะ” 

           รุ่นพี่คาวากุจิว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากตรงนั้น คุณนาคาจิมะเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากทำท่าเสียดาย ส่วนฉันพอรู้ว่านั่นคือใครก็รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

           [‘ถ้าลากหมอนั่นมาได้ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องอยู่เป็น กขค ของรุ่นพี่คนเดียวแล้วซิ หึๆ บังอาจมาหนีไปก่อนซะได้ ต้องลากมาลำบากด้วยกันให้ได้เลย’] 

           แผนร้ายก่อตัวขึ้นในใจและไวเท่าที่สมองสั่งการ ฉันชิงพูดก่อนที่คุณนาคาจิมะจะเดินตามรุ่นพี่ไป

           “เอ่ออ….ให้ฉันไปตามเขาให้ไหมคะ?” 

           “เอ๊ะ!? จะดีหรอ?” 

           “ดีซิคะ ไปหลายๆ คนจะได้สนุกไงคะ” 

           ฉันตอบคุณนาคาจิมะไปแบบนั้น แต่ในใจมีเป้าหมายอีกอย่างหนึ่ง คุณนาคาจิมะหันไปมองรุ่นพี่คาวากุจิที่กำลังมองมาที่ฉันอยู่ ยืนเงียบกันอึดใจนึงรุ่นพี่คาวากุจิจึงอนุญาต

           “ตามใจแล้วกัน” 

           “งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ร้านหนังสือชั้นถัดไปเลยนะคะ” 

           แล้วเรา 3 คนก็แยกกันไป 1 คู่ และ 1 คน

           ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆ รุ่นน้องของคุณนาคาจิมะจากด้านหลังเงียบๆ ชะโงกหน้าไปดูเล็กน้อยเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ผิดตัว ใช่นายอาคิยามะ เออิชิ จริงๆ ด้วย ขณะกำลังแอบพิจารณาท่าทางนั่งหลับของหมอนี่อยู่ จู่ๆ เขาก็สะดุ้งตื่นเพราะสัปหงก

           ทันทีที่ตื่นมาก็หันมองซ้ายมองขวา คงจะกลัวว่าจะมีใครเห็นกระมัง ไม่ได้รู้ตัวเลยหรือไงว่านั่งสัปหงกอยู่ตลอด ฉันรู้สึกตลกนิดหน่อยกับท่าทางของเขา แต่ในเมื่อตื่นแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องลากไปลำบากด้วยกันแล้ว

           ฉันขยับเข้าไปใกล้เขาอีกหน่อยเพื่อจะเรียกเขา กำลังจะเอ่ยปากเรียกอาคิยามะก็บิดขี้เกียจเหยียดแขนมาข้างหลังซะเต็มที่ มือขวาทิ่มเข้าหน้าอกของฉันเต็มๆ เสียงที่ออกจากปากฉันจึงเปลี่ยนจากชื่อเขาเป็นเสียงร้อง

           “ว๊ายย!!…” 

           “อุ้ยย?!…” 

           ฉันตกใจจนร้องเสียงดังออกมา ขาก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ มือสองข้างไขว้กันไว้ที่หน้าอก อารมณ์ ณ เวลานี้ทั้งตกใจ ทั้งโกรธ ทั้งอาย จ้องมองไปยังเจ้าของมือที่เพิ่งสัมผัสตำแหน่งซึ่งตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้สัมผัสมาก่อน

           เจ้าตัวเองก็ดูเหมือนจะตกใจที่อยู่ๆ ฉันมายืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินเสียงเขาอุทานเบาๆ ก่อนจะหันหน้ามามองฉันแต่เขาไม่ได้โวยวายอะไร มองฉันเหมือนกำลังสงสัยอะไรสักอย่าง

           “ลามก โรคจิต!” 

           เพราะเห็นเขาเงียบบวกกับอารมณ์ที่ผสมปนกันมั่วไปหมด ฉันเลยว่าเขาไปสองคำสั้นๆ เขาทำตาโตทันทีที่ฉันพูดจบ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นก้มหัวขอโทษฉัน

           “ขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ข้างหลัง ฉันไม่ได้ตั้งใจ” 

           เห็นผู้ชายที่เพิ่งจะโดนฉันว่าไปก้มหัวขอโทษแล้วความโกรธของฉันดูเหมือนจะลดลงไปนิดหน่อย แต่ความอายกลับเพิ่มขึ้นแทน ความรู้สึกร้อนเห่อขึ้นมาที่ใบหน้า ถ้ามีกระจกอยู่ตรงหน้าฉันคิดว่าหน้าของตัวเองในกระจกคงแดงก่ำไปแล้วแน่ๆ

           [‘รู้แล้วซินะ ต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าเมื่อกี้มือเขาไปโดนอะไรเข้า อ๊า!!!’] 

           ฉันกรีดร้องดังก้องอยู่ในใจ รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเพราะอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาผสมปนกันมั่วจนแยกไม่ออกแล้วตอนนี้ตัวเองโกรธหรือว่าอายหรือยังตกใจอยู่

           “เธอมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า หรือแค่บังเอิญผ่านมา?” 

           อาคิยามะถามขึ้นหลังจากขอโทษฉันแล้ว ขอบคุณพระเจ้า คำถามนี้ของเขากระตุ้นให้ฉันนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ฉันมายืนอยู่ตรงนี้และสมองเริ่มกลับมาสั่งการได้อีกครั้ง

           “อ๊ะ..ใช่ พวกรุ่นพี่ให้ฉันมาตามนาย พวกเรากำลังจะไปดูหนังสือคู่มือให้คุณนาคาจิมะกัน เห็นนายนั่งอยู่พวกรุ่นพี่เลยให้ฉันมาตาม… หะ..เอ้ยยย นายเปลี่ยนเรื่อง!!” 

           ตอนแรกไม่ทันคิดอะไรฉันก็ตอบเขาเพราะถูกถามขึ้นมากะทันหันบวกกับสมองที่เพิ่งกลับมาประมวลผลได้ยังทำงานไม่เต็มที่แต่พอเห็นสีหน้าโล่งอกของเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า นี่มันคือการเนียนเปลี่ยนเรื่องนินา..

           [‘บ้าเอ้ย..ไอ้ลามก โรคจิต วิตถาร…’] 

           ความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง ลืมสิ่งรอบข้าง ลืมมารยาทที่แม่อุตส่าห์อบรมสั่งสอนมา จังหวะนั้นฉันไม่สนใจอะไรแล้วยกมือชี้หน้าเขา

           “นายเห็นฉันเป็นคนโง่มากขนาดนั้นเลยหรือไงถึงได้หลอกถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง นี่หวังกลับเกลื่อนความผิดที่ตัวเองทำใช่ไหม อย่าคิดว่าฉันจะยอมปล่อยผ่านง่ายๆ นะ…” 

           “ฉันไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง แต่กำลังถามถึงสาเหตุที่เธอมายืนอยู่ข้างหลังฉันจนมันเกิดเรื่องต่างหาก ถ้ารู้ที่มาที่ไปเราก็จะได้คุยกันง่ายขึ้น หรือเธอไม่คิดแบบนั้น?” 

           อาคิยามะอธิบายเหตุผลให้ฉันฟัง แต่ฉันไม่มีอารมณ์ฟังคำอธิบายของเขานัก นึกระแวงคำพูดของเขาหรือว่าเขาจะมาหลอกอะไรอีก

           “แล้วพวกรุ่นพี่อยู่ไหนล่ะ?” 

           [‘นั่นไง จริงๆ ด้วย หมอนี่เห็นฉันโง่ซินะ ถึงได้พยายามหลอกฉันอีกรอบเนี่ย?’ ] 

           คราวนี้ฉันไม่พูดอะไรอีกทำแค่ยืนจ้องเขาเงียบๆ ความรู้สึกโกรธยังคงประทุอยู่ในใจ นี่คิดว่าฉันเป็นเด็กอนุบาลหรือไงถึงพยายามพูดจาหลอกล่อให้ไขว้เขวได้ถึง 2 ครั้ง 

           ฉันยืนจ้องเขา ส่วนเขาก็มองฉันกลับ ต่างฝ่ายต่างจ้องกันอยู่แบบนั้นจนฉันชักเริ่มกลัวว่าเขากำลังคิดจะทำไรไม่ดีกับฉันหรือเปล่า

           [‘หมอนี่คงไม่ได้วางแผนอะไรอยู่ใช่ไหม? ตอนนี้อยู่ในห้างนะ ทำอะไรมาฉันร้องแน่ๆ ฮึมม..’] 

           แต่สุดท้ายอาคิยามะก็ถอนหายใจออกมาทำสีหน้ายุ่งยากใจ แล้วก็พูดประโยคอธิบายที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า หรือที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากจะขอโทษฉันหรืออะไรกับฉันมากมาย ก็แค่ทำพอเป็นพิธีให้จบๆ กันไป แล้วการที่ฉันไม่พูดอะไรเลยในตอนนี้ก็ทำให้เขาลำบากใจด้วย

           “เธออยากให้ฉันทำยังไงหรอ? เธอก็รู้ว่าเมื่อกี้มันอุบัติเหตุและฉันไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเธอไม่โอเคก็บอกมาว่าอยากให้ฉันทำอะไร ถ้าทำได้ฉันก็ยินดีทำ” 

           [‘เอาจริงดิ? นี่ฉันผิดหรอ? ถ้าแค่ตอนแรกนายขอโทษมาทันที ถามไถ่ฉันนิดหน่อยตามมารยาท ไม่ต้องรอให้ฉันด่า ไม่ต้องมาหลอกฉันเพื่อเปลี่ยนเรื่อง แค่นั้นมันก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วนิ แล้วทำไมล่ะ?’] 

           ฉันยืนกัดฟันจ้องหน้าเขา ทำไมเรื่องราวมันถึงได้กลายเป็นเหมือนว่าฉันเป็นคนผิดล่ะ? ทำไมนายถึงพูดเหมือนฉันเป็นพวกเอาตัวเองไปเป็นเหยื่อล่อเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายแบบนั้น นี่ฉันผิดจริงๆ งั้นหรอ?

           ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเริ่มเกิดขึ้นมาในอก รู้สึกว่าหัวตาร้อนผะผ่าว น้ำในดวงตาก็ดูเหมือนกำลังจะก่อตัวขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็ก้มหัวต่ำให้ฉันอีกครั้ง 

           “ฉันขอโทษจริงๆ ที่ไม่ระวังจนเกิดปัญหาขึ้นมา หวังว่าเธอจะให้อภัยฉันด้วย” 

           พูดจบแล้วก็ยืดตัวขึ้น ไม่แม้แต่จะมองหน้าฉัน เขาหันหลังเดินจากไปทันที