[‘ห๊ะ จะไปแล้ว? จบแบบนี้หรอ?’]
ฉันยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก สมองพยายามประมวลผลเหตุการณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำไมสุดท้ายถึงจบลงแบบนี้ แล้วตอนแรกมันเริ่มมายังไงล่ะ..ฉันคิดแล้วก็นึกขึ้นได้
“อ๊ะ…ดะ..เดี๋ยวซิ รุ่นพี่ให้พวกเราไปเจอกันที่…”
ฉันออกวิ่งอ้อมม้านั่งที่กั้นเราทั้งคู่อยู่เมื่อครู่ พยายามร้องเรียกให้เขาหยุด แต่…
“เธอไปเองคนเดียวเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”
อาคิยามะพูดสวนฉันกลับมาทันทีโดยไม่หันกลับมา น้ำเสียงแม้จะไม่เย็นชาแต่ฉันก็รับรู้ได้ว่ามันมีความไม่พอใจปนอยู่ในนั้น
“นี่…”
ฉันยังเดินตามอาคิยามะต่อพร้อมกับเรียกให้หยุด พยายามเร่งฝีเท้าเพื่อให้ทันก้าวยาวๆ ของเขา
“นี่ ก็บอกให้รอก่อนไง ทำไมนายชอบเดินหนีฉันนักนะ”
ในที่สุดฉันก็ตามอาคิยามะทัน ฉันเอื้อมมือไปดึงแขนซ้ายเขาไว้เพราะเขาไม่มีท่าทางว่าจะหยุดเดินแล้วฉันก็ต้องเสียใจกับการกระทำนั้นของตัวเอง
เด็กผู้ชายตรงหน้าฉันตัวสูงกว่าฉันน่าจะ 1 ฟุตได้ ร่างสูงโปร่งแต่ไม่ใหญ่เทอะทะนั้นหันกลับมาจ้องฉันจากด้านบน ใบหน้าที่ปกติดูง่วงๆ นั่นตอนนี้ไม่มีเค้าความง่วงปนอยู่เลย มีแต่ความนิ่งเฉย ไม่แยแส ไม่ใส่ใจ ดวงตาที่ดูเหมือนจะหรี่ปรือที่เคยเห็นในครั้งก่อนๆ ตอนนี้กลับเฉียบคมวาววับไม่ต่างจากรุ่นพี่คาวากุจิเลย เพียงแต่ว่าความเฉียบคมตรงหน้าในตอนนี้เป็นความเฉียบคมที่ดูอันตราย ไม่น่าไว้วางใจ
ร่างกายฉันหยุดชะงักทันที ความรู้สึกไม่ปลอดภัยแล่นวาบเข้าสู่หัวใจ ฉันปล่อยมือที่ดึงแขนเขาไว้ในตอนแรกแล้วก้าวถอยไปในระยะที่เขาน่าจะเอื้อมไม่ถึง ใจหนึ่งก็อยากจะรีบหนีไป แต่อีกใจนึงก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดและเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ที่สำคัญคือเป้าหมายแรกเริ่มเดิมทีที่จะพาเขาไปร่วมชะตากรรม กขค พวกรุ่นพี่ยังไม่บรรลุ
“ต้องการอะไรอีก? ถ้าอยากจะแจ้งตำรวจว่าฉันอนาจารก็ได้ แล้วเราค่อยไปเคลียร์กันที่สถานีตำรวจ”
อาคิยามะพูดสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดถึงออกมาทันทีที่หันกลับมาทางฉัน น้ำเสียงคราวนี้ชัดเจนเลยว่าเขาไม่ใช่แค่ไม่พอใจแต่เขาโกรธฉันแล้ว และอาจจะโกรธมากด้วย ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อกี้เพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างทันทีทีนใด ฉันรู้สึกว่าตัวเองสั่นนิดๆ แต่มาขนาดนี้แล้วจะให้ถอยกลับก็คงไม่ได้ แถมเขายังพูดจาเหมือนฉันเป็นคนใจร้ายไร้เหตุผลแบบนั้น มันทั้งน่าโกรธและน่าน้อยใจนัก
“ฉันไม่ได้อยากทำอะไรแบบนั้นซะหน่อย คะ..แค่..รุ่นพี่ให้มาตามนาย พวกเขาไปรอเราที่ร้านหนังสือก่อนแล้ว ทะ..ทำไม นายต้องโกรธฉันขนาดนั้น?”
[‘อ่า…ไม่ใช่แค่แขนขาสั่น เสียงก็สั่นด้วย นี่ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย’]
ถึงจะกลัวยังไงแต่ลึกๆ ในใจฉันก็ไม่อยากจะยอมแพ้ แต่ก็ไม่รู้ว่าไม่อยากยอมแพ้ในเรื่องอะไร จะใช่เรื่องที่เขาไม่ตั้งใจขอโทษตั้งแต่ทีแรกไหม หรือจะเป็นเพราะเขาไม่ยอมไปหาพวกรุ่นพี่กับฉัน หรือว่าเป็นเพราะฉันไม่อยากให้เขามองฉันไปในทางลบกันแน่
“บอกพวกรุ่นพี่ว่าฉันไม่ค่อยสบาย กลับไปก่อนแล้ว”
อาคิยามะตัดบทสนทนา ท่าทางบ่งบอกว่าไม่อยากจะคุยกับฉันต่อ เสียงที่ติดแหบหน่อยๆ นั่นเย็นชาแต่ว่าไม่ไร้ความรู้สึก แม้จะเห็นอยู่เต็มตาว่าเขาโกรธ ไม่อยากคุย และหันหลังกำลังจะก้าวเดิน แต่ฉันก็ยังไม่ยอมถอย
“เดี๋ยววว…”
ความกล้าเฮือกสุดท้ายสูญสลายหายไปพร้อมๆ กับเสียงที่เบาลงจนเงียบไปของตัวฉันเอง ตอนนี้ฉันไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาเพราะว่าเมื่อกี้ตอนที่เขาหันกลับมาสบตากัน แวบนึงฉันคิดว่าตัวเองคงได้ลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้ว
น่ากลัว…
น่าจะเป็นคำสั้นๆ คำนี้แหละที่บรรยายแววตาของเขาเมื่อกี้นี้ได้ตรงที่สุดแล้ว แค่แวบเดียวที่สบตากันฉันก็รู้ว่าตัวเองทำพลาดอย่างมหันต์ที่ไปรั้งเขาไว้ แต่สำนึกเสียใจตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ก้มหน้าลงและยืนกลั้นใจอยู่แบบนั้น
“ขะ..ขอโทษ..”
ในที่สุดก็กลั้นใจพูดออกไปจนได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ฉันเลยเงยหน้ามองเขานิดนึง นิดนึงจริงๆ
[‘ยังโกรธอยู่ ทำไงดี? ขอโทษแล้วนินา หรือว่าไม่ได้ยิน? จะเอาไงต่อ? ขอโทษอีกดีไหม? เดี๋ยวนะ..จริงๆ ฉันเป็นผู้เสียหายนิแล้วทำไมต้องขอโทษล่ะ?แต่ถ้าเขาโกรธจนลงไม้ลงมือขึ้นมาจะทำยังไง ซึดด…เอาไงดี? ทำไงดี? ฮืออ…ทำไงดีล่ะเนี่ย]
ตัวฉันที่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนกระสับกระส่ายไปมา สมองดูเหมือนจะลัดวงจรไปแล้ว กลัวก็กลัว โกรธก็โกรธ น้อยใจก็น้อยใจ ทำไมสุดท้ายฉันถึงได้เป็นคนผิดแล้วต้องมาขอโทษกันนะ เขาซิที่ต้องมาขอโทษฉัน เขาซิต้องมาง้อฉัน
โดยไม่ที่ไม่รู้ตัว ผู้ชายตรงหน้าก็ก้มลงมาหาฉันที่ยืนก้มหน้าอยู่ ฉันเงยหน้ามองเขาแต่กลับเห็นหน้าเขาไม่ชัดซะแล้ว
ฮือออ…จะไหลแล้ว
ฉันกระพริบตาปริบๆ พยายามสุดความสามารถที่จะไล่น้ำตาที่พยายามจะเอ่อออกมาจากดวงตา เงยหน้ามองอาคิยามะเพราะถ้าขืนก้มหน้าลงตอนนี้คงมีน้ำตาร่วงต่อหน้าคนทั้งห้างแน่ๆ
“ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ?”
[‘เขาถามฉันใช่ไหมนะ? ฮึบบ.. อืมม..ตรงนี้ก็มีฉันคนเดียวนินาแถมเขาก็กำลังมองฉันอยู่ด้วย คงจะถามฉันนั่นแหละ ฮึบบ..’]
ฉันพยักหน้า ไม่กล้าจะตอบอะไรเขา ไม่ใช่กลัวว่าจะทำเขาโกรธอีก แต่กลัวว่าพูดแล้วจะหยุดไม่ได้จนเผลอระบายความอัดอั้นตันใจออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ฉันพยายามฮึบไว้
ฟู่…เสียงถอนหายใจดังขึ้นดึงความสนใจฉันไป อาคิยามะกำลังอยู่ในท่าก้มตัวเล็กน้อยให้ระดับสายตาของตัวเองลงมาอยู่ในระดับสายตาของฉัน เขาทำสีหน้าเหมือนคนจนใจที่ทำอะไรไม่ถูก แล้วเสียงอ่อนโยนก็ดังออกมาจากริมฝีปากหนานั่น ริมผีปากเดียวกันกับที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะเปล่งน้ำเสียงเย็นชาน่ากลัว
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้โกรธหรอกนะ หน้าตาฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก”
[‘เขาว่าไม่ได้โกรธแหละ ว่าแบบนั้น อ่า…เชื่อก็บ้าแล้ว!! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าโกรธแล้วยังจะมาหลอกฉันว่าไม่โกรธ ถ้าก่อนหน้านี้ยอมฟังฉันบ้างนายจะโกรธฉันขนาดนี้ไหม โอ้ยยย…ไม่ไหวแล้วเว้ยยย..!!’]
“ก็นายไม่ยอมฟังฉันบ้างเลย ครั้งก่อนนายก็ไม่ฟัง หนนี้ก็ยังไม่ยอมฟังอีก เอาแต่เดินหนีตลอดเลย…”
ฉันระเบิดคำบ่นออกมายืดยาวเป็นชุด พอได้พูดก็พูดทุกอย่างในหัวออกมาจนหมด ขนมาแม้กระทั่งเหตุการณ์เก่าแก่ที่ผ่านมาแล้ว
“ฉันบอกแล้วว่ารุ่นพี่ให้มาตามนายไป นายก็จะกลับท่าเดียว ทิ้งให้ฉันไปเป็น กขค พวกรุ่นอยู่คนเดียวอีกหรือไง มันอึดอัดนะ อย่างน้อยถ้านายไปด้วยฉันจะได้ไม่อึดอัดมากขนาดนั้น นายรู้ไหม ฉันต้องไปนั่งดูคู่รักนั่นเลือกเสื้อผ้านานเป็นชั่วโมง ไอ้นั่งรอน่ะไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ฉันน่ะยังโสด นายเข้าใจไหม นายคิดว่าการให้คนโสดที่ชีวิตนี้ยังไม่เคยมีแฟนไปนั่งดูคู่รักที่รักกันปานจะกลืนกินทำกิจกรรมด้วยกัน นายว่ามันไม่โหดร้ายต่อคนโสดอย่างฉันไปหน่อยหรอ… “
ร่ายยาวชนิดที่ตัวเองยังงงว่าหายใจทันได้ยังไง แต่ความในใจก็เหมือนจะยังเอ่อร้นอยู่ อยากจะบ่นต่ออีกสักหน่อยแต่อาคิยามะเบรกเอาไว้ซะก่อน
“ตกลงๆ ไปก็ไป เธอหยุดโวยวายก่อนนะ”
“อะไร นายว่าใครโวยวาย พูดให้ดีๆ นะ”
ไม่รู้ความกล้ามาจากไหนอีก หรืออาจจะเป็นเพราะลืมตัวจากการบ่นระบายออกมาประกอบกับอีกฝ่ายมีท่าทีประนีประนอมยอมโอนอ่อนตาม ฉันเถียงเขากลับไปแบบไม่เกรงกลัว
“อ่าๆๆ เข้าใจแล้วๆ ไม่โวยวายๆ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเค้กขอโทษแล้วกันนะ ตอนนี้ไปกันเถอะ”
“ห๊ะ… นี่จะปิดปากฉันด้วยขนมงั้นเหรอ อย่าคิดว่าตัวโตกว่าแล้วจะมองฉันเป็นเด็กได้นะ ฉัน…”
“ถ้ายังไม่หยุดฉันจะจูบละนะ”
อุ๊ฟ!!…
ฉันยกมือปิดปากที่กำลังเถียงทันที ความกล้าที่มีเมื่อกี้หายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ ได้แต่ยืนดูอาคิยามะเดินเข้ามาหาโดยทำอะไรไม่ถูก
เขาเดินเข้ามาแค่ก้าวเดียวแล้วก็ก้มหน้าลงมา ศีรษะของเราอยู่ในระดับเดียวกัน ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้…ใกล้มากจนฉันเห็นตัวเองที่เอามือปิดปากสะท้อนอยู่ในดวงตาที่โค้งขึ้นนิดๆ ของเขา
“หึๆๆ ล้อเล่นน่า เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
[‘เอ๊ะ… ไป? ไปไหน??’]
พูดว่าไป อาคิยามะก็หันหลังกลับแล้วออกเดินทันที ทำไมคนๆ นี้ถึงชอบหันหลังเดินหนีฉันซะจริงนะ
“ดะ..เดี๋ยวซิ นายจะไปไหน?”
ฉันร้องเรียกเขาที่ออกเดินไปก่อนส่วนตัวเองรีบเดินตามไป เขาก้าวไป 3 ก้าว ตัวเองต้องก้าวถึง 5 ก้าว บ้าจริง!!
“ไปกินขนมหวานกัน หรือว่าเธอไม่ชอบ?”
เขาหันมายิ้มตอบฉัน ขายาวๆ นั่นดูเหมือนจะก้าวสั้นและจังหวะช้าลงจนฉันเดินมาทัน ใบหน้าด้านข้างนั่นยังอมยิ้มอยู่นิดๆ ดูน่ามองอยู่ไม่น้อย เอ๊ะ!?!…
“ชะ..ชอบ…แต่รุ่นพี่จะรอ…”
เพราะเผลอคิดอะไรแปลกๆ เลยพูดจาตะกุกตะกัก แต่ดูท่าแล้วเขาจะไม่ได้สนใจอะไร ฉันจึงทำเนียนกลบเกลื่อนไปได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันบอกรุ่นพี่เอง เธอเองก็ไม่อยากไปเป็น กขค พวกเขาใช่ไหมล่ะ ฉันก็เหมือนกัน เพราะงั้นฉันถึงได้หนีออกมานี่ไง”
พูดไปเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดโทรหาใครสักคนไปด้วย พูดจบปุ๊บอีกฝั่งของสายโทรศัพท์ก็ตอบกลับมา
“รุ่นพี่ครับ ผมพาโอโตเมะไปกินเค้กนะครับ…ครับ ผมทำเธอโกรธนิดหน่อยน่ะ…ครับๆๆ เข้าใจแล้วครับ…”
อ่อออ..โทรหาคุณนาคาจิมะนี่เอง หมอนี่ก็กล้าแฮะ ปฏิเสธคุณนาคาจิมะคนนั้นตรงๆ ได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด
เดินไปตามทางเดินที่นำเราไปสู่โซนอาหารที่ฉันกับพวกรุ่นพี่เพิ่งเดินออกมา แม้จะเป็นเส้นทางเดียวกันแต่พอเดินกับบุคคลที่ต่างกันความรู้สึกก็ต่างกัน ก่อนหน้านี้ที่เดินกับพวกรุ่นพี่รู้สึกแค่ว่าอยากรีบๆ ซื้อของที่ต้องการแล้วรีบๆ กลับบ้าน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสงสัยว่าผู้ชายที่เดินคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ฉันตอนนี้จริงๆ แล้วเป็นคนแบบไหนกันแน่
ก่อนหน้านี้เพราะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เลยไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนเท่าไร แต่พอมองดูดีๆ แล้วเขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างดีคนนึงเป็นคนตัวสูงใหญ่ ไม่ซิ..ต้องเรียกว่าสูงโปร่งหรือเปล่า ตัวเขาสูงมาก ฉันที่เดินอยู่ข้างๆ อยู่แค่ระดับไหล่เขาเท่านั้น รูปร่างสมส่วนไม่ใหญ่เทอะทะ สังเกตจากแขนข้างที่ถือโทรศัพท์นั่นดูเหมือนจะมีกล้ามด้วย คงจะเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายประจำแน่ๆ
ใบหน้ามีความคมเข้มต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ที่ฉันเคยเห็นบวกกับสีผิวที่ไม่ขาวเหมือนคนทั่วไปๆ แต่ออกไปทางน้ำตาลอ่อนๆ คล้ายสีน้ำผึ้งเหมือนพวกนักกีฬากลางแจ้งทำให้เวลาที่ทำหน้านิ่งๆ แล้วดูดุ ให้ความรู้สึกน่ากลัวนิดๆ แต่ก็ช่วยส่งให้บุคลิกดูแมนสมชายมากขึ้น
“ครับ เดี๋ยวส่งถึงบ้านเลย…เอ๋ เย็นนี้เล่นบาสอีกหรอ…แต่รองเท้าอยู่ที่บ้านรุ่นพี่นะครับ…ทราบแล้วครับ อยู่ที่เดิมนะครับ…ครับๆ เดี๋ยวเอาไปให้ เจอกันที่สนามเวลาเดิมนะครับ…หืมม ชวนไปทำไมครับ…ครับ ผมจะลองถามดู…ครับๆ”
[‘เล่นบาสหรอ ว่าแล้วเชียว’]
เป็นเพราะมัวแต่มองเขาแล้วเผลอคิดไปเรื่องอื่น ตอนที่เขาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วหันมา ฉันจึงโดนจับได้คาหนังคาเขาว่าแอบมองเขาอยู่
“ไม่ต้องห่วง รุ่นพี่กับคุณคาวากุจิไม่ว่าอะไรหรอก แค่กำชับให้ฉันดูแลเธอให้ดีก็แค่นั้น”
อาคิยามะบอกฉันแบบนั้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้ความรู้สึกว่าตัวฉันเองกลายเป็นเด็กยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็เอาเถอะ เขาไม่ติดใจที่ฉันมองเขาอยู่นานสองนานก็พอแล้ว
ฉันพยักหน้าแสดงว่ารับรู้แล้วแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบไปแค่เดินไปเงียบๆ ตอนนี้อารมณ์ของตัวเองสงบลงมากแล้วแต่ก็กลัวว่าถ้ามีอะไรมากระตุ้นก็จะแปรปรวนขึ้นมาอีก ถ้าได้ของหวานๆ มากินเพิ่มก็คงดีขึ้นกว่านี้ ทำไมการมีประจำเดือนของฉันถึงได้ลำบากลำบนขนาดนี้นะ อ๊า…ว่าแล้วก็ปวดท้องขึ้นมาเลย
“ว่าแต่เธออยากกินอะไร?”
อยู่ๆ ก็มีเสียงลอยมาจากด้านข้าง ฉันที่กำลังคิดถึงความยากลำบากของการมีประจำเดือนของตัวเองอยู่จึงไม่ได้สนใจมองกลับไปทางต้นเสียง แค่ตอบคำถามไปอย่างลอยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
“อยากกินของหวานๆ เสียเลือดแล้วฉันจะมีอาการน้ำตาลตก อารมณ์ก็ชอบแปรปรวน…”
คำตอบของฉันจบลงที่ตรงนั้นพร้อมกับชีวิตน้อยๆ ของฉันที่อยากจะให้มันจบลงตามไปด้วย นี่ฉันทำอะไรลงไป ฉันพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้ยังไง แล้วยังพูดต่อหน้าผู้ชายวัยเดียวกันอีกต่างหาก
[‘บ้า บ้า บ้า ยัยอามายะบ้าเอ้ย… ‘]
พอรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไปความอายก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมา แต่ฉันก็พยายามเก็บอาการเต็มที่
“หืมมม??”
[‘อะ อะ..อะไร สงสัยอะไรเล่า หยุดความสงสัยของนายไปเลยนะ’]
ฉันตะโกนแบบนั้นในใจ น้ำเสียงที่แสดงความสงสัยของอาคิยามะทำให้ฉันใจเต้นรัว ให้ตายแถอะ แบบนั้นฉันจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่แล้วนะ เลิกสงสัยแล้วเดินไปเงียบๆ ซะ
“เธอบาดเจ็บตรงไหนหรอ?”
“เปล่าหรอก”
“บริจาคเลือดมา?”
“เปล่า..”
“งั้น…”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!”
ฉันหลุดอาการจนเผลอแว๊ดเสียงใส่อาคิยามะ เห็นเขาสะดุ้งมองฉันขึ้นๆ ลงๆสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
[‘ฮือออ…เขาไม่รู้จักเก็บความสงสัยไว้เงียบๆ บ้างรึไง แล้วทีนี้จะกล้ามองหน้าเขาได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ฮือๆๆๆ’]