อาคิยามะพาฉันไปที่ร้านขนมหวานร้านหนึ่ง มองจากชื่อร้านแล้วก็เห็นว่าเป็นร้านดังที่มีการเปิดสาขาในหลายๆ เมือง ที่เมืองนี้อย่างเดียวก็มีไม่น่าจะต่ำกว่า 3 แห่งแล้วล่ะมั้ง

           เซริเองก็เคยชวนฉันมากินที่ร้านนี้เหมือนกันแต่ตอนนั้นว่างไม่ตรงกันเลยไม่ได้มา เอาเป็นว่าหนนี้กินแล้วค่อยไปรีวิวให้เธอฟังแล้วกัน

           ทันทีที่เข้ามาในร้าน พนักงานหญิงหน้าตาน่ารักก็ออกมาต้อนรับเรา อาคิมิยะพูดคุยกับเธอเล็กน้อย จับใจความได้ว่ามา 2 คน คุณพนักงานก็พาเราไปยังที่นั่ง

           ตำแหน่งของโต๊ะที่พนักงานสาวคนนั้นพามาอยู่ติดกับผนังร้านด้านที่เป็นกระจกติดกับทางเดินของห้างสามารถมองออกไปในห้างได้ ฉันไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้เท่าไรเพราะคนข้างนอกก็สามารถมองเข้ามาเห็นเราได้ แต่นายอาคิยามะนั่งลงรับเมนูจากพนักงานแล้ว ฉันจึงจำใจนั่งลงตามบ้าง

           ฉันกางเมนูดูเพื่อหาเมนูที่ดูแล้วจะให้น้ำตาลปริมาณสูงแต่ก็หาไม่เจอ ดูเหมือนทางร้านจะใส่ใจในเรื่องสุขภาพของลูกค้าพอสมควร เหล่มองทางอาคิยามะก็เห็นเขาสั่งเสร็จแล้ว

           สุดท้ายฉันก็เลือกเมนูง่ายๆ อย่างแพนเค้กราสเบอรี่ และขอราดน้ำผึ้งแบบพิเศษจากทางร้าน พนักงานรับออเดอร์ของฉันและเก็บเมนูกลับไป

           ทางด้านอาคิยามะตอนนี้กำลังมองสำรวจไปรอบๆ ร้าน ท่าทางเหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็นไปทุกอย่างทำเอาฉันไม่กล้าพูดทักอะไรออกไป

           พอได้มีเวลาลองคิดดูดีๆ อีกครั้ง ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองในวันนี้ไร้เหตุผลเอามากๆ แล้วก็อารมณ์แปรปรวนสุดๆ ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้แต่เพราะวันนี้ไม่ได้พกลูกอมมาด้วยยิ่งพอมาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดแบบนั้นอารมณ์มันก็เลยยิ่งเตลิดไปกันใหญ่ คิดแล้วก็รู้สึกผิดแล้วก็รู้สึกอายต่ออาคิยามะเหลือเกิน

           ไม่รู้เพราะได้ยินเสียงในใจของฉันหรือรับรู้ได้ว่าฉันกำลังมองอยู่ อาคิยามะหันกลับมามองฉัน เขาแค่มองเงียบๆ เหมือนกำลังรอฉันอยู่ รอให้ฉันพูดก่อน

           “..คือ ขอบคุณนะ…แล้วก็…ขอโทษ” 

           อ่า…ในที่สุดก็กลั้นใจพูดออกไปแล้ว รู้สึกโล่งขึ้นมานิดหน่อยที่เห็นปฏิกิริยาของอาคิยามะมีแค่อาการเบิกตากว้างเหมือนประหลาดใจ แต่ไม่ได้ต่อว่าอะไรกลับมา

           เห็นแบบนั้นฉันก็เลยมีความกล้าเพิ่มขึ้นอีกนิด

           “ฉะ..ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้นายโกรธ นายยกโทษให้ฉันนะ ส่วนขนมนี่เดี๋ยวฉันจ่ายเอง นายไม่ต้องเลี้ยงฉันหรอก” 

           เงียบ…อาคิยามะไม่พูดอะไร ดวงตาที่ดูเหมือนง่วงนอนนั่นของเขาจ้องมองมาที่ฉัน ในแววตาสงบนิ่งนั่นมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

           ใจฉันเริ่มสั่นๆ อีกแล้ว

           “นี่…อย่าเอาแต่เงียบแล้วจ้องฉันซิ ฉันเริ่มกลัวอีกแล้วนะ” 

           ฉันที่ทนต่อสายตาของอาคิยามะไม่ไหวบ่นออกไปเสียงเบา ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินหมดไหม หรือได้ยินว่าอะไร เพราะคำพูดต่อมาของเขามันไม่สอดคล้องกับคำพูดของฉันเลย

           “ปวดท้องไหม?” 

           “เอ๊ะ!?” 

           ฉันเงยหน้ามองอาคิยามะ ไม่มั่นใจนักว่าตัวเองได้ยินถูกคำถามของเขาถูกไหม

           “เธอปวดท้องไหม? หรือไม่สบายตัวตรงไหนมากหรือเปล่า?” 

           คราวนี้ได้ยินเต็มสองหูชัดเจนทำเอาฉันตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เด็กผู้ชายสมัยนี้เขากล้าพูดเรื่องแบบนี้กับผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งแล้วหรอ

           “นายรู้ด้วยหรอ?” 

           งึมงำตอบคำถามของอาคิยามะด้วยคำถามที่พอถามออกไปแล้วก็อายเอง

           “เพิ่งมั่นใจตอนเธอแว๊ดใส่ฉันตอนที่เราเดินมาที่นี่น่ะ” 

           [‘อ๊า…นี่ฉันเผลอระเบิดตัวเองไปหรอเนี่ยย…’] 

           พอรู้สาเหตุว่าที่อาคิยามะเดาอาการของฉันได้ว่ามาจากตัวฉันเองแล้วก็อายจนอยากจะลุกหนี แต่ก็รู้สึกว่าโชคที่ดีที่เขาไม่ล้อเลียนอาการผิดปกติของฉันแถมยังไม่ว่าอะไรที่ฉันแว๊ดเสียงใส่ตอนนั้นด้วย

           รู้สึกผิดนิดๆ เลยแฮะ

           “ขอโทษ” 

           พูดขอโทษออกไปแล้วก็เกิดอายขึ้นมาอีก ดีที่พนักงานเอาขนมที่สั่งไปมาเสิร์ฟ บทสนทนาจึงจบลงเพียงแค่นั้น

           แพนเค้กตรงหน้าดูน่ากินไม่น้อยโดยเฉพาะน้ำผึ้งที่ราดมานั่นฉ่ำถูกใจฉันมาก ฉันใช้ส้อมตักขึ้นมาชิ้นพอดีคำปาดเอาน้ำผึ้งมาทาให้ทั่วแล้วส่งเข้าปาก

           อื้มมม…นุ่ม หวาน อร่อย

           ต้องยอมรับเลยว่าเป็นแพนเค้กที่อร่อยมากที่สุดร้านหนึ่งเท่าที่เคยกินมา เพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่าอาคิยามะก็มีรสนิยมในการเลือกร้านของหวานใช้ได้เลย 

           ฉันเพลิดเพลินกับขนมตรงหน้าจนลืมสนใจสิ่งรอบข้างไปเสียสนิท กินจนหมดชิ้นแล้วยังเผลอเอาส้อมมาปาดน้ำผึ่งที่เหลือขึ้นมากินจนหมด ตบท้ายด้วยน้ำสตอเบอรี่ที่สั่งหวานพิเศษเป็นการล้างปาก

           กำลังดูดน้ำจากแก้วเพลินๆ ตรงหน้าก็มีมือยื่นทิชชูมาให้ ฉันที่ยังคาบหลอดน้ำอยู่มองมือที่ถือทิชชูสลับกับเจ้าของมือ

           “เธอชอบกินหวานมากเลยหรอ?” 

           อาคิยามะถามฉันที่กำลังมองทิชชูในมือเขาสลับกับมองหน้าเขา พอเห็นเขาเอานิ้วชี้ที่มุมปากก็ถึงบางอ้อ

           เผลอทำเรื่องหน้าขายหน้าอีกแล้วซิตัวฉัน

           ฉันรีบรับทิชชูที่เขาส่งมาเช็ดปากอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยตอบคำถามที่อาคิยามะถามก่อนหน้านี้

           “ฉันกินหวานแค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ ถ้าไม่กินแล้วอารมณ์จะแปรปรวน” 

           “แบบที่เป็นเมื่อก่อนหน้านี้” 

           “…ก็…ใช่…” 

           ได้ยินฉันชอบว่าใช่ อาคิยามะก็ขำออกมาเบาๆ เห็นแล้วก็ชักจะโมโห หมอนี่มันตั้งใจกวนฉันชัดๆ

           “ฮะๆ ขอโทษๆ อย่าโกรธกันเลยน่า ฉันไม่ได้หัวเราะเยาะเธอสักหน่อย แค่เห็นท่าทางเธอตอนพูดดูน่าเอ็นดูดีก็เท่านั้น”

           อาคิยามะหยุดขำฉันเพื่อขอโทษ คงจะเห็นแหละว่าฉันทำท่าจะอาละวาดเลยชิงขอโทษก่อน ฮึมมม…จะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน

           “ต้องเป็นแบบนั้นทุกเดือนเลยหรอ?” 

           อาคิยามะเปลี่ยนอารมณ์มาถามฉันต่อ หมอนี่เองก็อารมณ์แปรปรวนใช่ไหมเนี่ย

           ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ฉันก็ตอบเขาไปแต่โดยดี

           “ไม่หรอก ปกติฉันจะพกลูกอมที่เอาไว้อมเฉพาะตอนนั้นเอาไว้ แต่วันนี้ตอนออกจากบ้านยังเป็นเลยไม่ได้เอามาด้วย ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้” 

           ฉันดูดน้ำจากแก้วต่อ รู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน รู้แบบนี้เมื่อเช้าไม่น่าประมาทเลย

           อาคิยามะยังคงมองฉันอย่างพินิจวิเคราะห์เหมือนกำลังสงสัย ฉันคิดว่าเดี๋ยวเขาคงจะถามอะไรออกมาแน่ๆแล้วก็จริงดังคาด

           “อาการอื่นล่ะ? ปวดท้อง? อ่อนเพลีย? ง่วงนอน?” 

           “หืมม…? นายนี่รู้ดีจัง แต่ถามเรื่องพวกนี้กับผู้หญิงมันดูน่าขยะแขยงนะ นายไม่รู้หรอ?” 

           “ก็พอรู้บ้าง แต่ไม่ได้มีจิตใจคิดสกปรกอะไรนิ”

           “หรอ… อืมม… ตอนนี้ก็เริ่มปวดท้องหน่อยๆ แล้ว แต่อยู่ในระดับที่ทนได้” 

           “งั้นกลับกันเลยไหม กว่าจะถึงบ้านเธอก็เกือบชั่วโมงเลยนิ” 

           “อ๊ะ!! แต่ฉันยังไม่ได้ซื้อหนังสือคู่มือเลย” 

           “เธอไหวไหมล่ะ?” 

           “ไหว” 

           “งั้นไปกัน” 

           บทสนทนาของเราดำเนินไปเร็วมาก อาคิยามะกับฉันพูดกัน 3-4 ประโยคก็สามารถเปลี่ยนเรื่องจากอาการของฉันไปสู่ข้อตกลงในการไปซื้อหนังสือคู่มือของฉันแล้ว รวดเร็วทันใจจนบางทีอาจจะเร็วไปด้วยซ้ำ

           อาคิยามะรอจนฉันดูน้ำจนหมดแก้วแล้วจึงค่อยลุกไปที่เค้าเตอร์เพื่อคิดเงิน ตอนแรกเขาคิดจะจ่ายทั้งหมดแต่ฉันทักท้วงไว้ เขาก็ไม่ว่าอะไรยอมโอนอ่อนตามแต่โดยดี

           ร้านหนังสือที่ฉันเล็งไว้ตั้งอยู่ชั้นที่ 3 ต้องใช้เวลาเดินไปประมาณ 5 นาที ฉันและอาคิยามะเดินกันไปเงียบๆ เราไม่ได้คุยอะไรกันเลยแต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร คงเพราะเพิ่งจะได้กินของหวานถูกใจมาจนเต็มคราบจึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

           เดินเข้าไปในร้านหนังสือก็พบว่าในร้านมีลูกค้าอยู่พอสมควร อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุดด้วย บรรดาลูกค้าในวัยนักเรียนและนักศึกษาเลยดูเยอะเป็นพิเศษ

           ฉันเดินตรงดิ่งไปยังโซนหนังสือคู่มือเรียนโดยมีอาคิยามะเดินตามมาเงียบๆ มีข่าวลือว่าพวกเด็กนักเรียนโรงเรียนอาคิรุไดไม่ต้องสอบก็สามารถเรียนจบได้ ฉันเลยไม่รู้ว่าปกติเขาสนใจหนังสือเรียนบ้างไหม

           ฉันเดินดูหนังสือตรงหน้าไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ร้านนี้มีหนังสือจากหลายสำนักพิมพ์ แต่ละสำนักพิมพ์ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ฉันหยิบหลายๆ เล่มขึ้นมาพลิกดูรายละเอียดคร่าวๆ เพื่อเปรียบเทียบหาเล่มที่น่าจะดีที่สุด

           “เธออยากได้หนังสือคู่มือวิชาอะไร?” 

           อาคิยามะที่เดินตามฉันมาตลอดถามขึ้น เอาจริงๆ ฉันมัวแต่ดูหนังสือจนลืมนึกถึงเขาไปชั่วขณะ หรือเขาจะเบื่อที่ต้องมาดูหนังสือเรียนแบบนี้นะ

           “ฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์” 

           ฉันยังคงมองหนังสือตรงหน้า ไม่ใช่ว่าไม่สนใจอาคิยามะหรอกนะ แต่กลัวว่าเขาจะเบื่อแล้วอารมณ์เสียใส่ฉันเลยตั้งใจว่าจะรีบเลือกให้เสร็จเร็วๆ

           แต่… จริงๆ เขาไม่ต้องตามฉันมาก็ได้นินา…

           ตาก็มองหนังสือ ในหัวก็แบ่งส่วนหนึ่งมาพิจารณาหนังสือในมือ ส่วนหนึ่งเอาไปคิดเพ้อเจ้อไร้สาระ ปริมาณน้ำตาลที่กินเข้าเมื่อกี้นี้กำลังถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว

           “เล่มนี้ดี เธอลองดู” 

           อยู่ๆ อาคิยามะก็ยื่นหนังสือฟิสิกส์เล่มหนึ่งที่ฉันมองผ่านไปมาให้ ฉันหันไปมองแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าหมอนี่เคยอ่านหนังสือพวกนี้ด้วยหรอ

           “ดีจริงอ่ะ นายอ่านแล้วหรอ?” 

           ฉันเผลอหลุดถามสิ่งที่สงสัยในหัวออกไปทำเอาใจตุ้มๆ ต่อมๆ เลยแกล้งเนียนกลบเกลื่อนด้วยการรับหนังสือเล่มนั้นมาพลิกดูเนื้อหารายละเอียด

           “อืมม…น่าจะดีที่สุดแล้วถ้าเทียบกับเล่มอื่นที่อยู่ที่นี่” 

           ฉันเงยหน้าจากหนังสือไปมองเขาตั้งแต่เขา อืมม ตอบมา กะว่าจะแซวสักหน่อยแต่ประโยคต่อมาเล่นเอาฉันพูดอะไรไม่ออก

           [‘หมอนี่ขี้โม้ชะมัด’] 

           อาคิยามะหันมามองฉันที่ยืนจ้องเขาอยู่ พอเห็นฉันเขาก็ขำออกมา

           “หึๆๆ ความคิดหลุดออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว ฉันแค่แนะนำ ไม่เชื่อก็ตามใจเธอซิ” 

           แล้วเขาก็เดินออกไปจากตรงนั้น ฉันมองเขาเดินไปที่บล็อกถัดไปก่อนจะจับหน้าตัวเองแล้วหยิบกระจกออกมาจากกระเป๋าเพื่อดูว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้าแบบไหนกันแน่ แต่พอเห็นว่าปกติดีก็ค่อยสบายใจ

           “หมอนั่นอ่านใจได้รึไง หรือแค่แกล้งบัพกันเฉยๆ นะ” 

           ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไว้ก่อน ฉันหันมาให้ความสนใจหนังสือในมือ ขอดูหน่อยเถิดนะว่าไอ้ที่บอกว่าดีที่สุดของที่มีอยู่ในนี้แล้วเนี่ยมันดีขนาดไหน

           “ฮึ ยอมก็ได้” 

           หลังจากดูรายละเอียดของหนังสือที่อาคิยามะแนะนำเทียบกับเล่มอื่นๆ แล้วฉันก็ต้องยอมรับว่าเล่มที่เขาแนะนำนั้นดีจริงๆ ทั้งอ่านง่าย ดูสบายตา กระดาษก็ดี มีทั้งโจทย์และเทคนิค เรียกได้ว่ามีครบในสิ่งที่ฉันต้องการ แม้ว่าราคาจะแพงกว่าเล่มอื่นไปบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร

           ฉันวางหนังสือเล่มอื่นและหยิบเล่มที่อาคิยามะแนะนำติดมือไป เดินไปยังบล็อกที่ขายหนังสือคู่มือคณิตศาสตร์ แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เจออาคิยามะยืนอยู่ที่นั่น

           อาคิยามะหันหลังให้ฉัน กำลังเปิดดูหนังสือคู่มือคณิตศาสตร์อยู่ ท่าทางการหยิบจับหนังสือของเขาราวกับหนอนหนังสือผู้ชื่นชอบการอ่านแต่ว่ารักถนอมหนังสือยิ่งกว่าสิ่งใด

           ฉันถูกท่าทางนั้นของเขาดึงดูดจนเผลอยืนมองอยู่อึดใจ แต่เหมือนว่าเขาจะรู้ว่าฉันตามมาแล้วเลยหันกลับมามอง ฉันที่ถูกจับได้ว่าแอบมองเขาเป็นรอบที่ 2 ของวันนี้เลยต้องหาเรื่องกลบเกลื่อนอีกครั้ง

           “จริงอย่างที่นายว่า เล่มนี้ดูแล้วน่าจะดีกว่าเล่มอื่นจริงๆ” 

           ฉันกลบเกลื่อนความเขินของตัวเองพร้อมกับถือหนังสือเดินเข้าไปหาเขา อาคิยามะมองฉันยิ้มๆ ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดอะไร เพียงแค่ถามความต้องการหนังสือเล่มต่อไปเท่านั้น

           “เธออยากได้หนังสือคู่มือแนวไหน? เน้นอ่านทำความเข้าใจ หรือเน้นทำโจทย์”

           ไม่ถามเปล่า เขาหยิบหนังสือจากชั้นมายื่นมาให้ฉัน 3 เล่ม ทำเอาชั้นอึ้งทำอะไรไม่ถูก

           “พวกนี้นายก็เคยอ่านแล้วหรอ?” 

           ฉันถามคำถามที่คล้ายๆ ว่าจะเคยถามเขาไปทีนึงแล้ว มือยื่นไปรับหนังสือมาจากเขา ส่วนเขารับหนังสือฟิสิกส์ไปถือให้

           “ฉันเคยอ่านแค่ 2 เล่มนี้ ส่วนเล่มนี้ดูเนื้อหาแล้วคล้ายๆ กับเล่มนี้แต่ราคาถูกกว่า เลยหยิบมาให้เธอเลือกด้วย” 

           อาคิยามะชี้หนังสือแต่ละเล่มที่หยิบมาและอธิบายให้ฉันฟัง

           “เล่มนี้เหมาะกับการใช้เป็นคู่มือประกอบกับหนังสือเรียน อาจารย์ผู้เขียนเขียนอธิบายเข้าใจง่าย เหมาะกับการอ่านทบทวนเองด้วย ส่วนสองเล่มนี้มีตัวอย่างโจทย์ให้ทำเยอะ ข้อยากๆ ก็มีเฉลยให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย เหมือนอาจารย์คนเขียนจะเป็นคนเดียวกันมั้งแค่คนละสำนักพิมพ์ เล่มที่ถูกกว่านี่เพิ่งตีพิมพ์ปีนี้เป็นครั้งแรก แต่คุณภาพกระดาษสู้อีกเล่มไม่ได้”

           ฉันพลิกเปิดหนังสือตามที่อาคิยามะแนะนำแล้วก็ต้องตกใจว่ามันตรงกับที่เขาพูดจริงๆ หมอนี่อ่านมาหมดแล้วจริงๆ หรอเนี่ย ดูหน้าแล้วไม่เหมือนเด็กเนิร์ดเลยสักนิด

           ฉันเงยหน้าจากหนังสือแล้วมองหน้าเขาเพื่อไขข้อข้องใจ แต่มองยังไงก็ไม่เห็นเค้าของความเป็นเด็กเนิร์ดขยันเรียน

           “นายเรียนเก่งหรอ?” 

           “…” 

           ไม่มีเสียงตอบกลับมา แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเพิ่งจะถามอะไรที่เสียมารยาทไปเสียแล้ว คงเพราะตั้งแต่อยู่กับเขามาในวันนี้เจอแต่เรื่องที่ทำให้ต้องทะเลาะและปรับความเข้าใจกันมาตลอด การพูดการจาก็ไม่ค่อยจะเกรงใจกันทั้งสองผ่าย เมื่อกี้คิดอย่างไรก็เลยถามออกไปตรงๆ ไม่ทันได้คิดมาก

           “ฉันแค่สงสัย ก็นายดูแล้วไม่น่าจะเป็นเด็กเนิร์ดสายเรียนที่อ่านหนังสือพวกนี้เลยนิ” 

           “อ่ออ..” 

           อาคิยามะตอบมาแค่ อ่อ สั้นๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หรือว่าจะไม่พอใจฉันอีกหรือเปล่า แบบนี้ก็แย่เลย เขาอุตสาห์มาช่วยเลือกหนังสือแต่ดันไปถามคำถามที่เหมือนดูถูกเขาเสียได้ จะเป็นอะไรไหมเนี่ย

           ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่ ฉันไม่กล้ามองหน้าเขาเลยเลือกจะมองดูหนังสือในมือแทน ส่วนอาคิยามะก็ไม่พูดอะไร เขาแค่ยืนถือหนังสือที่รับฝากจากฉันไว้เฉยๆ แบบนั้น

           [‘โอยย…ไอ้บรรยากาศแบบนี้มันอะไรกัน ทนไม่ไหวแล้วนะ’] 

           และก็เป็นฉันเองที่ทนความกระอักกระอ่วนไม่ไหว ชิงหนีไปก่อน

           “งั้น…ฉันเอาเล่มนี้แหละ ขอบใจนะ” 

           ฉันส่งหนังสือที่เหลืออีก 2 เล่มให้อาคิยามะและรับหนังสือฟิสิกส์มา จากนั้นจึงตรงดิ่งไปที่แคชเชียร์ทันที

           จ่ายเงินเสร็จ รับหนังสือมาก็รู้สึกว่าภารกิจวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว หันตัวเดินออกจากร้านหนังสือก็เห็นว่าอาคิยามะเดินตามมา

           “ฉันเสร็จธุระแล้ว นายยังมีอะไรต้องไปทำอีกไหม? ถ้ายังไงเราแยกกันตรงนี้ดีไหม ฉันอยากกลับไปพักแล้วล่ะ” 

           ฉันบอกอาคิยามะที่เดินก้าวยาวๆ ขึ้นมาตีคู่กับฉันแล้วชะลอช่วงก้าวเพื่อเดินไปพร้อมกัน

           “ไม่มีอะไรแล้ว แรกเริ่มเดิมทีก็ถูกรุ่นพี่นาคาจิมะลากมาเป็นเพื่อน ไม่ได้มีธุระอะไร แต่เดียวฉันไปส่งเธอกลับบ้านก่อนแล้วก็จะกลับบ้างเหมือนกัน” 

           “เอ๊ะ?! ไปส่งฉันทำไม? ฉันกลับเองได้” 

           “คุณคาวากุจิสั่งมาน่ะ เขาบอกให้ฉันดูแลเธอให้ดี แล้วก็ส่งเธอให้ถึงบ้าน” 

           อาคิยามะหันมามองฉัน บนใบหน้านั้นไม่มีแววล้อเล่น หรือนี่รุ่นพี่คาวากุจิจะสั่งเขาไว้แบบนั้นจริงๆ

           “ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับเองได้จริงๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” 

           “อืม ฉันรู้ แต่ถ้าไม่ไปส่งเธอฉันก็อดห่วงตัวเองไม่ได้ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณคาวากุจิเป็นคนยังไง แต่รุ่นพี่นาคาจิมะน่ะถ้าไม่ทำตามที่เขาบอกล่ะก็มีหวังได้เจอเรื่องน่าปวดหัวตามมาอีกแน่ๆ อีกอย่างฉันก็รับปากเขาแล้วว่าจะไปส่ง ถ้าเธอลำบากใจ เดี๋ยวฉันเดินห่างๆ ก็ได้” 

           “ก็ไม่ได้ลำบากใจหรอก ฉันก็แค่เกรงใจเฉยๆ” 

           “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถือซะว่าฉันไปส่งตามคำสั่งที่ได้รับมาเฉยๆ ก็ได้” 

           “อ่า… งั้นก็รบกวนด้วย” 

           แล้วการพูดคุยเหมือนคนปกติทั่วไปของเราก็จบลงแค่นั้น เพราะตลอดเส้นทางการกลับบ้านฉันไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำยกเว้นตอนที่เขาขอแวะร้านสะดวกซื้อเท่านั้น

           ซื้อของเสร็จเราก็เดินกันไปเงียบๆฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหรือทำหน้ายังไงเพราะไม่ได้มอง รู้แค่ว่าตัวเองกำลังเริ่มจะคิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้ออีกแล้ว

           เมื่อคืนนี้ เส้นทางเดียวกันนี้ นิโนะมิยะกับฉันเดินกลับบ้านด้วยกัน เขาสารภาพกับฉันว่าตัวเองรู้สึกดีกับฉันแต่กลับไม่มั่นใจว่ามันเป็นความรู้สึกดีแบบไหน ฉันยอมรับเลยว่าตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาแต่ลึกๆในใจก็พ่วงมาด้วยความรู้สึกอึดอัดใจและความกังวลต่อความสัมพันธ์ของทั้งฉันกับนิโนะมิยะและกับคนอื่นๆหลังจากนี้

           ถ้าคนอื่นรู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง บางทีมันอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับตอนยัยฮิบิซึอีกก็ได้ ถ้าเซริหรือคนอื่นๆ ต้องมาเดือดร้อนด้วยอีกจะทำยังไงดี

           เผลอคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป รู้ตัวอีกทีก็เดินมาจนถึงหน้าบ้านตัวเองเสียแล้ว

           ฉันปรับลมหายใจตัวเองเพื่อไล่เรื่องรกสมองออกไป รู้สึกผิดต่ออาคิยามะนิดๆ ที่ปล่อยให้เขาเดินมาส่งแต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขาเลย ไม่รู้เขาจะอึดอัดหรือเปล่า ยังไงก็ขอบคุณเขาหน่อยละกัน

           “ขอบคุณที่มาส่งนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่วันนี้ฉันทำให้วุ่นวาย” 

           อาคิยามะยืนทำหน้าง่วงมองฉัน แล้วเขาก็ยื่นถุงใส่ของที่ได้มาจากร้านสะดวกซื้อที่เขาแวะเมื่อตอนออกจากสถานนีรถไฟมาให้ฉัน

           “เอ๊ะ!?” 

           “ถือว่าเป็นของแทนคำขอโทษที่ฉันไปโดนหนะ… โอ้ยย” 

           ไม่ต้องรอให้อาคิยามะพูดจบฉันก็รู้ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ภาพเหตุการณ์จุดเริ่มต้นของความอลวนในวันนี้ผุดขึ้นมาในหัว ความอายที่หายไปพักใหญ่แล่นกลับขึ้นมาจนหน้าร้อนวูบ

           ไวเท่าความคิดมือฉันตีไปที่แขนของเขาเต็มแรงจนตัวเองก็รู้สึกเจ็บมือ 

           อาคิยามะผู้ถูกตีโดยไม่ตั้งตัวส่งเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดออกมา ทำเอาฉันรู้สึกผิดที่ลงไม้ลงมือกับเขาเต็มแรงแบบนั้นแต่ใครใช้ให้เขาพูดเรื่องน่าอายของฉันออกมากันเล่า มันใช่เรื่อง ใช่เวลาไหม ฮึมมม…

           “ไม่ต้องพูด ห้ามพูดถึงเด็ดขาด ลืมๆ ไปซะเลยด้วย” 

           ออกคำสั่งกับเขาเสียจนเหมือนเป็นแม่เขาเสร็จก็คว้าถุงด้วยท่าทางโมโหเต็มทีหันหลังเดินดุ่มๆ เข้าบ้าน ปล่อยอาคิยามะให้ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว

           เข้าบ้านได้ก็รู้สึกอายจนต้องเอามือปิดหน้า ในใจได้แต่หวังว่าท่าทางที่ฉันแสร้งทำนี้จะกลบเกลื่อนความรู้สึกจริงๆ ในใจของฉันได้

           [‘อ๊า…น่าอายชะมัด’]