สัปดาห์แห่งงานกีฬาบอลของโรงเรียนกำลังจะจบลงในวันพรุ่งนี้ และตอนนี้ผมก็กำลังยืนดูรุ่นพี่นาคาจิมะพาทีมบาสห้องตัวเองถล่มทีมคู่แข่งอยู่
ถึงจะบอกว่าเป็นสัปดาห์แห่งงานกีฬาบอลแต่อันที่จริงแล้วการแข่งขันจะมีเพียงแค่ 3 วัน เท่านั้น โดยฟุตบอลจะแข่งทุกวันในช่วงเช้า เช่นเดียวกับวอลเลย์บอล ส่วนเบสบอลกับบาสเกตบอลจะแข่งในช่วงบ่าย
ผมนั่งอยู่ริมสนามใกล้ๆ พวกปี 3 จากห้องเรียนเดียวกับรุ่นพี่นาคาจิมะ เนื่องจากได้รับการดูแลอย่างดีจากรุ่นพี่ด้วยการลากตัวมานั่งเชียร์ตรงนี้ นึกแล้วก็สงสารตัวเองนิดๆ
“มารุ นายมานั่งกับพวกห้องฉันนะ ถ่ายรูปฉันตอนเท่ๆ ให้มินะดูด้วย”
รุ่นพี่นาคาจิมะพูดหลังจากการแข่งขันของห้องผมจบลง ผมเลยต้องมาเป็นตากล้องจำเป็นต้องอย่างเลี่ยงไม่ได้แบบนี้
เอาจริงๆ แล้วผมรู้สึกว่าเพื่อนร่วมห้องของรุ่นพี่นาคาจิมะก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงแรกๆ จะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แต่พอได้คุยกันก็รู้สึกว่าพวกรุ่นพี่เป็นกันเองกว่าที่คิด
ปรี๊ดดด….
เสียงนกหวีดยาว สัญญาณหมดเวลาการแข่งขันดังขึ้น ปลุกผมจากการนั่งเหม่อขึ้นมา แหงนหน้าไปมองสกอร์บอร์ดแล้วก็รู้สึกว่ารุ่นพี่ทำเกินไปหน่อย 78 ต่อ 32 ดูยังไงก็ค่อนข้างขาดสำหรับเกมรอบรองชนะเลิศ
ผมยืนรอรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่วงนอก ไม่ได้เข้าไปร่วมยินดีกับรุ่นพี่ทันที เนื่องจากเพื่อนร่วมห้องของรุ่นพี่กำลังรุมล้อมส่งเสียงเฮฮากันอยู่ รอไปก็เช็ครูปที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์ไปพลาง
[‘อืมมม…ถึงขั้นดั๊งเลยเนี่ย ก็ออกจะเกินไปสำหรับงานกีฬาบอลในโรงเรียนจริงๆ ละนะ’]
ผมมองภาพที่รุ่นพี่ลอยตัวอยู่หน้าห่วงบาส มือขวายัดลูกบาสลงห่วง ถ้าเปลี่ยนจากชุดพละที่ใส่อยู่เป็นชุดแข่งขันบาสเต็มตัวคงจะดูเหมือนนักกีฬาบาสเกตบอลอาชีพแน่ๆ
“ไง มารุ ถ่ายรูปเท่ๆ ฉันไว้มั่งรึเปล่า?”
รุ่นพี่นาคาจิมะเดินมาหาผมที่กำลังเช็ครูปอยู่ ผมส่งโทรศัพท์คืนให้รุ่นพี่ เขายืนดูรูปอยู่ครู่นึงก็หัวเราะชอบใจเสียงดัง
“นายนี่มีพรสวรรค์ในการถ่ายภาพนะเนี่ย ถามจริง นายทำอะไรไม่ได้บ้างเนี่ย?”
“ชกต่อยเก่งแบบรุ่นพี่ไงครับ”
รุ่นพี่นาคาจิมะหัวเราะคำตอบของผมแล้วชวนผมออกไปนอกโรงยิม เราตรงไปห้องน้ำเพื่อล้างเนื้อล้างตัวเพราะรุ่นพี่เหงื่อท่วมจากการเพิ่งลงแข่งเสร็จมาหมาดๆ ส่วนผมเหงื่อแห้งแล้วแต่ก็เหนียวตัวเพราะโดนรุ่นพี่รั้งตัวไว้ตั้งแต่แข่งรอบของตัวเองจบ
ออกมาจากห้องน้ำ รุ่นพี่พาผมไปเลี้ยงน้ำจากตู้กดน้ำ เรายืนกินน้ำกันตรงนั้น ดูแล้วรุ่นพี่น่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เมื่อต้นสัปดาห์ คะแนนสอบของรุ่นพี่ออกมาครบทุกวิชาและผลจากความอุตสาหะของรุ่นพี่และตัวผมทำให้รุ่นพี่ไม่ติดตัวแดงเลยสักวิชา แถมเป็นครั้งแรกที่ได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทุกวิชาด้วย
งานนี้คุณคาวากุจิถึงขั้นยอมทำผิดระเบียบโรงเรียน แอบวิดีโอคอลมาให้กำลังใจรุ่นพี่นาคาจิมะทั้งเช้าและบ่าย ทำเอารุ่นพี่ดี๊ด๊าสุดๆส่วนผมกับเพื่อนๆ ก็ได้อานิสงส์เป็นบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนกันคนละใบ ถึงจะเป็นบัตรของนักเรียนที่ใช้ได้แค่เฉพาะวันแรกแต่พวกโคสุเกะถึงขนาดเทิดทูนรุ่นพี่นาคาจิมะกับคุณคาวากุจิเป็นเทพเจ้าไปแล้ว
ผมดื่มนมที่รุ่นพี่นาคาจิมะเลี้ยงไปได้ครึ่งกล่อง รุ่นพี่ก็ขัดจังหวะการดื่มของผมด้วยคำเชิญชวนงง
“สัปดาห์หน้านายไปค้างบ้านฉันนะ”
“หมายถึงสุดสัปดาห์หรอครับ? รุ่นพี่จะเล่นบาสอีกแล้วหรอ?”
ผมถามกลับด้วยปฏิกิริยาโต้ตอบกึ่งอัตโนมัติโดยไม่มองรุ่นพี่ การไปค้างบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเพราะเคยไปมาสองสามครั้งแล้ว
“นั่นก็ใช่ แต่อยากให้ไปอยู่ทั้งสัปดาห์เลย จบงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนแล้วค่อยกลับมา”
น้ำเสียงจริงจังของรุ่นพี่ทำให้ผมต้องเงยหน้าจากกล่องนมที่ถืออยู่มามองรุ่นพี่นาคาจิมะตรงๆ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ปกติดูเป็นคนขี้เล่นอารมณ์ดี ตอนนี้มีความจริงจังเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ดูตึงเครียดเท่าครั้งก่อนที่จะประกาศผลสอบ แต่ก็รับรู้ได้ว่าแตกต่างจากปกติ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นซินะครับ?”
“อืม ฉันคนเดียวจัดการไม่ถนัดนัก อยากให้นายมาช่วยกันหน่อย”
รุ่นพี่เล่าเหตุการณ์เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาให้ผมฟัง ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องของรุ่นพี่ แต่เป็นเรื่องที่คุณคาวากุจิขอมาอีกที ดูเหมือนที่โรงเรียนฮิบิยะจะเกิดเรื่องการกลั่นแกล้งกันขึ้นและเหตุการณ์ก็ดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่กลั่นแกล้งมีคนหนุนหลังใหญ่โตระดับเพื่อนผู้อำนวยการโรงเรียน ส่วนคนที่ถูกกลั่นแกล้งเป็นคนของสภานักเรียนและเพื่อนอีกคนนึง ส่วนสาเหตุมาจากเรื่องผู้ชาย
“ฉันกับมินะคุยกับโอโตเมะจังแล้ว เธอไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กผู้ชายตัวต้นเหตุ แต่อีกฝ่ายเข้าใจผิดเพราะเห็นเธอสนิทกับเขาเลยไม่พอใจเธอแล้วก็มาหาเรื่องเธอกับเพื่อน มินะกลัวเรื่องจะลุกลามจนควบคุมไม่ได้เลยขอให้ฉันช่วยจัดการ”
ผมฟังรุ่นพี่อธิบายที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด ในหัวปรากฏภาพเด็กผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาวมีฮูด กางเกงขาสั้น มือหิ้วถุงที่น่าจะเป็นถุงจากร้านสะดวกซื้อ ดวงตาคู่นั้นใสกระจ่างดูราวกับอัญมณี แต่สายตาที่มีความระแวดระวังและความสงสัยเต็มเปี่ยมนั่นไม่ว่าจะคิดยังไงก็ยังไม่ค่อยชอบอยู่ดี
[‘ให้ไปช่วยผู้หญิงที่ไม่ชอบหน้าตัวเองนี่ มันดูจะยังไงๆ อยู่แฮะ ถึงจะไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ก็ไม่ชอบสายตายัยนั่นเลย’]
ผมบอกรุ่นพี่นาคาจิมะไปตรงๆ ว่าไม่ชอบสายตาที่โอโตเมะ อามายะ คนนั้นใช้มองตัวเอง ถ้าเจอหน้ากันคงจะลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย แต่รุ่นพี่นาคาจิมะบอกว่าแค่คอยตามดูเวลาเธอกลับจากโรงเรียนเท่านั้น ไม่ต้องเจอหน้ากัน พูดง่ายๆ คือตามไปส่งเธอกลับบ้านห่างๆ ก็พอ
“เอ่ออ…รุ่นพี่ครับ นั่นมันสตอกเกอร์ไม่ใช่หรอครับ?”
“ก็มินะขอมาแบบนี้นินา”
ผมถามรุ่นพี่นาคาจิมะย้ำอีกครั้งหนึ่งเพราะรู้สึกคาใจกับคำขอแปลกๆ ของคุณคาวากุจิ และรุ่นพี่ก็ยืนยันแบบนั้น
เนื่องจากคุณคาวากุจิไม่ได้บอกปฏิบัติการครั้งนี้กับยัยโอโตเมะนั่น มันจึงเป็นการตามดูเธอแบบห่างๆ เท่านั้น ไม่ได้เข้าไปติดต่อพูดคุยอะไร แถมการไปขอให้คนอื่นที่ไม่ได้สนิทกันมาช่วยเรื่องนี้ก็รู้สึกไม่ดีกับโอโตเมะอีก สุดท้ายงานนี้จึงมาถึงผม
“ฉันกับมินะเชื่อใจนาย เลยมาขอให้ช่วย ที่จริงมินะเสนอว่าเธอกับฉันจะไปส่งโอโตเมะจังเอง แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธเสียงแข็ง บอกว่าเกรงใจแถมบ้านก็อยู่ใกล้โรงเรียนไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ถ้าเธอว่างั้นแล้วทำไมยังต้องตามดูเธอล่ะครับ?”
ผมถามข้อสงสัยที่คาใจอีกข้อที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ เพราะผมเองก็รู้ว่าบ้านเธอนั้นเดินแค่ 15 นาทีก็ถึงบ้านแล้ว
“คู่กรณีอีกฝ่ายมีประวัติการกลั่นแกล้งนอกโรงเรียนน่ะ”
“หืมมม…?”
“ก็ตามนั้นแหละ ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนัก ตอนที่มินะปรึกษาฉันเรื่องนี้ ฉันนึกถึงใครไม่ออกนอกจากนาย แล้วมินะเองก็โอเคแล้วด้วย เพราะงั้นช่วยหน่อยนะ ถือซะว่าเป็นค่าบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนแล้วกัน”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับบัตรเข้างานล่ะครับ?”
“เกี่ยวซิ ก็บัตรของพวกนายได้มาจากโอโตเมะจังนี่นา”
ผมมองรุ่นพี่แบบงงๆ คิดว่าหน้าตาคงจะดูตลก รุ่นพี่เห็นผมแบบนั้นก็หัวเราะ
“มินะไปขอบัตรมาจากโอโตเมะจังน่ะ เพราะโควตาที่ให้แต่ละโรงเรียนคือ 100 ใบ พวกสภานักเรียนจะได้คนละสิทธิ์คนละ 3ใบ ที่เหลือก็จะแจกจ่ายให้คนที่เข้าแสดงทีมละ 35 ใบ ของฉันกับนายน่ะไปขอจากรุ่นน้องของเธอที่เป็นประธานนักเรียนมา แต่พวกเพื่อนนาย 3 คนได้มาจากโอโตเมะ”
“เอ๋…งั้นเธอเอาบัตรที่ไหนเข้างานล่ะครับ”
“บัตรนักเรียนเธอไง เห็นว่าพวกสภานักเรียนของโรงเรียนที่มีการส่งการแสดงสามารถเข้างานได้เลยนะ”
…แต่ก็ดูเหมือนจะแค่วันแรกเท่านั้น บัตรที่พวกเราได้มาก็ด้วย
รุ่นพี่นาคาจิมะอธิบายที่มีที่ไปของบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนที่เทพธิดาคาวากุจิไปหามาให้พวกผม
ผมร้อง “อ้อ” เสียงยาว แล้วเราก็เดินกลับไปที่โรงยิม ระหว่างทางรุ่นพี่ก็นัดแนะวันเวลาปฏิบัติการสตอกเกอร์สาวครั้งแรกในชีวิตผมให้ฟัง
“เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลยนะ นายขนของมาเลย อยู่บ้านฉันยาวถึงสุดสัปดาห์หน้า โอโตเมะจังจะกลับบ้านประมาณหกโมงเย็น นายไปส่งเธอเลย เดี๋ยวฉันขนของนายกลับเอง”
“รุ่นพี่ไม่ไปกับผมหรอครับ?”
ผมถามตื่นๆ ไม่คิดว่าปฏิบัติการครั้งแรกก็ได้ฉายเดี่ยวเลย
“ฉันต้องตามไปดูมินะน่ะ เธอมีแผนอื่นอยู่อีก”
รุ่นพี่ตอบกลับมาพร้อมตบไหล่ผมเหมือนพยายามจะให้กำลังใจ
“ฉันเชื่อใจนายนะ มินะเองก็เหมือนกัน สำหรับเธอแล้วโอโตเมะจังก็คล้ายๆ กับน้องสาวของเธอ เรื่องหนนี้เธอเลยลงมือเต็มที่เพราะงั้นเลยอยากฝากโอโตเมะจังให้นายดูแล”
ได้ยินรุ่นพี่พูดแบบนี้แล้วใจนึงก็รู้สึกอบอุ่น อีกใจนึงก็รู้สึกกังวลแปลกๆถ้าเรื่องราวผ่านไปด้วยดีก็คงดีไป แต่ถ้าโดนยัยโอโตเมะจับได้ งานนี้คงจบไม่สวยแน่
ผมถอนหายใจยาว แต่ก็พยักหน้ารับปากรุ่นพี่นาคาจิมะไป รุ่นพี่ขอบใจผมแล้วก็เดินแยกออกไปหากลุ่มเพื่อน ส่วนผมมองหาพวกโคสุเกะแต่ดูแล้วคงจะไม่อยู่เลยกะจะส่งข้อความไปหาแต่พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากลับพบว่าแบตหมดไปเสียแล้ว
[‘เอาจริงดิ?’]
ผมรู้สึกเซ็งนิดๆ กับโทรศัพท์ของตัวเองที่มีอาการแบตเตอรี่เสื่อม แต่เพราะมันเป็นโทรศัพท์เครื่องแรกที่พ่อกับแม่ซื้อให้เลยไม่อยากจะเปลี่ยน
“เอาเถอะ กลับเลยแล้วกัน”
ผมเดินออกจากโรงยิมไปเก็บของตัวเองแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเอง แต่เพราะตัวมีกลิ่นเหม็นเหงื่อจึงไม่กล้าขึ้นรถ หัวก็วางแผนสำหรับการไปค้างบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะในวันพรุ่งนี้
เมื่อถึงบ้าน ผมเปิดประตูเข้าบ้านตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือวันนี้ปู่กับย่านั่งอยู่พร้อมหน้าในห้องนั่งเล่น
“กลับมาแล้วครับ”
ผมเอ่ยปากไปตามปกติ ตั้งใจจะปล่อยผ่านไม่สนใจอะไร แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปค้างบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะ คงจะต้องบอกกล่าวปู่กับย่าไว้สักหน่อย
“ปู่ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปค้างบ้านเพื่อน จะกลับมาสุดสัปดาห์หน้าครับ”
ไม่รอคำตอบ ผมเดินกลับห้องของตัวเอง แต่ก็ยังไม่เร็วพอที่จะไม่ได้ยินเสียงของย่าที่ลอยออกมาจากห้องนั่งเล่น
“ไปนานขนาดนั้น ทำไมไม่ย้ายออกไปซะเลยล่ะ!!”
อารมณ์ที่เริ่มอึดอัดตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาของผมเริ่มส่ออาการว่าจะประทุออกมา ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบกลับไป
“สิ้นเดือนนี้จะย้ายออกไปครับ”
พูดจบก็เดินกลับห้อง ทำเป็นไม่สนใจเสียงที่ดังลอดตามหลังมา
“ดู…ดูมัน ได้สันดานแม่มันมาชัดๆ…”
ปัง!!
เสียงประตูปิดลงค่อนข้างดัง ตัวประตูปิดกั้นเสียงจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในห้อง ผมยืนกัดฟันกำหมัดแน่นอยู่ครู่นึงแล้วจึงผ่อนลมหายใจก่อนจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนอย่างอ่อนแรง
“เชี่ยไรนักหนากันวะ”
ผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่คิดจะขยับไปไหน ไม่อยากทำอะไร สายตาเหม่อมองเพดาน เหม่อมองอยู่อย่างนั้น…