ตอนที่ 17 สัปดาห์ที่ 10 อาคิยามะ เออิชิ (1)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

สัปดาห์แห่งงานกีฬาบอลของโรงเรียนกำลังจะจบลงในวันพรุ่งนี้ และตอนนี้ผมก็กำลังยืนดูรุ่นพี่นาคาจิมะพาทีมบาสห้องตัวเองถล่มทีมคู่แข่งอยู่ 

           ถึงจะบอกว่าเป็นสัปดาห์แห่งงานกีฬาบอลแต่อันที่จริงแล้วการแข่งขันจะมีเพียงแค่ 3 วัน เท่านั้น โดยฟุตบอลจะแข่งทุกวันในช่วงเช้า เช่นเดียวกับวอลเลย์บอล ส่วนเบสบอลกับบาสเกตบอลจะแข่งในช่วงบ่าย

           ผมนั่งอยู่ริมสนามใกล้ๆ พวกปี 3 จากห้องเรียนเดียวกับรุ่นพี่นาคาจิมะ เนื่องจากได้รับการดูแลอย่างดีจากรุ่นพี่ด้วยการลากตัวมานั่งเชียร์ตรงนี้ นึกแล้วก็สงสารตัวเองนิดๆ

           “มารุ นายมานั่งกับพวกห้องฉันนะ ถ่ายรูปฉันตอนเท่ๆ ให้มินะดูด้วย” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะพูดหลังจากการแข่งขันของห้องผมจบลง ผมเลยต้องมาเป็นตากล้องจำเป็นต้องอย่างเลี่ยงไม่ได้แบบนี้

           เอาจริงๆ แล้วผมรู้สึกว่าเพื่อนร่วมห้องของรุ่นพี่นาคาจิมะก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงแรกๆ จะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แต่พอได้คุยกันก็รู้สึกว่าพวกรุ่นพี่เป็นกันเองกว่าที่คิด 

           ปรี๊ดดด….

           เสียงนกหวีดยาว สัญญาณหมดเวลาการแข่งขันดังขึ้น ปลุกผมจากการนั่งเหม่อขึ้นมา แหงนหน้าไปมองสกอร์บอร์ดแล้วก็รู้สึกว่ารุ่นพี่ทำเกินไปหน่อย 78 ต่อ 32 ดูยังไงก็ค่อนข้างขาดสำหรับเกมรอบรองชนะเลิศ

           ผมยืนรอรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่วงนอก ไม่ได้เข้าไปร่วมยินดีกับรุ่นพี่ทันที เนื่องจากเพื่อนร่วมห้องของรุ่นพี่กำลังรุมล้อมส่งเสียงเฮฮากันอยู่ รอไปก็เช็ครูปที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์ไปพลาง 

           [‘อืมมม…ถึงขั้นดั๊งเลยเนี่ย ก็ออกจะเกินไปสำหรับงานกีฬาบอลในโรงเรียนจริงๆ ละนะ’] 

           ผมมองภาพที่รุ่นพี่ลอยตัวอยู่หน้าห่วงบาส มือขวายัดลูกบาสลงห่วง ถ้าเปลี่ยนจากชุดพละที่ใส่อยู่เป็นชุดแข่งขันบาสเต็มตัวคงจะดูเหมือนนักกีฬาบาสเกตบอลอาชีพแน่ๆ

           “ไง มารุ ถ่ายรูปเท่ๆ ฉันไว้มั่งรึเปล่า?” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะเดินมาหาผมที่กำลังเช็ครูปอยู่ ผมส่งโทรศัพท์คืนให้รุ่นพี่ เขายืนดูรูปอยู่ครู่นึงก็หัวเราะชอบใจเสียงดัง

           “นายนี่มีพรสวรรค์ในการถ่ายภาพนะเนี่ย ถามจริง นายทำอะไรไม่ได้บ้างเนี่ย?” 

           “ชกต่อยเก่งแบบรุ่นพี่ไงครับ” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะหัวเราะคำตอบของผมแล้วชวนผมออกไปนอกโรงยิม เราตรงไปห้องน้ำเพื่อล้างเนื้อล้างตัวเพราะรุ่นพี่เหงื่อท่วมจากการเพิ่งลงแข่งเสร็จมาหมาดๆ ส่วนผมเหงื่อแห้งแล้วแต่ก็เหนียวตัวเพราะโดนรุ่นพี่รั้งตัวไว้ตั้งแต่แข่งรอบของตัวเองจบ

           ออกมาจากห้องน้ำ รุ่นพี่พาผมไปเลี้ยงน้ำจากตู้กดน้ำ เรายืนกินน้ำกันตรงนั้น ดูแล้วรุ่นพี่น่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

           เมื่อต้นสัปดาห์ คะแนนสอบของรุ่นพี่ออกมาครบทุกวิชาและผลจากความอุตสาหะของรุ่นพี่และตัวผมทำให้รุ่นพี่ไม่ติดตัวแดงเลยสักวิชา แถมเป็นครั้งแรกที่ได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทุกวิชาด้วย

           งานนี้คุณคาวากุจิถึงขั้นยอมทำผิดระเบียบโรงเรียน แอบวิดีโอคอลมาให้กำลังใจรุ่นพี่นาคาจิมะทั้งเช้าและบ่าย ทำเอารุ่นพี่ดี๊ด๊าสุดๆส่วนผมกับเพื่อนๆ ก็ได้อานิสงส์เป็นบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนกันคนละใบ ถึงจะเป็นบัตรของนักเรียนที่ใช้ได้แค่เฉพาะวันแรกแต่พวกโคสุเกะถึงขนาดเทิดทูนรุ่นพี่นาคาจิมะกับคุณคาวากุจิเป็นเทพเจ้าไปแล้ว

           ผมดื่มนมที่รุ่นพี่นาคาจิมะเลี้ยงไปได้ครึ่งกล่อง รุ่นพี่ก็ขัดจังหวะการดื่มของผมด้วยคำเชิญชวนงง

           “สัปดาห์หน้านายไปค้างบ้านฉันนะ” 

           “หมายถึงสุดสัปดาห์หรอครับ? รุ่นพี่จะเล่นบาสอีกแล้วหรอ?” 

           ผมถามกลับด้วยปฏิกิริยาโต้ตอบกึ่งอัตโนมัติโดยไม่มองรุ่นพี่ การไปค้างบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเพราะเคยไปมาสองสามครั้งแล้ว

           “นั่นก็ใช่ แต่อยากให้ไปอยู่ทั้งสัปดาห์เลย จบงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนแล้วค่อยกลับมา” 

           น้ำเสียงจริงจังของรุ่นพี่ทำให้ผมต้องเงยหน้าจากกล่องนมที่ถืออยู่มามองรุ่นพี่นาคาจิมะตรงๆ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ปกติดูเป็นคนขี้เล่นอารมณ์ดี ตอนนี้มีความจริงจังเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ดูตึงเครียดเท่าครั้งก่อนที่จะประกาศผลสอบ แต่ก็รับรู้ได้ว่าแตกต่างจากปกติ

           “เกิดเรื่องอะไรขึ้นซินะครับ?” 

           “อืม ฉันคนเดียวจัดการไม่ถนัดนัก อยากให้นายมาช่วยกันหน่อย” 

           รุ่นพี่เล่าเหตุการณ์เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาให้ผมฟัง ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องของรุ่นพี่ แต่เป็นเรื่องที่คุณคาวากุจิขอมาอีกที ดูเหมือนที่โรงเรียนฮิบิยะจะเกิดเรื่องการกลั่นแกล้งกันขึ้นและเหตุการณ์ก็ดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่กลั่นแกล้งมีคนหนุนหลังใหญ่โตระดับเพื่อนผู้อำนวยการโรงเรียน ส่วนคนที่ถูกกลั่นแกล้งเป็นคนของสภานักเรียนและเพื่อนอีกคนนึง ส่วนสาเหตุมาจากเรื่องผู้ชาย

           “ฉันกับมินะคุยกับโอโตเมะจังแล้ว เธอไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กผู้ชายตัวต้นเหตุ แต่อีกฝ่ายเข้าใจผิดเพราะเห็นเธอสนิทกับเขาเลยไม่พอใจเธอแล้วก็มาหาเรื่องเธอกับเพื่อน มินะกลัวเรื่องจะลุกลามจนควบคุมไม่ได้เลยขอให้ฉันช่วยจัดการ” 

           ผมฟังรุ่นพี่อธิบายที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด ในหัวปรากฏภาพเด็กผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาวมีฮูด กางเกงขาสั้น มือหิ้วถุงที่น่าจะเป็นถุงจากร้านสะดวกซื้อ ดวงตาคู่นั้นใสกระจ่างดูราวกับอัญมณี แต่สายตาที่มีความระแวดระวังและความสงสัยเต็มเปี่ยมนั่นไม่ว่าจะคิดยังไงก็ยังไม่ค่อยชอบอยู่ดี

           [‘ให้ไปช่วยผู้หญิงที่ไม่ชอบหน้าตัวเองนี่ มันดูจะยังไงๆ อยู่แฮะ ถึงจะไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ก็ไม่ชอบสายตายัยนั่นเลย’] 

           ผมบอกรุ่นพี่นาคาจิมะไปตรงๆ ว่าไม่ชอบสายตาที่โอโตเมะ อามายะ คนนั้นใช้มองตัวเอง ถ้าเจอหน้ากันคงจะลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย แต่รุ่นพี่นาคาจิมะบอกว่าแค่คอยตามดูเวลาเธอกลับจากโรงเรียนเท่านั้น ไม่ต้องเจอหน้ากัน พูดง่ายๆ คือตามไปส่งเธอกลับบ้านห่างๆ ก็พอ

           “เอ่ออ…รุ่นพี่ครับ นั่นมันสตอกเกอร์ไม่ใช่หรอครับ?” 

           “ก็มินะขอมาแบบนี้นินา” 

           ผมถามรุ่นพี่นาคาจิมะย้ำอีกครั้งหนึ่งเพราะรู้สึกคาใจกับคำขอแปลกๆ ของคุณคาวากุจิ และรุ่นพี่ก็ยืนยันแบบนั้น

           เนื่องจากคุณคาวากุจิไม่ได้บอกปฏิบัติการครั้งนี้กับยัยโอโตเมะนั่น มันจึงเป็นการตามดูเธอแบบห่างๆ เท่านั้น ไม่ได้เข้าไปติดต่อพูดคุยอะไร แถมการไปขอให้คนอื่นที่ไม่ได้สนิทกันมาช่วยเรื่องนี้ก็รู้สึกไม่ดีกับโอโตเมะอีก สุดท้ายงานนี้จึงมาถึงผม

           “ฉันกับมินะเชื่อใจนาย เลยมาขอให้ช่วย ที่จริงมินะเสนอว่าเธอกับฉันจะไปส่งโอโตเมะจังเอง แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธเสียงแข็ง บอกว่าเกรงใจแถมบ้านก็อยู่ใกล้โรงเรียนไม่มีอะไรน่าห่วง” 

           “ถ้าเธอว่างั้นแล้วทำไมยังต้องตามดูเธอล่ะครับ?” 

           ผมถามข้อสงสัยที่คาใจอีกข้อที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ เพราะผมเองก็รู้ว่าบ้านเธอนั้นเดินแค่ 15 นาทีก็ถึงบ้านแล้ว

           “คู่กรณีอีกฝ่ายมีประวัติการกลั่นแกล้งนอกโรงเรียนน่ะ” 

           “หืมมม…?” 

           “ก็ตามนั้นแหละ ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนัก ตอนที่มินะปรึกษาฉันเรื่องนี้ ฉันนึกถึงใครไม่ออกนอกจากนาย แล้วมินะเองก็โอเคแล้วด้วย เพราะงั้นช่วยหน่อยนะ ถือซะว่าเป็นค่าบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนแล้วกัน” 

           “แล้วเกี่ยวอะไรกับบัตรเข้างานล่ะครับ?” 

           “เกี่ยวซิ ก็บัตรของพวกนายได้มาจากโอโตเมะจังนี่นา” 

           ผมมองรุ่นพี่แบบงงๆ คิดว่าหน้าตาคงจะดูตลก รุ่นพี่เห็นผมแบบนั้นก็หัวเราะ

           “มินะไปขอบัตรมาจากโอโตเมะจังน่ะ เพราะโควตาที่ให้แต่ละโรงเรียนคือ 100 ใบ พวกสภานักเรียนจะได้คนละสิทธิ์คนละ 3ใบ ที่เหลือก็จะแจกจ่ายให้คนที่เข้าแสดงทีมละ 35 ใบ ของฉันกับนายน่ะไปขอจากรุ่นน้องของเธอที่เป็นประธานนักเรียนมา แต่พวกเพื่อนนาย 3 คนได้มาจากโอโตเมะ” 

           “เอ๋…งั้นเธอเอาบัตรที่ไหนเข้างานล่ะครับ” 

           “บัตรนักเรียนเธอไง เห็นว่าพวกสภานักเรียนของโรงเรียนที่มีการส่งการแสดงสามารถเข้างานได้เลยนะ” 

           …แต่ก็ดูเหมือนจะแค่วันแรกเท่านั้น บัตรที่พวกเราได้มาก็ด้วย

           รุ่นพี่นาคาจิมะอธิบายที่มีที่ไปของบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนที่เทพธิดาคาวากุจิไปหามาให้พวกผม

           ผมร้อง “อ้อ” เสียงยาว แล้วเราก็เดินกลับไปที่โรงยิม ระหว่างทางรุ่นพี่ก็นัดแนะวันเวลาปฏิบัติการสตอกเกอร์สาวครั้งแรกในชีวิตผมให้ฟัง

           “เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลยนะ นายขนของมาเลย อยู่บ้านฉันยาวถึงสุดสัปดาห์หน้า โอโตเมะจังจะกลับบ้านประมาณหกโมงเย็น นายไปส่งเธอเลย เดี๋ยวฉันขนของนายกลับเอง” 

           “รุ่นพี่ไม่ไปกับผมหรอครับ?” 

           ผมถามตื่นๆ ไม่คิดว่าปฏิบัติการครั้งแรกก็ได้ฉายเดี่ยวเลย

           “ฉันต้องตามไปดูมินะน่ะ เธอมีแผนอื่นอยู่อีก” 

           รุ่นพี่ตอบกลับมาพร้อมตบไหล่ผมเหมือนพยายามจะให้กำลังใจ

           “ฉันเชื่อใจนายนะ มินะเองก็เหมือนกัน สำหรับเธอแล้วโอโตเมะจังก็คล้ายๆ กับน้องสาวของเธอ เรื่องหนนี้เธอเลยลงมือเต็มที่เพราะงั้นเลยอยากฝากโอโตเมะจังให้นายดูแล” 

           ได้ยินรุ่นพี่พูดแบบนี้แล้วใจนึงก็รู้สึกอบอุ่น อีกใจนึงก็รู้สึกกังวลแปลกๆถ้าเรื่องราวผ่านไปด้วยดีก็คงดีไป แต่ถ้าโดนยัยโอโตเมะจับได้ งานนี้คงจบไม่สวยแน่

           ผมถอนหายใจยาว แต่ก็พยักหน้ารับปากรุ่นพี่นาคาจิมะไป รุ่นพี่ขอบใจผมแล้วก็เดินแยกออกไปหากลุ่มเพื่อน ส่วนผมมองหาพวกโคสุเกะแต่ดูแล้วคงจะไม่อยู่เลยกะจะส่งข้อความไปหาแต่พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากลับพบว่าแบตหมดไปเสียแล้ว

           [‘เอาจริงดิ?’] 

           ผมรู้สึกเซ็งนิดๆ กับโทรศัพท์ของตัวเองที่มีอาการแบตเตอรี่เสื่อม แต่เพราะมันเป็นโทรศัพท์เครื่องแรกที่พ่อกับแม่ซื้อให้เลยไม่อยากจะเปลี่ยน

           “เอาเถอะ กลับเลยแล้วกัน” 

           ผมเดินออกจากโรงยิมไปเก็บของตัวเองแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเอง แต่เพราะตัวมีกลิ่นเหม็นเหงื่อจึงไม่กล้าขึ้นรถ หัวก็วางแผนสำหรับการไปค้างบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะในวันพรุ่งนี้

           เมื่อถึงบ้าน ผมเปิดประตูเข้าบ้านตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือวันนี้ปู่กับย่านั่งอยู่พร้อมหน้าในห้องนั่งเล่น

           “กลับมาแล้วครับ” 

           ผมเอ่ยปากไปตามปกติ ตั้งใจจะปล่อยผ่านไม่สนใจอะไร แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปค้างบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะ คงจะต้องบอกกล่าวปู่กับย่าไว้สักหน่อย

           “ปู่ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปค้างบ้านเพื่อน จะกลับมาสุดสัปดาห์หน้าครับ” 

           ไม่รอคำตอบ ผมเดินกลับห้องของตัวเอง แต่ก็ยังไม่เร็วพอที่จะไม่ได้ยินเสียงของย่าที่ลอยออกมาจากห้องนั่งเล่น

           “ไปนานขนาดนั้น ทำไมไม่ย้ายออกไปซะเลยล่ะ!!” 

           อารมณ์ที่เริ่มอึดอัดตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาของผมเริ่มส่ออาการว่าจะประทุออกมา ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบกลับไป

           “สิ้นเดือนนี้จะย้ายออกไปครับ” 

           พูดจบก็เดินกลับห้อง ทำเป็นไม่สนใจเสียงที่ดังลอดตามหลังมา

           “ดู…ดูมัน ได้สันดานแม่มันมาชัดๆ…” 

           ปัง!!

           เสียงประตูปิดลงค่อนข้างดัง ตัวประตูปิดกั้นเสียงจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในห้อง ผมยืนกัดฟันกำหมัดแน่นอยู่ครู่นึงแล้วจึงผ่อนลมหายใจก่อนจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนอย่างอ่อนแรง

           “เชี่ยไรนักหนากันวะ” 

           ผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่คิดจะขยับไปไหน ไม่อยากทำอะไร สายตาเหม่อมองเพดาน เหม่อมองอยู่อย่างนั้น…