ตอนที่ 9 ผมอายุเกือบสามสิบปีแล้ว กำลังจะแก่ตัวในไม่ช้า

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 9 ผมอายุเกือบสามสิบปีแล้ว กำลังจะแก่ตัวในไม่ช้า

ตอนที่ 9 ผมอายุเกือบสามสิบปีแล้ว กำลังจะแก่ตัวในไม่ช้า

หลิวกุ้ยอิงจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “อย่างที่แม่บอกลูกก่อนหน้านี้ว่าลูกยังมีพี่ชาย แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกทางสายเลือดของแม่ แต่เขาก็ยังเป็นลูกของพ่ออยู่ดี แม่เลี้ยงดูเขาเหมือนลูกชายตัวเอง เมื่อครึ่งปีก่อนเขามีเรื่องขัดแย้งกับเสิ่นอวี้อิ๋งและหนีออกจากบ้าน แม่ตามหาเขาทั่วทุกที่ แต่ก็หาเขาไม่เจอเลย แม่คิดว่าหากวันหนึ่งเขากลับมา ลูกจะช่วยเอาตำแหน่งงานของอาสะใภ้มาให้พี่ชายเขาได้ไหม? อาสะใภ้ของลูกไม่รู้หนังสือ หล่อนอาจไม่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์การคัดเลือก”

หลินเซี่ยตอบตกลง “ได้ค่ะ ไว้ค่อยคุยกันเมื่อเขากลับมา”

หลินเอ้อร์ฝูขอให้หวังจวี๋เซียงทำบะหมี่เครื่องผัด แต่หวังจวี๋เซียงกลัวความหนาวเย็นและขี้เกียจเกินกว่าจะนวดแป้งเอง หล่อนจึงยกชามแป้งออกจากบ้านและใช้เครื่องจักรในโรงสีทำเส้นบะหมี่แทน โดยปกติหากใครในหมู่บ้านต้องการทำบะหมี่กิน พวกเขามักมาที่โรงสีเพื่อใช้เครื่องจักรทำเส้นบะหมี่

เมื่อหล่อนกลับมาหลังจากทำเส้นบะหมี่เสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว แม่เฒ่าหลินกังวลว่าเฉินเจียเหอจะไม่สามารถอดทนรอได้นานกว่านี้ นางจึงหันไปจู้จี้กับหลินเอ้อร์ฝูและบอกให้เขาช่วยจุดไฟเพื่อรีบปรุงบะหมี่โดยเร็ว

หลังจากพูดคุยกับหลิวกุ้ยอิงแล้ว หลินเซี่ยต้องการกลับบ้านกับเฉินเจียเหอ แต่หลิวกุ้ยอิงยืนกรานที่จะให้พวกเขาอยู่เพื่อรับประทานอาหารด้วยกัน ทั้งสองจึงต้องรอรับประทานอาหารกลางวันที่นี่ต่อ

เพื่อให้ได้เข้าไปทำงานในเมือง หวังจวี๋เซียงพยายามเอาใจใส่หลินเซี่ยอย่างมาก

หลังรับประทานอาหารเสร็จ หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอก็กำลังจะเดินทางกลับ แม่เฒ่าหลินลงจากเตียงเตาเพื่อส่งพวกเขา

“แม่คะ แม่ควรพักผ่อนบ้างเข้าใจไหม? ทำงานให้น้อยลง และหลีกเลี่ยงน้ำเย็น หนูเห็นว่ามือแม่โดนน้ำเย็นจนเป็นแผลหมดแล้ว”

หลินเซี่ยจับมือหล่อนแน่นและไม่เต็มใจที่จะปล่อยไป เธอจงใจพูดเสียงดัง “ถ้ามีใครมารังแกแม่ แม่มาหาหนูได้เสมอที่บ้านสามีของหนูนะ”

คู่สามีภรรยาหลินเอ้อร์ฝูต่างก็แสดงท่าทางลุกลี้ลุกลน

“เซี่ยเซี่ย ดูที่เธอพูดเข้า แม่ของเธอก็คือพี่สะใภ้ของอา พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่นั่นแหละ ใครจะกล้ารังแกเธอได้?”

หลินเซี่ยกลอกตาและหันไปพูดกับหลินเอ้อร์ฝูด้วยรอยยิ้มว่า “อารอง หนูโล่งใจมากที่ได้ยินคุณอาพูดแบบนั้น”

หลิวกุ้ยอิงเดินมาส่งพวกเขาตามทาง เมื่อมาถึงด้านข้างทุ่งข้าวสาลี หล่อนพูดกับหลินเซี่ยอย่างมีเลศนัยว่า “เซี่ยเซี่ย รอตรงนี้ก่อน แม่จะไปเอาของมาให้ลูก”

“ของอะไรคะ?” หลินเซี่ยมองเธอและถามด้วยความสงสัย

“กระเป๋าที่ลูกถือติดตัวในวันที่กลับมาไง”

เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยลืมไปแล้ว หลิวกุ้ยอิงจึงเตือนความทรงจำเธอว่า “ก็แม่ได้ซ่อนกระเป๋าไว้ในโรงเก็บของเพราะกลัวว่าคุณย่าและอาสะใภ้ของลูกจะเอาของในกระเป๋าไปไง? แม่จะไปเอามันมาให้เดี๋ยวนี้ แม่อยากเอาไปให้ลูกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เพราะลูกเพิ่งแต่งงาน จึงคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”

หลินเซี่ยตบหน้าผากตัวเอง “โอ้ หนูเกือบลืมไปเลย”

ทันทีที่หลิวกุ้ยอิงเตือน หลินเซี่ยก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่กลับมาจากเมือง เธอถือกระเป๋าสัมภาระซึ่งดูเหมือนจะมีของใช้ส่วนตัวเช่นอุปกรณ์ทำผมและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

หลิวกุ้ยอิงรู้นิสัยใจคอของคนในบ้านเป็นอย่างดี หล่อนจึงนำกระเป๋ามาซ่อนไว้ก่อนจะพาเด็กสาวกลับเข้าบ้าน

และเป็นไปตามที่คาดไว้ เธอถูกค้นตัวทันทีที่ผ่านเข้าประตูบ้าน

ในชาติที่แล้ว เธอคิดเพียงว่าจะออกจากชนบทได้อย่างไร และไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย

ขณะที่หลินเซี่ยกำลังงุนงง หลิวกุ้ยอิงก็วิ่งไปทางโรงเก็บของของตระกูลหลิน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกระเป๋าเดินทางสีชมพู

“เซี่ยเซี่ย นี่ แม่ซ่อนมันไว้อย่างดี ไม่มีใครมาแตะต้องของของลูกเลย”

เฉินเจียเหอรับกระเป๋าเดินทางจากหลิวกุ้ยอิง

หลินเซี่ยมองผู้เป็นแม่ที่แต่งตัวเรียบง่าย ในใจรู้สึกเศร้าหมองมากขึ้น เธอช่วยดึงผ้าพันคอขึ้นและเตือนอีกฝ่ายเสียงสั่นเครือ “แม่ กลับไปเถอะค่ะ อย่าปล่อยให้คุณย่าและอาสะใภ้ชี้นิ้วสั่ง แม้ว่าพ่อจะจากไปแล้วก็ตาม แต่อนาคตแม่ยังมีเราเสมอ อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกกดขี่เกินไป”

หลิวกุ้ยอิงยิ้มกล่าว “อย่าห่วงเลย แม่ไม่เป็นไร”

“รีบกลับไปเถอะค่ะ”

หลินเซี่ยโบกมือให้หลิวกุ้ยอิง หลังสูดลมหายใจเข้าลึกจึงเดินต่อไปข้างหน้า

ลมเหนือพัดแรง และอุณหภูมิต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเธอร้องไห้ น้ำตาจึงแทบจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที

เฉินเจียเหอเดินตามอย่างใกล้ชิด มองดูเธอก้มหน้าลงสะอึกสะอื้นพลางกล่าวคำเบา “ถ้าคุณทนไม่ได้ที่จะแยกทางกับแม่อีก คุณพาท่านกลับเข้าเมืองด้วยก็ได้นะ”

หลินเซี่ยไม่คาดคิดว่าเฉินเจียเหอจะรู้สิ่งที่เธอกังวลอยู่ในใจ เธอหันไปกล่าวว่า “ขอบคุณค่ะ”

เฉินเจียเหอรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของหลินเซี่ย

ในวันสู่ขอเจ้าสาว ท่าทางของเธอที่มีต่อหลิวกุ้ยอิงแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง

แต่วันนี้ที่เธอกับหลิวกุ้ยอิงอยู่ด้วยกัน เปรียบเสมือนภาพแสนอบอุ่นของแม่ผู้เป็นที่รักและลูกผู้กตัญญู

ความรู้สึกของหญิงสาวที่มีต่อหลิวกุ้ยอิงไม่ใช่สิ่งที่เสแสร้งแกล้งทำ

“ฉันขอให้คุณจัดหาโควตาสมัครงานให้กับครอบครัวอารอง ทำไมคุณถึงไม่คัดค้านล่ะ?” หลินเซี่ยเช็ดน้ำตา ก่อนหันไปถามชายด้านข้างอย่างสงสัย

เฉินเจียเหอกลับมาได้สติอีกครั้ง เขาหันไปมองเธอที่ด้านข้างและพูดว่า “ทำไมต้องคัดค้านล่ะ?”

หลินเซี่ยกลอกตาและมองเขาขณะพูดอะไรไม่ออก “คุณอยากพาพวกเขาทั้งหมดไปในเมืองจริง ๆ หรือ?”

เฉินเจียเหอ “???”

“คุณไม่เห็นด้วยเหรอ?”

หลินเซี่ยหรี่ตาลงพร้อมเผยยิ้มมีเลศนัย “ลองคิดดูสิคะ ฉันโกหกเสนอเนื้อชิ้นใหญ่มาให้พวกเขาต่างหาก ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะไม่กล้าออกคำสั่งกับแม่ของฉัน ปล่อยให้พวกเขาดีใจเล่น ๆ สักสองถึงสามวัน”

หลินเซี่ยเลื่อนสายตาไปหาเขาและเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้หางานมาให้พวกเขานะคะ คนเกียจคร้านแบบนั้น โรงงานตาบอดที่ไหนจะอยากรับไว้?”

เฉินเจียเหอมองไปที่ใบหน้าสดใสของหญิงสาวตรงหน้า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อยขณะตอบว่า “เข้าใจแล้วครับ”

ตอนที่หลินเซี่ยคุยโวและสัญญากับครอบครัวหลินเอ้อร์ฝูด้วยโควตางานทั้งสามตำแหน่ง เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

แต่เพราะเห็นแก่หน้าของหลินเซี่ย เขาจึงกัดฟันตอบตกลง

เขาได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว หากเขาหาตำแหน่งงานไม่ได้จริง ๆ หลังจากกลับเข้าเมือง เขาจะพาครอบครัวนี้ไปทำงานในโรงงานผิดกฎหมาย

หลินเซี่ยเลิกคิ้วมองไปทางเขา ผู้ชายที่มีอำนาจควบคุมภรรยาได้อย่างเข้มงวดกลับมีหัวใจที่ซับซ้อนมาก

ทำไมเขาถึงตามใจเธอนักนะ?

“ทำไมคุณถึงแต่งงานกับฉันล่ะ? เพื่อช่วยฉันจากหวังต้าจ้วงหรือ?” หลินเซี่ยไม่กล้าซบตาเขาตรง ๆ เธอหันหน้าไปอีกทางและถามเขาอย่างสบาย ๆ

เธอได้ยินเสียงถอนหายใจยาวตามมาด้วยคำพูดที่ว่า “ตัวคนเดียวไม่มีภรรยา ผมอายุเกือบสามสิบปีแล้ว กำลังจะแก่ตัวในไม่ช้า”

หลินเซี่ยหยุดชะงัก “…”

ทำไมคำพูดเหล่านี้ถึงฟังดูคุ้นเคยนัก?

เหมือนมันเคยหลุดออกมาจากปากของเธอเอง?

สิ้นเสียงเฉินเจียเหอ เขาสังเกตปฏิกิริยาของเธอ เมื่อเห็นเธอชะงักไป เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “รีบกลับบ้านเถอะ น้ำตาบนใบหน้าคุณจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว”

เฉินเจียเหอเดินนำหน้าพร้อมกับกระเป๋า หลินเซี่ยไม่สามารถหาคำตอบที่ต้องการได้ จึงรีบสาวเท้าเดินตามไป

หลังจากกลับถึงบ้าน เฉินเจียเหอวางกระเป๋าไว้ในห้องทางตะวันออกแล้วเดินออกไป

หลังจากเธอแต่งงานเข้ามา ห้องส่วนนี้ก็กลายเป็นห้องส่วนตัวของเธอ

เฉินเจียเหอจะแอบไปนอนห้องทางทิศตะวันออกในตอนกลางคืน และในตอนเช้าก่อนที่ปู่ย่าจะตื่น เขาจะออกจากห้องทางทิศตะวันออกเพื่อไปออกกำลังกายที่ลานบ้าน

หลินเซี่ยนั่งลงบนเตียงเตาและเปิดซิปกระเป๋าสัมภาระ

ในนั้นมีกรรไกร ปัตตาเลี่ยนตัดผม หวีไฟฟ้า ไดร์เป่าผม มูสจัดแต่งทรงผมยอดนิยมในยุคนี้หนึ่งขวด แชมพูดอกผึ้ง และวิกผมทรงแอฟโฟรสุดทันสมัย

เธอนำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดติดตัวมาด้วยเมื่อกลับมายังหมู่บ้านในชีวิตที่แล้ว

เธอชอบทำผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ หลังจากจบมัธยมปลาย เธอก็สมัครเข้าร้านตัดผมของรัฐในฐานะเด็กฝึกงาน

เธอเรียนรู้งานมาหนึ่งปีแล้ว แต่ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนักในร้านตัดผมของรัฐแห่งนี้ ในร้านมีช่างฝีมือเก่าแก่ นอกจากเด็กและผู้สูงอายุ เธอไม่สามารถทำทรงผมที่ซับซ้อนอื่น ๆ ได้เลย

นอกจากนี้ ธุรกิจร้านตัดผมของรัฐได้รับผลกระทบจากร้านตัดผมเอกชนและย่ำแย่กว่าเมื่อก่อนมาก มีช่างฝีมือเก่าแก่สองคนเท่านั้นที่ดูแลร้าน และกลุ่มเป้าหมายลูกค้าก็มีแค่คนแก่กับเด็ก

โดยปกติเธอมักจะฝึกฝนกับวิก หรือฝึกกับเหล่าผู้สูงอายุของครอบครัวคนงาน

และแน่นอนว่าเนื่องจากสถานะลูกสาวของผู้อำนวยการโรงงาน จึงมักมีหญิงสาววัยกลางคนมาให้เธอตัดแต่งทรงผมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิด

ตัดแต่งเป็นทรงอย่างไรบ้างน่ะเหรอ เธอไม่กล้าบรรยายถึงเรื่องนี้

คงพูดได้เพียงว่า หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของเสิ่นเถี่ยจวิน พวกหล่อนอาจเรียกร้องขอค่าปลอบขวัญจากเธอแล้ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ได้อุปกรณ์ทำมาหากินกลับมาแล้ว จะเริ่มกิจการช่างตัดผมยังไงหนอ

ไหหม่า(海馬)