ตอนที่ 12 ใกล้สอบแล้ว

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 12 ใกล้สอบแล้ว

หลิวเจิ้นซีไม่ได้สร้างผลกระทบใดๆ ให้กับไป๋เยี่ยเลย เขาก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆ ทั้งยังชินกับการที่มีพ่อที่ชอบหลอกเด็กแล้วยังขี้โม้อีก

ชีวิตยังต้องเดินต่อไป การสอบก็เช่นกัน ไป๋เยี่ยเตรียมตัวมาเนิ่นนานเพื่อวันนี้

ประธานไป๋โทรมาหาไป๋เยี่ย แม้จะบอกให้ไป๋เยี่ยกลับไปทำธุรกิจครอบครัวด้วยน้ำเสียงปลอบใจก็ตาม แต่ด้วยทัศนคติของไป๋เยี่ยเองทำให้เขาพูดไปก็เท่านั้น แทนที่จะทำให้ลูกชายรู้สึกหมดไฟ ก็ให้เขาทำสิ่งที่มีความสุขไปดีกว่า

อีกอย่าง เขายิ่งอ่านวิชาแพทย์แผนจีนมากเท่าใดก็ยิ่งหลงใหลมันมากเท่านั้น ยิ่งเรียนไปก็ยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง ในฐานะที่มันเป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ถ้าเขาทำมันออกมาได้ดี เขาอาจจะทำให้มันกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งก็ได้

วันเวลากระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวกับการสอบเข้าต่างก็เริ่มคาดเดาสถานการณ์การสอบครั้งนี้แล้ว

ถึงตอนนี้เหล่ารูมเมทของไป๋เยี่ยก็เริ่มลนขึ้นมาบ้างแล้ว

“แย่แล้ว เยี่ยจื่อ ทำไมฉันรู้สึกว่าคะแนนภาษาอังกฤษของฉันต้องไม่ถึงเกณฑ์ระดับประเทศแน่ๆ!” พ่างจื่อถอนหายใจ พลางมองดูโจทย์ภาษาอังกฤษในมือ ก่อนจะพูดต่อ

“เฮ้อ เสียดายความรู้แพทย์แผนจีนที่อุตส่าห์อัดมาจัง นี่ฉันจะมาตกม้าตายตรงภาษาอังกฤษเหรอเนี่ย!”

ลู่เผยอี้พูดให้กำลังใจ “ไม่มีปัญหาหรอกพ่างจื่อ วิชาภาษาอังกฤษเป็นข้อช้อยส์หกสิบคะแนน สอบแปลสิบคะแนน เรียงความสั้นสิบคะแนน แล้วก็เรียงความยาวอีกสิบคะแนน ช้อยส์มี A B C D โอกาสถูกแต่ละข้อก็มีตั้งยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ถ้านายเลือกแค่ A ก็มีสิบห้าคะแนนแล้ว เรียงความยาวนายก็เขียนรูปแบบที่ท่องๆ มาไป น่าจะได้ประมาณสิบสามคะแนน เรียงความสั้นสักเจ็ดแปดคะแนน แปลอีกห้าคะแนน รวมๆ กันก็ได้สี่สิบคะแนนแล้ว ทุกปีเกณฑ์ระดับประเทศจะอยู่แค่ราวๆ สามสิบแปดคะแนน นายไม่ต้องกังวลกับภาษาอังกฤษหรอก”

ลู่เผยอี้เป็นคนที่ตั้งใจทบทวนที่สุด รองลงมาก็ต้วนเย่ว์

พ่างจื่อถอนหายใจ “เฮ้อ เยี่ยจื่อ ฉันกลัวมาก รู้สึกไม่ค่อยดีเลย ไม่งั้นปีหน้าเราไปสอบกันใหม่ดีไหม”

ไป๋เยี่ยยิ้มอ่อน ก่อนจะตอบไปอย่างสุภาพว่า “เหอะๆ ไปเองสิ!”

ต้วนเย่ว์เอ่ยพร้อมกับถือหนังสือรวมวืชาแพทย์แผนจีนไว้ “ที่จริงคนส่วนใหญ่จะได้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษช่วงสี่สิบถึงหกสิบคะแนนนะ ดีหน่อยก็ได้หกสิบคะแนนขึ้นไป คนที่ได้เกินแปดสิบน่ะมีน้อยจะตาย! วิชารัฐศาสตร์ก็ด้วย เพราะฉะนั้นมาตั้งใจอ่านวิชาแพทย์แผนจีนกันดีกว่า คะแนนเต็มสามร้อยคะแนน คนเก่งๆ ก็ได้สักสองร้อยห้าสิบ ถ้านายสอบได้แค่ร้อยเจ็ดสิบแล้วจะเอาอะไรไปสู้ล่ะ! เออ เหล่าลู่ ปีก่อนเกณฑ์คือเท่าไหร่นะ”

ลู่เผยอี้ตอบ “ปีก่อนภาษาอังกฤษอยู่ที่สามสิบแปด รัฐศาสตร์ก็พอๆ กัน เกณฑ์คะแนนรวมของเขตหนึ่งอยู่ที่สองร้อยเก้าสิบห้า เขตสองสองร้อยแปดสิบห้าคะแนน ก็ยังพอมีโอกาสอยู่นะ เยี่ยจื่อ นายล่ะว่าไงบ้าง”

ไป๋เยี่ยยิ้ม “ก็เกือบอยู่”

พ่างจื่อยิ้มเยาะ “เกือบถึงสองร้อยหรือว่าเกือบร้อยนึงเหรอ”

ไป๋เยี่ยมองหยาม “อย่าเอาสมองทึ่มๆ ของนายมาเทียบกับพวกเราสิ ฉันหมายถึงเกือบได้เต็มน่ะ…”

พ่างจื่อ “เหอะๆ ถ้านายมีความสุขก็โอเค”

ขณะนี้ประธานองค์กรการออกข้อสอบวิชาแพทย์แผนจีนทั้งประเทศและผู้รับผิดชอบส่วนวิชาการแพทย์แผนจีนของศูนย์การสอบแห่งประเทศกำลังนั่งหารือกันอยู่

“ประธานจาง ข้อสอบปีนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ” ผู้รับผิดชอบศูนย์การสอบเอ่ยขึ้นพลางรินน้ำชาให้ชายตรงหน้า

ปีนี้จางอี้หมินมีอายุหกสิบสองปี เป็นวัยเกษียณแล้ว เขารับผิดชอบการออกข้อสอบวิชาแพทย์แผนจีนมานับหลายปี ซึ่งปีนี้เขาก็ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในส่วนการสอบเข้าประจำสาขาแพทย์แผนจีน

“ผมคิดว่าข้อสอบปีนี้ค่อนข้างมีระดับความยากที่ชัดเจน ส่วนที่เป็นพื้นฐานจะคิดเป็นคะแนนประมาณหกสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ยากขึ้นมาคิดเป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะเป็นข้อสอบระดับยากมาก ซึ่งถือเป็นข้อแตกต่างระหว่างการสอบครั้งนี้กับครั้งที่ผ่านมา โดยครั้งก่อนๆ จะมีข้อสอบระดับยากมากเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น” จางอี้หมินอ่านรายงานที่ถืออยู่

“โดยรวมคือ หากต้องการคะแนนระดับกลางๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าต้องการคะแนนสูงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก! ผมเคยให้บัณฑิตระดับป.โทและป.เอกที่เรียนด้านการแพทย์แผนจีนที่ปักกิ่งลองทำดูแล้ว พบว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ได้คะแนนถึงสองร้อยเจ็ดสิบ แม้แต่ให้อาจารย์ผู้ทำหน้าที่ออกข้อสอบทำ ก็ไม่มีใครได้เกินสองร้อยแปดสิบคะแนนเลย ผมคิดว่าข้อสอบชุดนี้ใช้ได้เลย มีการแบ่งระดับความยาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราในการคัดเลือกนักศึกษาระดับปริญญาโท” จางอี้หมินเอ่ยทั้งรอยยิ้ม

ชายวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบถามขึ้นด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้นคนทั่วๆ ไปจะสอบกันได้สักกี่คะแนนครับ แล้วเกณฑ์คะแนนระดับประเทศครั้งนี้ควรเป็นอย่างไรบ้าง”

จางอี้หมินจิบน้ำชาก่อนจะเริ่มพูด “เรื่องคะแนน คนส่วนใหญ่น่าจะได้คะแนนอยู่ช่วงหนึ่งร้อยแปดสิบถึงสองร้อยสี่สิบคะแนน คนที่ได้คะแนนเกินสองร้อยห้าสิบนั้นมีน้อยมาก ส่วนเกณฑ์คะแนนก็คงเหมือนกับปีก่อนๆ คงไม่ต่างกันมากนัก ท่านหัวหน้าวางใจได้ ฮ่าๆ…”

ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะ “โธ่ ท่านนี่ยกย่องผมตลอดเลยนะ ผมจะกล้าเป็นหัวหน้าได้อย่างไรกัน ทว่าหลายปีมานี้ ประเทศเราก็เริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการแพทย์แผนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะครับ พวกเราเองก็คงจะไม่ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดขึ้น”

จางอี้หมินพยักหน้า “ถูกต้อง การได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของวงการแพทย์แผนจีนสักครั้งในชีวิต นับเป็นเรื่องที่ดีมากๆ”

ชายวัยกลางคนกล่าวต่อ “ระหว่างนี้คงต้องลำบากท่านแล้ว หลังจากการสอบจบลงท่านต้องกลับไปพักผ่อนเยอะๆ นะครับ”

สมาชิกในองค์กรจัดสอบจะถูกกักตัวจนกว่าการสอบจะสิ้นสุดลง

จางอี้หมินเอ่ยด้วยท่าทีเย้ยหยันตนเอง “พักผ่อนเหรอ ฮ่าๆ สัปดาห์หน้าจะมีงานแข่งขันความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนระดับชาติครั้งแรก ผมยังต้องไปให้คะแนนน่ะ เรื่องพักผ่อนคงไว้ก่อนล่ะนะ แต่พูดตามตรง งานยุ่งๆ แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะ ไม่ง่ายเลยที่จะพัฒนาการแพทย์แผนจีนขึ้นมา ต้องทุ่มเทกับมันหน่อย”

จางอี้หมินเป็นแพทย์แผนจีนผู้มีชื่อเสียงในประเทศ เป็นคนโด่งดังในวงการแพทย์แผนจีน เขาทำงานวิจัยด้านการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลานาน และทุ่มเทให้กับการพัฒนายาจีน

กล่าวถึงตรงนี้แล้ว จางอี้หมินก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เป็นยุคสมัยที่ดีจริงๆ! สิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจะไม่ถูกกลบฝังไปด้วยมือของผู้คนยุคนี้อย่างพวกเรา แม้ว่าจางอี้หมินจะไม่ได้มีความสามารถมากอะไรนัก แต่ก็ยังคงมีเรี่ยวแรงอยู่!”

ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ฟังก็ฮึกเหิม นี่สิแพทย์แผนจีนที่แท้จริง!

หลายวันมานี้ไป๋เยี่ยก็อ่านหนังสือซ้ำอีกรอบ ‘การทบทวนสิ่งเก่าๆ ที่ได้ร่ำเรียนมานั้นถือว่าเป็นครู’ คำกล่าวนี้ทำให้เขาได้ประโยชน์มากมาย

ตอนนี้เขาอ่านหนังสือไวมาก เพียงใช้เวลาแค่ทั้งบ่ายก็อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่มแล้ว ในเวลาห้าวันไป๋เยี่ยจึงอ่านหนังสือรวมวิชาการแพทย์แผนจีนจบไปสามรอบ

ทุกๆ รอบที่อ่าน ไป๋เยี่ยก็ยิ่งเข้าใจการแพทย์แผนจีนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะทฤษฎีพื้นฐานของการแพทย์แผนจีน

เพียงช่วงเวลานี้ เลเวลวิชาทฤษฎีพื้นฐานทางการแพทย์แผนจีนของเขาก็ขึ้นมาอยู่ที่เลเวลหนึ่ง 2980/3000 อีกนิดเดียวก็ขึ้นเลเวลสองแล้ว

ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้อ่านวิชารัฐศาสตร์เยอะนัก แต่เขาก็ยังอ่านโจทย์สี่ชุดของเซียวซิ่วหรงและโจทย์หกชุดของเจี่ยงจงถิ่งไปรอบหนึ่ง

ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการสอบในวันพรุ่งนี้

มหาวิทยาลัยของไป๋เยี่ยเป็นหนึ่งในศูนย์สอบ เขาจึงไม่ต้องไปหาหอพักหรือลำบากเรื่องการเดินทางเลย

ตอนบ่ายเขาเข้ามาดูห้องสอบ และพบว่ามีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นที่หน้าประตูห้อง บังเอิญจริงๆ ไป๋เยี่ย พ่างจื่อ และหลิวจื้อสอบห้องเดียวกัน!

ถ้าให้พูดล่ะก็ การแบ่งห้องสอบนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการสมัครสอบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้งสามคนมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน

ตอนค่ำ ไป๋เยี่ยล้มตัวลงนอน ตอนกำลังจะหลับ สวี่เหยียนก็ส่งข้อความมาหา

“สู้ๆ นะ! รอนายสอบเสร็จเดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าว อาจารย์ชมธีสิสที่นายแก้ให้ไม่หยุดเลย นายสุดยอดจริงๆ”

ไป๋เยี่ยส่งกลับไป: เกรงใจจังครับ ขอบคุณชีทของพี่นะ

เป็นค่ำคืนอันไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ทั้งหอพักตกอยู่ในความเงียบสงบ พรุ่งนี้บ่ายจะเป็นการสอบวิชารัฐศาสตร์