ตอนที่ 11 เพื่อความสนุก

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 11 เพื่อความสนุก

ถ้าหลิวเจิ้นซีพูดกับเขาดีๆ ว่าอยากให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไป๋เยี่ยก็คงจะยอมแต่โดยดี อย่างไรเสียการมีอาจารย์ที่ทำดีด้วย คอยกวดขันให้ได้ดีนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี! อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับคุณ และหวังให้คุณเดินต่อไปในเส้นทางที่ถูกต้อง

แต่ไม่ใช่กับหลิวเจิ้นซี! ตั้งแต่ไป๋เยี่ยเข้ามหาวิทยาลัยมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่ปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าผู้ให้คำปรึกษาคนนี้จะไม่ค่อยชอบไป๋เยี่ยสักเท่าไหร่นัก!

เขาชอบทำทีพูดจาไม่ไว้หน้าไป๋เยี่ยต่อหน้าสาธารณชน พอได้พูดจี้จุดไป๋เยี่ยหน่อยเขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าไป๋เยี่ยเลยสักนิด แต่พูดแล้วค่อยมาทำทีจริงจังว่าตนพูดเพราะเป็นห่วง…นี่หรือคือสิ่งที่คนปากบอกว่าเป็นห่วงและให้ความสำคัญควรทำใส่กัน

ก็เหมือนกับพ่อแม่ ที่ปรึกษา แล้วก็เพื่อนๆ นั่นแหละ ต่อหน้าคนอื่นก็ชื่นชม พอลับหลังก็มาสั่งสอนกันเสียอย่างนั้น ไม่ไว้หน้ากันไม่พอ แต่กลับมาคาดหวังว่าต้องประสบความสำเร็จอีก

ครั้งนี้ยังดีหน่อยที่อยู่แค่ในหอพัก มีครั้งหนึ่งตอนงานมอบรางวัลของมหาวิทยาลัย หลิวเจิ้นซีออกไปป่าวประกาศต่อหน้าทุกคนว่าไป๋เยี่ยโดดเรียน ไม่เคารพกฎมหาวิทยาลัย ทำให้เขาต้องอดทุนการศึกษาไป…ตอนนั้นทั้งมหาวิทยาลัยมีอาจารย์และนักศึกษาเกือบหมื่นคน…คงจะจินตนาการภาพเหตุการณ์ตอนนั้นกันได้นะ

โดดเรียนเนี่ยนะ ใครไม่เคยทำบ้าง! เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้เอง…ว่าไหม แต่มันก็เป็นซะแบบนี้แหละ!

จากนั้นไป๋เยี่ยก็ไปสมัครเป็นกรรมการ ทุกๆ ปีแต่ละห้องจะมีคนเก็บคะแนนอยู่สองคน ไป๋เยี่ยไม่ผ่านมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าหลิวเจิ้นซีไม่มีทางอนุญาตแน่นอน!

มีที่ปรึกษาที่คอย ‘เป็นห่วง’ คอย ‘ดูแล’ อยู่ตลอดแบบนี้ ไป๋เยี่ยเองก็เหนื่อยใจเหมือนกัน

ไป๋เยี่ยคิดได้เช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวออกไปว่า “อาจารย์หลิว ผมรู้ว่าอาจารย์ดีกับผมมาก ผมเข้าใจดี แต่…ผมก็ต้องการพักผ่อนบ้าง เวลาพักก็เล่นเกม มันผิดตรงไหนเหรอ…ดูหลิวจื้อสิ นักเรียนดีเด่นขนาดนี้จะสอบอยู่แล้วแต่ก็ยังตามมาตรวจหอพักด้วย มันก็เหมือนกันนี่นา…เดินกันคนละทางแต่จุดหมายก็คือที่เดียวกันอยู่ดีนี่”

หลิวเจิ้นซีได้ฟังก็จ้องมาด้วยแววตาแข็งกร้าว “อย่ามาเล่นลิ้น มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง คุณมันไม่ขยัน ส่วนหลิวจื้อน่ะ…เขายอมสละเวลาของตนเองมาทำงานเพื่อส่วนรวมต่างหาก นี่สิถึงเรียกว่าเห็นแก่ส่วนรวมและมีจิตสาธารณะ!”

ไป๋เยี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ข่มอารมณ์ไว้ไม่ได้ “อาจารย์หลิว ถ้าอาจารย์จะมาตรวจหอพักก็เชิญครับ แต่ถ้าตั้งใจจะมาสั่งสอนผม ก็ไม่รบกวนขอความเป็นห่วงเป็นใยจากอาจารย์ดีกว่า ผมก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ผมมีสิทธิ์เลือกแนวทางการใช้ชีวิตของตนเองไม่ใช่เหรอ ตอนนี้หอพักก็ตรวจไปหมดแล้วนี่ครับ…ผมเองก็เหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนบ้าง ถ้าอาจารย์หลิวไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะก็…”

หลิวเจิ้นซีชะงักไป เขาไม่คิดเลยว่าไป๋เยี่ยจะพูดจาแบบนี้ใส่เขา มีนักศึกษาคนไหนเจออาจารย์แล้วไม่ทำตัวเรียบร้อยบ้าง แต่เจ้าเด็กนี่ มันช่าง…มันช่างไม่มีมารยาทจริงๆ!

“นี่! คุณนี่มันทำตัวเป็นไม้แก่ดัดยากจริงๆ เลย! นักศึกษาแบบคุณทำให้คนเป็นอาจารย์รู้สึกใจสลายจริงๆ เลย! มีนักศึกษาที่ไม่รู้จักเชื่อฟังอาจารย์ เคารพผู้ใหญ่แบบคุณซะที่ไหนกัน…คุณ…คุณมันมารยาททราม ไม่รู้ว่าที่บ้านสอนคุณมายังไง แล้วอย่างคุณเนี่ยนะจะสอบเรียนต่อ หึ เรียนจบมหา’ลัยได้ก็บุญหัวแล้ว!”

ความโกรธพุ่งขึ้นในใจของไป๋เยี่ยจนแทบจะระเบิดออกมา เขาพยายามอดกลั้นโทสะที่พลุ่งพล่านในใจเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากออกไป “อาจารย์หลิว ผมเคารพอาจารย์นะถึงยังเรียกว่าอาจารย์ แต่ผมก็หวังว่าอาจารย์จะเคารพผมบ้าง ผมจะสอบหรือไม่สอบนั้นผมเป็นคนตัดสินใจเอง จะสอบได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผมเอง อาจารย์ไม่ต้องใส่ใจผมมากหรอก ไปดูแลน้องชายสุดที่รักของอาจารย์ให้มากๆ ดีกว่านะครับ!”

หลิวเจิ้นซีมองท่าทีของไป๋เยี่ยโดยที่มีนักศึกษาอีกสี่ห้าคนดูอยู่ด้านหลังด้วย เขาจึงรู้สึกขายหน้าขึ้นมาในทันใด

“เฮ้อ! น่าผิดหวังจริงๆ พวกคุณ…พวกคุณดูไว้นะ ผมอุตส่าห์สอนเขาดีๆ แต่เขากลับทำตัวไม่มีเหตุผล ต่อไปในสังคมใครจะไปเข้าใจคุณล่ะ! คุณไม่ดูสภาพตัวเองหน่อยเหรอ กว่าจะสอบเข้ามหา’ลัยได้ทั้งที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ มันง่ายมากหรือไง คุณจะเอาอะไรไปเทียบกับคนอื่นอีก นอกจากมีความสามารถแล้วคุณทำอะไรได้อีกบ้าง

ถ้าตอนนี้ยังเป็นแบบนี้ล่ะก็ อย่าว่าแต่จะทำให้บรรพบุรุษภูมิใจเลย แค่จะหาข้าวกินก็ยากแล้ว! พูดจาไม่น่าฟังก็เป็นพวกชนชั้นล่างสุดของสังคมไปซะ อย่าว่าแต่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจวเลย แม้แต่เมืองเล็กๆ เขายังไม่เอาคุณเลย! พอ ไม่ต้องพูดแล้ว เอาเบอร์พ่อแม่คุณมา เดี๋ยวผมจะคุยกับพวกเขาเอง”

โอ้ งัดไม้ตายออกมาใช้ไวจังนะ จะโทรหาผู้ปกครองงั้นเหรอ คิดว่าที่นี่คือโรงเรียนอนุบาลหรือไง

ไป๋เยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ: “เบอร์พ่อผม:131xxxx9999 เบอร์แม่ 131xxxx6666 อ้อ ใช่ ลืมบอกเลยครับ อาจจะโทรไม่ติดนะ”

หลิวเจิ้นซีคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะต่อสายหาเบอร์ที่ไป๋เยี่ยอ่านให้ฟัง แต่เมื่อกดหมายเลขสุดท้ายลงไป และได้ยินว่าเลขท้ายคือ 9999 เขาก็หยุดมือลงชั่วครู่ ทว่าก็ยังคงกดเบอร์ต่ออีก!

ตามคาด…หลังสิ้นเสียง ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ก็ไม่มีใครรับสาย

หลิวเจิ้นซีชะงักไปแล้วคิดในใจ เบอร์เรียงกันห้าตัวเหรอ แถมยังเป็น 99999 กับ 66666 อีก โทรติดก็บ้าแล้ว! เจ้าเด็กนี่กำลังเล่นตลกอยู่ชัดๆ ถึงกับคิดเบอร์ขึ้นมาตามใจชอบ

หลิวเจิ้นซีตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับ นักศึกษาที่อยู่ด้านหลังก็ต่างพากันเลิ่กลั่ก จึงทำทีมองไปรอบๆ เป็นนัยๆ ว่า ฉันไม่เห็นนะ ไม่ได้ยินด้วย อาจารย์แสดงต่อเลย

ทว่าตอนนี้คนในหอพักก็เริ่มได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากทางนี้ จึงเดินมาดูห้องของไป๋เยี่ย

หลิวจื้อถึงกับสีหน้าเปลี่ยนเมื่อได้ยินเบอร์โทรศัพท์ของไป๋เยี่ย หมอนี่ บ้านคงรวยมากเลยสินะ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ยังเป็นเลขเรียงสวย…

หลิวเจิ้นซีทำสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับเอ่ยเสียงต่ำ “อย่ามาทำเป็นฉลาดหน่อยเลย เอาเบอร์พ่อแม่คุณมาให้ผมเดี๋ยวนี้! หรือไม่คุณก็โทรเองแล้วกัน ผมมีเรื่องต้องคุยกับพวกเขา”

ไป๋เยี่ยชะงัก เราเนี่ยนะทำเป็นฉลาด เหอะๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาในทันใด “ขอโทษครับอาจารย์หลิว ผมค้างค่าโทรศัพท์อยู่น่ะ ไว้วันไหนผมไปจ่ายค่อยโทรนะครับ!”

หลิวเจิ้นซีได้ฟังก็แทบจะฟิวส์ขาด

จู่ๆ โทรศัพท์ของไป๋เยี่ยก็ดังขึ้น

ไป๋เยี่ยช็อก!

เวรแล้ว

และชื่อที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ก็คือ ‘พ่อ!’

ไป๋เยี่ยกำลังจะกดตัดสาย แต่ก็เห็นว่าหลิวเจิ้นซีกำลังก้าวเข้ามาหาเช่นกัน จึงรับสายแล้วกดเปิดลำโพง หลิวเจิ้นซีต้องการทำให้ไป๋เยี่ยขายหน้าต่อหน้านักศึกษาพวกนี้!

เมื่อเห็นว่านักศึกษาที่อยู่รอบๆ กำลังจับจ้องมาที่ไป๋เยี่ยด้วยสายตาสงสัย หลิวเจิ้นซีก็กระแอมหนึ่งที “เด็กน้อย เก่งนักไม่ใช่เหรอ ดูไว้ว่าผมจะทำอย่างไรให้พ่อแม่คุณต้องขอโทษผมและสั่งสอนคุณต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้!”

ทันทีที่โทรศัพท์ต่อสายติดก็ได้ยินคำพูดหนึ่งดังตามมา “โหล? ครั้งก่อนที่คุยกัน ที่ลูกบอกว่าลูกไม่อยากสอบเรียนต่อแล้วน่ะ พ่อคุยกับแม่แล้วว่าจะช่วยลูกโดยการซื้อโรงพยาบาลนั้นไว้ อย่างน้อยเรียนจบไปก็ไม่ตกงานถูกไหม แต่ว่าทำเลโรงพยาบาลนั้นไม่ค่อยดีเลยนะ อีกอย่างต่อให้ปรับปรุงไปก็สู้สร้างโรงพยาบาลใหม่ไปเลยไม่ได้หรอก พ่อกับแม่เลยอยากลองฟังความคิดเห็นจากลูกน่ะ”

ไป๋เยี่ยนิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงดังอันคุ้นเคยของพ่อ ดูท่าเถ้าแก่ไป๋จะทึ่มไปหน่อยล่ะมั้ง…

ผู้คนในเหตุการณ์ต่างตาพร่ากันไปหมด

ซื้อโรงพยาบาล? แล้วยังจะสร้างโรงพยาบาลอีก…

บ้าไปแล้วหรือไง

สอบเข้าล่ะ

จะสอบต่อป.โทเพื่อ!

กลับไปทำธุรกิจครอบครัวเถอะ จะมาสอบเพื่อ เสียเวลาชีวิตน่า!

หลิวเจิ้นซีเตรียมพ่นสารพัดคำพูดออกมา แต่กลับต้องกลืนมันกลับเข้าไปเพราะคำพูดของพ่อไป๋เยี่ย ทำเอาหน้าเขาเขียวเหมือนกับไปกินขี้มา…

“โหล ทำไมลูกไม่พูดล่ะ ถ้ายังไม่พอใจเราค่อยคุยกันอีกทีก็ได้…”

หลิวเจิ้นซีกระแอมไอออกมาด้วยความอึดอัดใจ ก่อนจะทำท่าทีสำรวม “คุณไป๋ใช่ไหมครับ ตอนนี้ลูกชายคุณอยู่ข้างๆ ผม…”

พูดจบ อีกฝั่งก็ร้องขึ้น “ไอ้เวร นี่แกลักพาตัวลูกชายฉันเหรอ”

ไป๋เยี่ยถึงกับเหงื่อตก เถ้าแก่ไป๋เริ่มทำตัวไร้สาระขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…

นักศึกษาที่อยู่รอบๆ ก็แทบกลั้นขำไม่อยู่

หลิวเจิ้นซีเองก็สีหน้าเปลี่ยน เขาเหงื่อแทบจะท่วมอยู่แล้ว จึงรีบอธิบาย “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่…คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมคืออาจารย์ของไป๋เยี่ย ไป๋เยี่ยก็อยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ”

เสียงจากโทรศัพท์ดังต่อเนื่อง “อ้อ…อ้อ…อาจารย์นี่เอง ขอโทษทีครับ”

หลิวเจิ้นซีค่อยหายเกร็งหน่อย “คุณคือพ่อของไป๋เยี่ยใช่ไหมครับ ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณนิดหน่อย”

“อ้อ ได้สิครับอาจารย์ คุณพูดมาเลย แต่ว่าผมยุ่งๆ อยู่น่ะ คุณพูดมาแค่ที่สำคัญๆ ก็พอ” อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

หลิวเจิ้นซี: …

“คือแบบนี้นะครับ ลูกชายของคุณทำพฤติกรรมเหลวไหลที่มหา’ลัย โดดเรียนอยู่บ่อยครั้ง วันๆ ไม่ทำอะไรเลย เล่นแต่เกม เกรดวิชาแพทย์แผนจีนก็แย่ แบบนี้ยังจะไปสอบอีก ผมคิดว่าในฐานะที่คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ควรจะกวดขันเขาให้ดีๆ หน่อยนะครับ”

พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมา “โอ้ ขอโทษจริงๆ ครับ ทำอาจารย์หนักใจแล้วสิ”

หลิวเจิ้นซีได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดก็ประเด็นสักที! ระหว่างที่เขากำลังรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาแทบไหลนั้น อีกฝ่ายกลับพูดต่อ

“ผมบอกเขาตั้งแต่ตอนแรกที่เขามาเรียนแล้วว่าจะเรียนหมอไปทำไม เรียนหมอน่ะต้องเรียนไปทั้งชีวิต ต้องต่อป.โท ป.เอกอีก จริงๆ นะ…ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่ลูกต้องดูฐานะตัวเองด้วย ลูกบอกว่า… ‘ธุรกิจที่บ้านใหญ่โตขนาดนี้ ไปเรียนหมอดีกว่า’ นี่มัน…ไร้สาระสิ้นดีเลย! พูดตรงๆ นะครับอาจารย์หลิว ผมไม่อยากให้เจ้าเด็กนี่ตั้งใจเรียนเลย อยากให้รีบๆ เรียนจบสักที เฮ้อ…บางทีการที่เจ้าเด็กนี่รักการเรียนก็ไม่ใช่เรื่องดีเอาซะเลย!”

ฟังจบ หลิวเจิ้นซีก็แทบกระอักเลือดออกมา!

เป็นพ่อประสาอะไรวะ พ่อที่ไหนเขาสอนลูกกันแบบนี้

“อ้อ ใช่ อาจารย์หลิวส่งโทรศัพท์ให้ลูกผมที ผมมีเรื่องจะคุยกับเขา”

ไป๋เยี่ยจึงได้พูดขึ้น “โหล พ่อว่าไง”

อีกฝ่ายพูด “เจ้าลูกชาย จะไม่สอบแล้วเหรอ ฮ่าๆ…ข่าวดีสินะ ไม่สอบก็ดีแล้ว รีบกลับมาสานต่อธุรกิจที่บ้านที พ่อยังรอไปดูสัตว์ป่าอพยพที่แอฟริกากับแม่อยู่นะ”

ไป๋เยี่ยยิ้มแหย “โทษทีพ่อ ผมว่าจะลองสอบดูน่ะ ยังไงก็สมัครไปแล้ว ผมคิดว่าผมก็อ่านมาดีแล้วด้วยนะ”

เสียงไอดังขึ้นจากในโทรศัพท์ “เฮ้อ ล้อพ่อเล่นใช่ไหม แล้วก็ เอาโทรศัพท์ให้อาจารย์หลิวหน่อย”

“อาจารย์หลิว ต่อไปไป๋เยี่ยคงต้องรบกวนคุณแล้ว ผมยุ่งมากๆ ไม่มีอะไรจะพูดกับคุณต่อแล้ว แค่นี้แหละ ลาก่อน”

พูดจบ เสียง ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์

หลิวเจิ้นซีมองโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาทำตัวไม่ถูก ทั้งยังมีพวกนักศึกษาที่ยืนเก็บอาการกันอยู่อีก พ่อคนนี้โคตรเจ๋งเลย! ฮ่าๆ

หลิวเจิ้นซีเห็นว่าพวกนักศึกษากำลังจ้องมาที่ตนก็รู้สึกโมโหจนตัวสั่น!

“มองอะไร! รีบกลับไปได้แล้ว!”

พูดจบเขาก็ชี้หน้าไป๋เยี่ยด้วยมือสั่นระริก

“แก…แก…แก…”