บทที่ 12 เรียนรู้ทักษะ

บทที่ 12 เรียนรู้ทักษะ

[รองเท้าเมฆาล่อง : ระดับทองแดง]

[ค่าสถานะ : ความแข็งแกร่ง 2 ความว่องไว 2]

[ทักษะ : พยัคฆ์ทะยาน – เพิ่มความสามารถกระโดด]

มันเป็นรองเท้าคู่หนึ่งที่พื้นผิวประดับด้วยลายเมฆลอยล่อง ราวกับมันสามารถโบยบิน ที่ทำอู๋ฝานยินดี คือการที่รองเท้านี้ยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่เสริมค่าสถานะถึงสองชนิด แต่ยังมีทักษะ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม

อู๋ฝานเร่งรีบสวมใส่ แม้ไม่ทราบว่ารองเท้านี้ทำจากวัสดุอะไร แต่มันสบายและรับสัมผัสกับเท้าอย่างนุ่มนวล อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนขนาดตามเท้าของอู๋ฝานอย่างพอเหมาะพอดี เรียกได้ว่าเป็นรองเท้าที่เหมาะสมเข้ากับเท้าของอู๋ฝานเป็นที่สุด

“ไม่เลว ไม่เลว” อู๋ฝานเตะไปมาอยู่หลายครั้งด้วยท่าทีสุขสันต์

“แต่ไม่รู้ว่าพยัคฆ์ทะยานดีแค่ไหนกัน” อู๋ฝานมองยังทักษะเสริมพลางพึมพำกับตัวเอง มันเพียงเสริมความสามารถการกระโดด แต่ไม่ได้ระบุว่าเสริมที่ว่านั้นเป็นจำนวนเท่าใด

อู๋ฝานจึงทดลองโดยไม่รีรอ ผลลัพธ์ที่ได้ เขากระโดดทะยานขึ้นไปจากหลุมสามเมตรโดยง่ายดาย

“เสริมอย่างชัดเจนเลยไม่ใช่หรือยังไง?” อู๋ฝานเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เพราะด้วยความสามารถเดิม เขาไม่มีทางกระโดดพ้นจากหลุมลึกขนาดนี้ได้แน่ ผลลัพธ์ที่ได้ ภายหลังใช้ทักษะเมื่อครู่ กลับสามารถออกมาได้โดยง่ายดาย มันเหนือกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก

แม้ว่าขั้นตอนการสังหารเสือร้ายลายจุดจะเหนื่อยล้าและใช้เวลานานไปบ้าง แต่ได้รับอุปกรณ์ระดับนี้มาชิ้นหนึ่ง ก็ทำอู๋ฝานพึงพอใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ภายหลังอู๋ฝานเข้าไปขุดเอาผลอัคคีม่วง เสือร้ายลายจุดถูกกำจัดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องราวอื่นให้ชวนตื่นเต้นระหว่างการขุดผลอัคคีม่วงอีกแต่อย่างใด

“ปู่หลี่ ผมกลับมาแล้ว!” ก่อนฟ้ามืด อู๋ฝานกลับมายังหมู่บ้านโดยราบรื่น ทั้งยังเร่งรีบไปพบอาจารย์ปรุงยาหลี่

“ทำไมใช้เวลานานขนาดนี้กันล่ะ?” อาจารย์ปรุงยาหลี่คล้ายไม่พอใจที่อู๋ฝานกลับมาเอาป่านนี้

“ปู่หลี่ ในป่าอันตรายจะตาย มีสัตว์ป่าอยู่ทั่วไปหมด โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้ผลอัคคีม่วง มันมีเสือร้ายลายจุดเฝ้าอยู่ ขณะที่สมุนไพรอื่นน่ะรวบรวมได้ครบหมดแล้ว” อู๋ฝานตอบกลับเสียงดัง

ได้ยินคำของอู๋ฝาน อาจารย์ปรุงยาหลี่จึงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ข้าก็ลืมเตือนเจ้าไปเสียได้ ผลอัคคีม่วงนั่นเป็นของโปรดของเสือร้ายลายจุด ภายหลังกินเข้าไป มันจะช่วยเสริมความว่องไว ดังนั้นจึงมักจะมีเสือร้ายลายจุดคอยเฝ้าอยู่ใกล้เคียง”

อู๋ฝานถึงกับต้องถลึงตามองอาจารย์ปรุงยาหลี่ ความหมายนั้นเด่นชัด เรื่องสำคัญแบบนี้ลืมได้งั้นหรือ? เกือบจะถูกคุณฆ่าตายแล้วไหมล่ะ!

พบเห็นสายตาของอู๋ฝาน อาจารย์ปรุงยาหลี่จึงเกิดละอายแก่ใจ “เจ้าก็ทราบดี ว่าคนเราพอมีอายุ ก็ต้องหลงลืมกันไปบ้าง”

“แต่ผมเกือบจะตายเลยนะ!” อู๋ฝานกราดเกรี้ยว “หากว่าคุณบอกผมตั้งแต่แรก ว่าใกล้เคียงนั่นจะมีเสือร้ายลายจุดอยู่ ผมคงเตรียมการไปพร้อม ไม่ต้องเผชิญหน้าอันตราย ดูตอนนี้สิ ขาผมได้รับบาดเจ็บ เป็นเสือร้ายนั่นเล่นงานผม ถ้าไม่ใช่เพราะฉลาดเอาตัวรอด ผมคงไม่ได้กลับมาแล้ว”

อู๋ฝานถลกขากางเกงขึ้นมา มันมีรอยแผลปรากฏบนหน้าแข้ง เพียงแต่ไม่ใช่บาดแผลจากเสือร้ายลายจุด แต่เป็นจิ้งจอกอสูร ตอนที่เผชิญหน้ากับเสือร้ายลายจุด อู๋ฝานเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง จะมีก็เหนื่อยล้าตอนขุดหลุมกับดัก

อู๋ฝานกำลังหลอกอาจารย์ปรุงยาหลี่ตาใส โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ทราบ เพราะพบเห็นว่าขาของอู๋ฝานได้รับบาดเจ็บจริง เขาที่เป็นคนสัตย์ซื่อจึงยิ่งเกิดความรู้สึกผิด

“ปู่หลี่ บอกผมหน่อยสิ ว่ามีอะไรจะมอบให้ผมแทนหัวใจที่เจ็บช้ำดวงนี้บ้างหรือไม่?” อู๋ฝานกล่าวคำเรียกความเห็นใจ สถานการณ์เช่นตอนนี้เหมาะสมจะเรียกร้องผลประโยชน์ เวลาเช่นตอนนี้ไม่ใช่เวลาหน้าบาง แต่ต้องไร้ยางอายให้ถึงที่สุด

“แล้วต้องการอะไรล่ะ?” แน่นอนว่า อาจารย์ปรุงยาหลี่ที่รู้สึกผิดย่อมไม่ปฏิเสธ ‘คำชี้นำ’ ของอู๋ฝาน

อู๋ฝานเกิดยินดี เดิมนั้นคิดอยากได้พลั่วขุดสมุนไพร แต่ภายหลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้า จึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา “ให้ผมเรียนวิชาปรุงยาจากคุณก็แล้วกัน!”

อู๋ฝานในปัจจุบันตระหนักทราบถึงผลประโยชน์ของทักษะวิชาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นวิชาตรวจสอบหรือทักษะพยัคฆ์ทะยาน พวกมันต่างก็มีประโยชน์ ไม่แปลกหากเขาจะต้องการทักษะเพิ่มเติม

“อยากเรียนวิชาปรุงยาหรือ?” อาจารย์ปรุงยาหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทีราวลำบากใจ

เดิมอู๋ฝานคิดว่าง่าย อย่างไรแล้วก็เป็นเกม การได้เรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตย่อมไม่ยากจนเกินไป ทว่าอาจารย์ปรุงยาหลี่ไม่คล้ายคิดอยากสอน เรื่องราวจึงทำอู๋ฝานถึงกับงุนงง

“ใช่ครับ” อู๋ฝานย่อมไม่คิดยอมแพ้โดยง่าย โดยกล่าวสำทับ “ผมสนใจวิชาปรุงยาไม่ใช่น้อยเลย อนาคตผมฝันจะเดินทางไปทั่วทวีป ระหว่างนั้นย่อมไม่อาจหลีกเรื่องเรื่องราวอันตราย ภายหลังได้เรียนวิชาปรุงยา ผมจะสามารถปรุงยาและนำพาพกติดไปกับตัว ทำแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะยิ่งปลอดภัยกว่าเหรอครับ?”

อู๋ฝานย่อมไม่คิดที่จะอยู่หมู่บ้านมือใหม่ไปตลอดกาล อย่างไรภายหน้าเขาก็ต้องไปจากที่นี่ ดังนั้นแล้วการเรียนรู้วิชาปรุงยาจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรแล้วการต่อสู้กับมอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวล การครอบครองวิชาปรุงยามันจะสร้างความแตกต่างอันใหญ่หลวง

อาจารย์ปรุงยาหลี่ลังเลไปสักพักหนึ่ง บางทีอาจเพราะก่อนหน้านี้รู้สึกผิดต่ออู๋ฝานจริง รวมถึงคำพูดของอู๋ฝานก็ไม่ผิดแต่อย่างใด สุดท้ายจึงตกลงยอมสอนวิชาปรุงยาให้อู๋ฝาน

[ขอแสดงความยินดี ท่านได้รับการสอนโดยหลี่ก่วงเต๋อ ปรมาจารย์แห่งการปรุงยา ท่านได้เรียนรู้วิชาปรุงยา และเลเวลของวิชาปรุงยาได้เลื่อนขึ้นสู่ระดับสูง!]

เสียงจักรกลที่ไม่ได้ยินมานานปรากฏดังในหูของอู๋ฝาน มันก็ยังคงทำอู๋ฝานไม่ใคร่สบายใจยามได้ยินเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เนื้อหาที่ได้ยินนั้นยิ่งชวนให้ตื่นตกใจยิ่งกว่า

ก่อนหน้านี้ อู๋ฝานได้สอบถามจากอาจารย์ปรุงยาหลี่ถึงการแบ่งระดับความเชี่ยวชาญในโลกแห่งนี้ มันประกอบด้วยระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง ระดับมาสเตอร์ ระดับปรมาจารย์ และระดับเทพ!

การที่บุคคลคนหนึ่งจะฝึกฝนวิชาจนถึงระดับมาสเตอร์ได้ในชั่วชีวิตก็ถือว่าดีเยี่ยมมากแล้ว ตัวตนเช่นนั้นมักหาได้ยาก ได้รับความนับถือจากผู้คนในทุกสถานที่ที่เดินทางไป ส่วนระดับปรมาจารย์ ทุกที่จะพร้อมยินดีเปิดประตูต้อนรับ เพราะตัวตนระดับดังกล่าวมีจำนวนที่สามารถนับนิ้วได้ พวกเขาถือเป็นจุดสูงสุดของสายอาชีพ ส่วนระดับเทพ มันเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ที่ไม่เคยมีผู้ใดก้าวไปถึง บางคนกระทั่งสงสัยว่าเป็นขอบเขตที่มีอยู่จริงหรือไม่

อย่างไรแล้ว การก้าวขึ้นเป็นระดับเทพ อย่างน้อยก็ต้องมีผลงานระดับเทพสักประการหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ปรุงยา ก็จำเป็นต้องปรุงยาระดับเทพขึ้นมา ถึงจะได้รับการเรียกขานเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทพ หากเป็นช่างตีเหล็ก เช่นนั้นก็ต้องสร้างอาวุธระดับเทพขึ้นมา จึงจะได้กลายเป็นช่างตีเหล็กระดับเทพ

มันเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก ทุกคนจึงคิดว่าวัตถุระดับเทพนั้นจะถูกสร้างได้ก็ต้องโดยเทพ ไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถสร้างพวกมันขึ้นมา เป็นได้เพียงแต่ความปรารถนาของมนุษย์ก็เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ โดยปกติแล้ว ระดับปรมาจารย์ถือได้ว่าเป็นระดับอันสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถไปถึงได้

เพียงแต่ อู๋ฝานก็ไม่ได้คาดคิดว่า ‘อาจารย์’ ที่เขาสุ่มพบเจอมา จะเป็นตัวตนระดับนั้น

หรือนี่เป็นโชคดีของตัวเขากัน?