ตอนที่ 13 กลัวตายก็รีบพูด

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 13 กลัวตายก็รีบพูด

เช้าวันรุ่งขึ้น…

จวนโหวเปิดประตูกลางพร้อมตั้งโต๊ะบูชา ทั้งตระกูลคุกเข่าน้อมรับพระราชโองการ

ติงฉางซื่อคลี่พระราชโองการสีทองออกมาประกาศ

พระราชโองการเอ่ยชมเยียนโส่วจ้าน บอกว่าเขาเหน็ดเหนื่อยมีความดีความชอบอย่างมาก

ฝ่าบาททรงชื่นชมที่เขาประจำการอยู่ชายแดน ไม่เกรงกลัวความยากลำบาก

ดังนั้นจึงออกพระราชโองการให้เขานำครอบครัวเดินทางไปเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง

ภายในพระราชโองการยังเน้นย้ำให้พาเซียวฮูหยินเดินทางไปเมืองหลวง ฝ่าบาททรงระลึกถึงเซียวฮูหยินอย่างยิ่ง

เยียนโส่วจ้านก้มน้อมรับพระราชโองการ

ติงฉางซื่อพยุงเยียนโส่วจ้านขึ้นมาด้วยตนเอง พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงระลึกถึงท่านโหวและฮูหยิน ไม่รู้ว่าท่านโหวจะเตรียมตัวออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเมื่อใด”

เยียนโส่วจ้านหัวเราะร่า “ไม่รีบ ไม่รีบ!”

ไปเมืองหลวง?

เฮอะๆ

เขาไม่ได้โง่เขลาพอที่จะเดินทางไปเมืองหลวงเพราะพระราชโองการเพียงฉบับเดียว

หากวันใดราชสำนักมีเรื่องการกำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้ขึ้นมา เขาคงยินดีนำกองกำลังไปเมืองหลวงสักครั้ง

แต่เวลานี้มีเพียงพระราชโองการฉบับเดียวก็คิดจะให้เขาไปเมืองหลวง คนในพระราชวังคงดูถูกเขามากเกินไปแล้ว

ถึงแม้เขาจะเป็นลูกพลับอ่อน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่บีบได้

“ฝ่าบาททรงรอคอยท่านโหวและฮูหยินอยู่ในพระราชวัง เรื่องนี้ไม่อาจไม่รีบ ขอให้ท่านโหวเตรียมการเดินทางให้ไว ออกเดินทางให้เร็ว ถึงเวลานั้นข้าจะติดตามท่านโหวกลับเมืองหลวงไปพร้อมกัน”

ติงฉางซื่อบังคับเยียนโส่วจ้านให้แจ้งเวลาที่แน่นอน

เยียนโส่วจ้านย่อมไม่ยอม

เขาทำท่าทีเฉไฉ “ติงกงกงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกว่าหลายพันลี้ ต้องพักผ่อนเสียบ้าง ท่านวางใจ ข้าเตรียมการไว้แล้ว มีคนปรนนิบัติกงกงอยู่ข้างกาย กงกงต้องการสิ่งใดเพียงแค่เอ่ยออกมา ข้าย่อมทำให้ท่านพึงพอใจ มาๆๆ ข้าเตรียมชาไว้ กงกงต้องให้เกียรติ”

บนพื้นที่ของตระกูลเยียน ติงฉางซื่อทำได้เพียงตามใจเจ้าบ้าน แบ่งรับแบ่งสู้ก่อนจะทำตามอีกฝ่าย

เดิมทีเพียงแค่ดื่มชา ดื่มไปดื่มมาก็กลายเป็นดื่มสุรา

แม่ทัพน้อยใหญ่หลายสิบคนต่างผลัดกันมอมเหล้า ติงฉางซื่อและผู้ติดตามของเขาล้วนถูกมอม

คนบนพื้นที่นี้ดื่มเหล้าดุเดือด ทั้งหยาบคายทั้งป่าเถื่อน ไม่มีความสง่างามเหมือนผู้คนในเมืองหลวง

แต่ละคนล้วนดื่มเหล้ามาก พวกเขาย่อมต้องตั้งใจอย่างแน่นอน

ติงฉางซื่อมีการระวังตัว แต่ไม่อาจต้านทานการมอมของอีกฝ่ายได้ สุดท้ายเขาเมาจนไม่รู้เรื่อง

งานเลี้ยงดื่มตั้งแต่กลางวันยันกลางคืน ถ้วยชามระเกะระกะ

ขบวนถ่ายทอดพระราชโองการร้อยกว่าคนล้วนถูกมอมเหล้าจนเมา

เยียนโส่วจ้านก็ดื่มไปไม่น้อย โชคดีที่เขาดื่มเหล้าเก่ง จึงยังพอมีสติอยู่

เขาให้แม่ทัพภายใต้บังคับบัญชาของตนเองถอยออกไป กำชับบ่าวรับใช้จัดเตรียมที่พักให้ขบวนของติงฉางซื่อ จากนั้นเดินทางไปสนทนากับเซียวฮูหยินที่เรือนด้านหลัง…

เยียนอวิ๋นเกอกำลังคัดหนังสือภายใต้การจับตาของเซียวฮูหยิน

เยียนโส่วจ้านเดินเข้ามาด้วยกลิ่นสุราเต็มตัว เยียนอวิ๋นเกอทำหน้ารังเกียจ

เยียนโส่วจ้านเห็นทีจึงพูดเสียดสี “ฮูหยินไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยเสียจริง เวลานี้ยังมีอารมณ์สอนหนังสือเจ้าสี่ นิสัยของนาง เรียนหรือไม่เรียนก็เท่ากัน”

ปัง!

เยียนอวิ๋นเกอตบโต๊ะ…

นี่เป็นคำพูดที่มนุษย์เขาพูดกันหรือ

เหตุใดนางจึงเรียนหนังสือไม่ได้

นางใจร้อนไม่เท่ากับนางเป็นคนโง่เขลา

ภายในห้องนี้ คนโง่เขลาที่แท้จริงคือคนที่ลืมตาแต่ไม่เห็นสิ่งใด มีตาแต่หามีแววไม่บางคน

เยียนโส่วจ้านชี้หน้านาง “เจ้ากำลังคิดเรื่องใดอยู่อีก กำลังด่าข้าภายในใจอีกแล้วใช่หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอเชิดหน้าด้วยความหยิ่งยโส

ด่าแล้วอย่างไร!

“เจ้าเด็กคนนี้ ภายในสายตาไม่มีผู้อาวุโส ขาดการอบรมสั่งสอน” เยียนโส่วจ้านดื่มเหล้า ทำให้อารมณ์ร้อนขึ้น

โครม…

เสียงหนึ่งดังขึ้น

เยียนอวิ๋นเกอเตะเก้าอี้ตัวเล็กล้มลง

เก้าอี้ตัวเล็กที่ล้มอยู่บนพื้นน่าสงสาร

มันทำสิ่งใดให้คนไม่พอใจ เหตุใดมันต้องเป็นผู้บาดเจ็บทุกครั้ง

พี่เก้าอี้ พี่โต๊ะ พี่โต๊ะเล็ก พวกท่านต้องอดทนไว้!

เมื่อเห็นเยียนโส่วจ้านกำลังจะปะทุ เซียวฮูหยินก็เอ่ยขึ้นทันที

เซียวฮูหยินใช้สายตาบอกให้เยียนอวิ๋นเกอควบคุมอารมณ์ จากนั้นพูดกับเยียนโส่วจ้านอย่างใจเย็น

“ท่านโหวดื่มมากจึงมาหาข้าเพื่อระบายอารมณ์หรือ?”

เยียนโส่วจ้านนอนลงบนเตียงหลัวฮั่น[1] อย่างสบาย!

“ข้าจะกล้าระบายความโกรธกับฮูหยินได้อย่างไร พระราชโองการเรียกตัวข้าเข้าเมืองหลวง ฮูหยินมีความคิดเห็นอย่างไร”

เยียนโส่วจ้านนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงไม่สนใจท่าทีไร้มารยาทของเยียนอวิ๋นเกอชั่วคราว

เขาส่งเสียงไม่พอใจ เยียนอวิ๋นเกอเกือบทำให้เขาลืมเรื่องสำคัญอีกแล้ว

อายุไม่มาก แต่ความสามารถในการเบี่ยงเบนประเด็นยอดเยี่ยมเสียจริง

ทุกครั้งที่เจอหน้า เขาล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะถูกอีกฝ่ายเบี่ยงเบนประเด็นไป

เซียวฮูหยินสั่งให้บ่าวรับใช้ชงชา “ท่านโหวดื่มชาแก้มึนเมาก่อน เรื่องพระราชโองการย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านโหว ข้าฟังท่านโหว”

เยียนโส่วจ้านดื่มชา สบายขึ้นมาเล็กน้อย

เขายิ้มอย่างมีนัย “ฮูหยินเชื่อฟังคำสั่งของข้าจริงหรือ”

“แน่นอน!”

เยียนโส่วจ้านยิ้ม “ฮูหยินลองบอกมา ข้าควรจะปฏิบัติตามพระราชโองการ เดินทางไปเข้าเฝ้าที่เมืองหลวงหรือไม่”

เซียวฮูหยินพูดอย่างจริงจัง “ในฐานะขุนนาง มีพระราชโองการเรียกตัวกลับเมืองหลวง ท่านโหวสมควรจะน้อมรับพระราชโองการ หากไม่ย่อมเป็นการขัดขืนพระราชโองการ! ไม่รู้ว่าท่านโหวสามารถรองรับผลของการขัดขืนพระราชโองการได้หรือไม่”

เยียนโส่วจ้านหัวเราะร่า “ข้าย่อมไม่อาจรับผลจากการขัดขืนพระราชโองการได้ แต่ว่ามีฮูหยินอยู่ ท่านกับฮ่องเต้เป็นพี่น้องกัน ข้าคิดว่าถึงแม้จะขัดขืนพระราชโองการ แต่ฮูหยินย่อมมีวิธีจัดการเรื่องนี้ บรรเทาความโกรธของฝ่าบาทแทนข้า”

เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว “ท่านโหวไม่คิดจะเข้าเมืองหลวง คิดจะขัดขืนพระราชโองการจริงหรือ?”

เยียนโส่วจ้านถามกลับ “ฮูหยินอยากให้ข้าเข้าเมืองหลวงหรือ?”

เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว “ฟังจากที่ท่านโหวพูด ท่านโหวอยากให้ข้าเข้าเมืองหลวงแทนท่าน น้อมรับโทสะของฝ่าบาท แบกรับโทษและแรงกดดันทุกอย่างแทนท่าน?”

“เหตุใดฮูหยินจึงพูดได้ไม่น่าฟังเช่นนี้ เจ้าวางใจ ข้าจะชดเชยให้เจ้า”

เซียวฮูหยินยิ้มเสียดสี “ท่านโหวไม่ยอมเข้าเมืองหลวง เพียงแค่กลัวว่าไปได้แต่กลับไม่ได้ ท่านโหวส่งข้าไปเมืองหลวง ไม่กลัวข้าจะถูกกักขังเอาไว้ในเมืองหลวง ไปได้กลับไม่ได้เช่นกันหรือ ท่านโหวจิตใจอำมหิตยิ่งนัก”

เยียนโส่วจ้านเลิกคิ้วพลางยิ้ม “เหตุใดฮูหยินต้องเสแสร้ง เจ้าแซ่เซียวและเป็นธิดาขององค์รัชทายาท จางอี้ ไม่ว่าอย่างไร ภายในพระราชวังย่อมต้องให้เกียรติเจ้า ข้าไปเมืองหลวงมีแต่ความอันตราย ฮูหยินไปเมืองหลวงถือว่าเยี่ยมญาติ อีกอย่างในฐานะภรรยาของข้า เวลานี้ข้ามีความลำบาก เจ้าสมควรช่วยข้าแบ่งเบา แต่เจ้ากลับผลักไส ภายในใจของเจ้ามีข้าและตระกูลเยียนหรือไม่”

“ท่านโหวไม่จำเป็นต้องคาดโทษข้า”

“เช่นนั้นเจ้าเพียงแค่บอกมาว่าจะไปหรือไม่ไป”

เยียนโส่วจ้านบีบบังคับอย่างเห็นได้ชัด

เซียวฮูหยินสีหน้าเรียบเฉย “ไปแล้วอย่างไร ไม่ไปแล้วอย่างไร”

ท่าทางของเยียนโส่วจ้านแข็งกระด้าง ไม้แข็งไม้อ่อนล้วนใช้พร้อมกัน “ไปก็ต้องไป ไม่ไปก็ต้องไป เพียงแค่เจ้ายอมไปเมืองหลวง ข้าย่อมไม่เอาเปรียบเจ้า เจ้ามักจะรังเกียจแคว้นซ่างกู่ว่าไม่มีตระกูลที่ดี ไม่เหมาะสมกับอวิ๋นฉีและอวิ๋นเกอ

ไปเมืองหลวงครานี้ เจ้านำอวิ๋นฉีและอวิ๋นเกอไปด้วย หาตระกูลหมั้นหมายให้พวกนาง เพียงแค่เจ้าตัดสินใจ ข้าย่อมเห็นด้วย งานแต่งของเด็กสองคนนี้ เจ้าตัดสินใจได้เอง ข้ามีเจตนาบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ฮูหยินพึงพอใจหรือไม่”

เซียวฮูหยินก้มหน้าครุ่นคิด

เยียนอวิ๋นเกอจรดดินสออย่างรวดเร็ว

‘กลัวตายก็พูดมาตามตรง!’

กระดาษเปิดขึ้น โทสะของเยียนโส่วจ้านก็ปะทุขึ้น

“ข้ากลัวตายหรือ”

ล้อเล่นหรืออย่างไร

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเยาะ หากไม่กลัวตาย เหตุใดจึงไม่กล้าไปเมืองหลวง

ต้องให้ภรรยาและบุตรไปเมืองหลวงเหยียบเข้าไปในถ้ำเสือถ้ำมังกรแทนเขา ไร้ยางอาย!

ปัง!

เยียนโส่วจ้านโกรธจัด มือตบลงบนโต๊ะ

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา มือไม่ยังคงไม่หยุดเขียน

นางเรียกร้องผ่านการเขียนลงบนกระดาษ ‘เงินห้าแสนก้วน ทองห้าพันตำลึง ทองคำขาวหมื่นตำลึงใช้สำหรับสานสัมพันธ์ในเมืองหลวง’

นางรู้ดีแก่ใจ การไปเมืองหลวงครานี้ เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่อาจปฏิเสธได้

ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรล้วนต้องเดินทางไปเมืองหลวง เช่นนั้นย่อมไม่อาจปล่อยเยียนโส่วจ้านไปอย่างง่ายดาย

นางจะใช้โอกาสเรียกเงิน สาแก่ใจยิ่งนัก

เวลาปกติไม่มีโอกาสเช่นนี้

ครานี้ไม่อาจพลาดไปได้

เยียนโส่วจ้านอ่านเนื้อหา หางตาของเขากระตุก

เยียนอวิ๋นเกอกล้าเอ่ยปากเสียจริง

เขาถามเซียวฮูหยิน “มันเป็นความต้องการของฮูหยินหรือ”

เซียวฮูหยินกวาดตามองจำนวนเงินบนกระดาษ “หากท่านโหวไม่มีเงิน การเดินทางไปเมืองหลวงในครานี้คงต้องยกเลิก อย่างมากก็แค่ถูกซักโทษจากราชสำนัก เมื่อถึงเวลาค่อยหาทางจัดการ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านโหวอาจมีเงินแล้ว”

เยียนโส่วจ้านโกรธจัด

แม่ลูกสองคนนี้ร่วมมือกันขัดขืนเขา

เขาส่งเสียงไม่พอใจ “เงินแสนก้วน ทองหนึ่งพันตำลึง ทองคำขาวห้าพันตำลึง ข้าให้ได้เท่านี้”

‘ตกลง!’ เยียนอวิ๋นเกอรีบตอบตกลงทันทีเพราะเกรงว่าเขาจะกลับคำ

เยียนโส่วจ้านรู้ตัวทันทีว่าตนเองถูกบุตรสาวหลอก

กลับคำยังทันหรือไม่

หากเขากล้ากลับคำนางจะไปพังจวนตะวันตก ไปหาเฉินฮูหยินระบายความโกรธบัดนี้

ทุกคนต่างเป็นคนของตระกูลเยียน เหตุใดผู้ที่ออกแรงล้วนเป็นบ้านใหญ่ จวนตะวันตกเอาแต่นั่งรอผลประโยชน์

เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ เอาเถิดๆ เขาเป็นชายที่รักษาสัจจะ คำไหนคำนั้นอยู่แล้ว

[1]เตียงหลัวฮั่น เป็นเครื่องเรือนสมัยโบราณของจีน ใช้สำหรับนั่งรับแขกหรือนอนเล่น ลักษณะคล้ายตั่งขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช้เป็นเตียงนอนในห้องนอน