ตอนที่ 12 ใส่ไฟ

ยามค่ำคืน…

เยียนโส่วจ้านพักผ่อนอยู่ในห้องของเฉินฮูหยิน

เฉินฮูหยินฉวยโอกาสใส่ไฟ

“ไม่รู้ฮูหยินคิดอย่างไร นางเป็นถึงธิดาขององค์รัชทายาท ‘จางอี้’ สมาชิกของราชวงศ์ ทั้งที่มีข่าวภายในราชวัง แต่นางกลับไม่ยอมเปิดเผยกับท่านโหวแม้แต่น้อย หรือนางต้องการให้ท่านโหวมีอันเป็นไป นางจะได้กลับเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”

เยียนโส่วจ้านหลับตาพักผ่อนโดยไม่พูดสิ่งใด

เฉินฮูหยินกังวลใจ สังเกตปฏิกิริยาของเขาอย่างระมัดระวัง

“จากความเห็นอันผิวเผินของข้า เกรงว่าภายในใจของฮูหยินจะไม่มีท่านโหวแม้แต่น้อย แต่ถึงนางจะไม่คำนึงถึงท่านโหว อน่างไรก็ย่อมต้องคำนึกถึงเด็กๆ เสียบ้าง เด็กๆ ล้วนแซ่เยียน ไม่ได้แซ่เซียว”

เยียนโส่วจ้านขมวดคิ้วด้วยไม่พอใจเล็กน้อย

เฉินฮูหยินแอบดีใจ ก่อนจะเสริมต่อ

“สิ่งสำคัญคือองครักษ์สามพันนายจากตำหนักบูรพานั้น พวกเขากินข้าวของจวนโหว แต่กลับจงรักภักดีต่อฮูหยิน แม้แต่ท่านโหวยังไม่อาจสั่งการพวกเขาได้ หากให้ข้าพูด ท่านควรจะกำจัดคนเหล่านี้โดยเร็ว ขับไล่บุตรหลานของพวกเขาออกไป”

“พูดจบแล้วหรือไม่” เยียนโส่วจ้านสีหน้าดำทะมึน

เฉินฮูหยินกังวลภายในใจ ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือเจ้าคะ”

“กำจัดองครักษ์สามพันนายจากตำหนักบูรพาเป็นแผนการของพี่ชายเจ้าหรือ”

“ไม่…ไม่ใช่เจ้าค่ะ!”

เฉินฮูหยินส่ายหน้าระรัว นางไม่กล้ายอมรับ

ไม่อาจทำให้พี่ชายของตนเองเดือดร้อนได้ ต้องตัดพี่ชายออกจากเรื่องนี้ไปให้ได้

เยียนโส่วจ้านหัวเราะขึ้นมา เขาไม่เชื่อคำพูดของเฉินฮูหยินแม้แต่คำเดียว

เขาพูด “บอกพี่ใหญ่ของเจ้า หากยังกล้าแทรกแซงเรื่องภายในครอบครัวของข้า ให้เขาไปประจำการในหุบเขา ไม่มีสองสามปีอย่าคิดจะกลับมา”

เฉินฮูหยินปพยักหน้าระรัวด้วยสีหน้าซีดเผือด

เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ

“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว เรื่องอื่นเจ้าเรียกร้องได้ ต้องการสิ่งใด ขอแค่ข้ามี ข้าล้วนให้เจ้าได้ ยกเว้นองครักษ์สามพันนายจากตำหนักบูรพา ข้าไม่อยากได้ยินจากปากเจ้าแม้แต่คำเดียว”

เฉินฮูหยินรู้สึกน้อยใจ ขอบตาแดงก่ำ

“ข้าจะเชื่อฟังท่านโหวเจ้าค่ะ”

นางทำท่าทางเกรงกลัว อยากพูดแต่ไม่กล้า

เยียนโส่วจ้านกวาดตามองนาง “เจ้ายังต้องการพูดสิ่งใดอีก”

“ข้าขอบังอาจถามอีกเรื่อง เหตุใด…เหตุใดจึงไม่สามารถพูดถึงเรื่องนั้น…”

เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ

“ไปถามพี่ใหญ่ของเจ้า”

นี่ๆ…

เฉินฮูหยินฉงนยิ่งนัก

วันรุ่งขึ้น

เฉินฮูหยินนัดพบแม่ทัพเฉิน พี่ใหญ่ของนาง

“ท่านโหวไม่อนุญาตให้ข้าพูดถึงองครักษ์สามพันนายจากตำหนักบูรพา ข้าถามว่าเหตุใด ท่านโหวจึงให้ข้ามาถามท่าน พี่ใหญ่ ท่านบอกข้ามา เรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่”

เฉินมั่วหรัน พี่ใหญ่ของเฉินฮูหยินเป็นแม่ทัพผู้มีความรู้ด้านกลยุทธ์อย่างมาก

เขาศึกษาวิชามานานหลายปี แต่เนื่องจากความยากจนของตระกูลจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางจากบัณฑิตเป็นทหาร

ในหลายปีนั้น สิ่งที่เขาทำได้อย่างถูกต้องที่สุดคือการส่งน้องสาวไปเป็นอนุภรรยาของเยียนโส่วจ้านยังจวนโหว

นับจากนั้น ทุกคนในตระกูลเฉินต่างได้รับอานิสงส์

เนื่องจากเฉินฮูหยิน เฉินมั่วหรันจึงได้รับความสำคัญจากเยียนโส่วจ้าน สร้างความดีความชอบบ่อยครั้งจนกลายเป็นท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่ง

พี่น้องสองคนเกื้อหนุนกัน ทำให้มีฐานะและเกียรติยศในวันนี้

เมื่อได้ยินสิ่งที่น้องสาวพูด เขาขมวดคิวครุ่นคิด

“ท่านโหวมีความปรารถนาภายในใจ เป้าหมายของเขาไม่ใช่เพียงแค่แคว้นซ่างกู หรือแคว้นโยวโจว หากแต่เป็นเมืองหลวง ฮูหยินเป็นหูเป็นตาที่คอยจับจ้องเมืองหลวงให้ท่านโหว”

เฉินฮูหยินสงสัย ไม่เข้าใจ

“แต่เซียวฮูหยินไม่เคยยอมรับว่านางมีกำลังคนในเมืองหลวง อีกทั้งไม่ยอมรับว่านางได้รับข่าวจากภายในพระราชวัง”

เฉินมั่วหรันยิ้มอย่างกระจ่าง “เหตุใดต้องมีกำลังคน เพียงแค่นางแซ่เซียว เพียงแค่นางเป็นธิดาขององค์รัชทายาท ‘จางอี้’ ก็เพียงพอแล้ว! ท่านโหวสามารถใช้ฐานะของนางวางแผนในเมืองหลวง ท่านโหวและฮูหยินเป็นสามีภรรยากัน เขาย่อมรู้ถึงสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน เจ้าเห็นว่าฮูหยินไม่เคยยอมรับว่านางมีแหล่งข่าวในเมืองหลวง อีกทั้งไม่เคยปล่อยข่าวออกมา แต่ท่านโหวเคยทำให้นางลำบากใจในเรื่องนี้หรือไม่”

ลองครุ่นคิดอย่างละเอียด ราวกับเยียนโส่วจ้านไม่เคยคาดคั้นเรื่องนี้กับเซียวฮูหยินแม้แต่น้อย

ทุกครั้งล้วนดูเหมือนจะเป็นพายุโหมกระหน่ำ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่หยาดฝนโปรยปราย

เฉินมั่วหรันพูดต่อ “อย่ามองว่าฐานะฮูหยินของนางกระอักกระอ่วน แต่ในมือของนางมีองครักษ์สามพันนายจากตำหนักบูรพา องครักษ์เหล่านี้มีเชื้อสายสืบทอดต่อไป องครักษ์สามพันนายกลายเป็นสี่พันนาย นางผู้เป็นธิดาแห่ง ‘องค์รัชทายาทจางอี้ที่ก่อกบฏแล้วถูกกอบกู้ชื่อเสียง’ จะมีวาสนาครอบครองกำลังคนนับพันไว้ในมือได้อย่างไร

เพราะเหตุใดฮ่องเต้องค์ก่อนจึงตัดสินใจให้นางสมรส แต่ไม่ได้ฉวยโอกาสยึดองครักษ์สามพันนายจากตำหนักบูรพาคืนไป ข้าเดาว่าตอนนั้นภายในเมืองหลวงและพระราชวังย่อมต้องมีคนปกป้องนาง ไม่แน่ว่าในมือของนางอาจมีพระพินัยกรรมของฮ่องเต้จงจ้งอยู่ ฮ่องเต้องค์กรต้องการกำจัดนาง แต่ก็กลัวสิ่งที่มีมูลค่าในมือของนาง จึงไม่กล้าแตะต้องนาง ทำได้เพียงพระราชทานงานแต่งให้นาง มอบนางให้เป็นภรรยาของท่านโหวที่แคว้นซ่างกู่”

เฉินฮูหยินร้องออกมาด้วยความตกใจ “พี่ใหญ่รู้เรื่องเหล่านี้จากที่ใด”

เฉินมั่วหรันอ้าง “เดา! ดูจากท่าทางของท่านโหว รวมทั้งการเคลื่อนไหวของเมืองหลวงและพระราชวังในหลายปีนี้ก็สามารถคาดเดาได้ อาจจะเดาไม่ถูก แต่สามารถมั่นใจได้ องครักษ์สามพันนายเป็นเบี้ยของเซียวฮูหยิน ผู้ใดกล้าแตะต้ององครักษ์กลุ่มนี้ เซียวฮูหยินย่อมไม่ยอม หากนางแตกคอขึ้นมา คงไม่เป็นผลดีกับท่านโหว เจ้าเชื่อฟังท่านโหว นับแต่นี้ต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงองครักษ์สามพันนายจากตำหนักบูรพาอีก อบรบสั่งสอนอวิ๋นฉวนให้ดี เขาเป็นความหวังของเจ้า”

เฉินฮูหยินพยักหน้าระรัว

“ข้าฟังพี่ใหญ่ แต่ในเมื่อพี่ใหญ่รู้ว่าองครักษ์สามพันนายจากตำหนักวังบูรพาแตะต้องไม่ได้ เหตุใดจึงให้ข้าเอ่ยถึงพวกเขาต่อหน้าท่านโหว”

เฉินมั่วหรันยิ้ม “ย่อมเป็นเพราะต้องการดูท่าทีของท่านโหว”

“ดูแล้วเป็นอย่างไร” เฉินฮูหยินถามด้วยความสงสัย

เฉินมั่วหรันเลือกที่จะตอบ

“รอก่อน รอพระราชโองการจากพระราชวังมาถึงค่อยตัดสินใจ เวลานั้นควรทำอย่างไร ข้าจัดส่งคนมาบอกเจ้า”

หลายวันต่อมา ทูตแห่งโอรสสวรรค์เดินทางมาะถึงแคว้นซ่างกู่

จวนท่านโหวกว่างหนิงเปิดประตูกลางต้อนรับ

ขบวนนับร้อยคน ทูตหลักเป็นขุนนางฝ่ายในที่มีนามว่าติงอี้ ตำแหน่งขันทีระดับกลาง

“ท่านฉางซื่อเดินทางมาไกล ข้าจัดเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว หวังว่าท่านฉางซื่อจะให้เกียรติ”

“ท่านโหวเกรงใจ! ข้าตามใจท่านโหว เรื่องการถ่ายทอดพระราชโองการรอวันพรุ่งนี้ก่อน”

“ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับท่านฉางซื่อ”

เยียนโส่วจ้านรับรองด้วยตนเอง เขาเชิญติงฉางซื่อดื่มสุรา

หลังจากที่ดื่มสุราครบสามรอบ อาหารครบห้ารส ติงฉางซื่อถามถึงเซียวฮูหยินขึ้นมา

“ตอนที่ข้าออกจากพระราชวัง ฝ่าบาททรงกำชับให้ข้ามาเยี่ยมฮูหยิน ดูว่านางสบายดีหรือไม่”

“ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงกังวลถึงภรรยาข้าเพียงนี้ ข้าต้องมีวาสนาเพียงใดกัน อยากจะเดินทางเข้าเฝ้าฝ่าบาทยังตำหนักจินหลวน ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ มีเพียงเช่นนี้ถึงจะแสดงความซาบซึงภายในใจของข้าได้”

เยียนโส่วจ้านยอดเยี่ยมในการแต่งเรื่อง เขาแสดงออกด้วยท่าทางจริงใจ เหลือเพียงแค่หลั่งน้ำตาลงมา

การแสดงอาการเศร้าโศกของเขาย่ำแย่ เค้นน้ำตามาครึ่งวันก็ยังไม่เห็นหลั่งไหลลงมาสักหยด เขายังต้องฝึกฝนอีกมาก

ติงฉางซื่อยิ้มอย่างมีนัย “เหตุใดวันนี้จึงไม่พบฮูหยิน”

“ท่านฉางซื่อต้องการพบนางหรือ”

“ท่านโหวไม่สะดวกหรือ”

“สะดวก…สะดวก! ผู้ใดก็ได้ ไปเชิญฮูหยินมา”

บ่าวรับใช้รับคำสั่ง

เยียนโส่วจ้านเริ่มเกลี้ยมกล่อมให้ดื่มสุราอีกครั้ง

ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ เซียวฮูหยินเดินทางมาถึงโถงรับรองแขกด้านนอกภายใต้การรายล้อมของบ่าวรับใช้

เมื่อติงฉางซื่อพบนาง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป แววตาของเขาลุกวาว

เขายืนขึ้นอย่างช้าๆ เชิดหน้ายิ้มด้วยความเสียดสี

“ไม่พบนานหลายปี ฮูหยินชราลงมากแล้ว”

เซียวฮูหยินมองเขา “กงกงท่านนี้หน้าคุ้น พวกเราเคยพบกันในพระราชวังหรือ”

ติงฉางซื่อหัวเราะ “ฮูหยินช่างลืมง่าย ตอนนั้นข้ายังเป็นขันทีประตูเหลืองตัวน้อย รับใช้อยู่ในพระตำหนักของพระพันปี เคยพบกับฮูหยินหลายครั้ง อีกทั้งยังเคยปรนนิบัติถวายน้ำชาให้ฮูหยิน”

เซียวฮูหยินส่งเสียง ‘อ้อ’ ตอบรับ “เรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน ลำบากกงกงจำได้แม่นยำเพียงนี้”

ติงฉางซื่อยิ้มอย่างประหลาด

“ลมน้ำหมุนเวียนสับเปลี่ยน ผู้ใดจะคิดว่าพระราชนัดดาแห่งตำหนักบูรพาอันสูงส่งจะแต่งงานมาอยู่ในพื้นที่ยากลำบากอย่างแคว้นซ่างกู่นี้”

เซียวฮูหยินสีหน้าราบเรียบ “ติงกงกงเจริญก้าวหน้า เลื่อนขั้นจากขันทีประตูเหลือมาเป็นฉางซื่อ ยินดีด้วย!”

สายตาของเยียนโส่วจ้านเคลื่อนไปมาอยู่บนตัวคนทั้งสอง

ติงฉางซื่อมีความแค้นกับเซียวฮูหยิน?

หรือว่าทั้งสองกำลังเล่นละครตบตา?