ตอนที่ 11 เล่นที่สนามเด็กเล่น

I Was Kidnapped By The Strongest Guild

“คยยอุล เรามาที่นี่เพื่อพักผ่อน เพราะงั้นอย่าวิ่งมากเกินไปหรือออกแรงมากเกินไปนะ โอเคไหม?”

 

“โอเค”

 

มันจะมีอะไรที่ทำให้ฉันต้องออกแรงมาก ๆ ในสนามเด็กเล่นกัน?

 

ฉันถอนหายใจออกมา จากนั้นฉันก็ก้าวเท้าเหยียบบันไดและปีนขึ้นไปบนสไลเดอร์

 

เมื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสนามเด็กเล่น ฉันก็ตรวจสอบพื้นที่ มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ฉันเห็น

 

จากเด็กที่กำลังปีนจังเกิ้ลยิมอย่างยิ้มแย้ม ไปจนถึงคุณแม้ที่กำลังผลักชิงช้าให้ลูกอย่างช้า ๆ

 

ถึงแม้จะมีคนอยู่อย่างมากมาย แต่ก็มีตัวตนหนึ่งที่ไม่เข้ากับสนามเด็กเล่นอยู่

 

เป็นผู้ใหญ่ที่กำลังสไลลงมาตามสไลเดอร์ของเด็ก

 

ถ้าหากมีคนที่รู้ว่าฉันเป็นใครแล้วเห็นสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องเยาะเย้ยฉันอย่างแน่นอน

 

“เฮ้อ”

 

มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

 

ฉันกำลังนั่งอยู่บนสไลเดอร์ด้วยความหนักใจ ขาที่ฉันไม่คุ้นเคยก็เข้ามาในสายตาฉัน

 

ฉันไม่ได้ย้อนเวลา แต่ขาของฉันมันก็เล็กลงตั้งสองครั้ง

 

มันน่าหนักใจในหลาย ๆ ความหมาย แต่ฉันก็พยายามคิดแง่ดี

 

ฉันกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่มีใครเคยเจอ

 

‘ด้วยร่างกายที่เป็นเด็กแบบนี้ บางทีฉันอาจจะอายุยืนยาวมากขึ้นก็ได้’

 

ในขณะที่ฉันกำลังคิดเหตุผลเข้าข้างตัวเองอยู่ จู่ ๆ ก็มีคนมาสะกิดไหล่ฉัน

 

ด้วยความตกใจจากการสัมผัสกระทันหัน ฉันสะดุ้งและหดตัวลง

 

“อ-อะไร?!”

 

เมื่อฉันหันหลังกลับไป ฉันก็พบกับเด็กผู้ชายที่กำลังกระพริบตาใส่ฉันอยู่

 

รูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของเขาทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ

 

“คือว่า ฉันอยากสไลลงไปน่ะ”

 

“อ-โอเค”

 

ฉันคงจะไปขวางทางเขา

 

ด้วยความรู้สึกผิด ฉันจึงรีบเลื่อนตัวออกไป แต่จู่ ๆ เด็กชายก็ถามคำถามขึ้นมา

 

“ทำไมหูของเธอถึงอยู่บนหัวล่ะ? เธอเป็นแมวเหรอ?”

 

“ฉ-ฉันไม่รู้!”

 

อ่าาาาา—

 

ฉันถอนหายใจยาวพร้อมกับสไลลงสไลเดอร์ไป

 

การที่ตัวหดลงทำให้การสไลลงยาวนานกว่าปกติ

 

ไม่สนุกเลย

 

“เฮ้อ”

 

ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงพาผู้ใหญ่อย่างฉันมาที่สนามเด็กเล่นกัน?

 

เธออยากทำให้ฉันอับอายเหรอ?

 

ในขณะที่ฉันลุกขึ้นจากสไลเดอร์พร้อมกับถอนหายใจออกมา ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาหาฉัน

 

“เป็นไงบ้าง? ไม่สนุกเหรอ?”

 

ความเมตตาที่เสแสร้งและรอยยิ้มของเธอมันดูน่ารังเกียจมาก

 

ตอนนี้ฉันเริ่มมั่นใจแล้ว

 

เธอพาฉันมาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยฉัน

 

เธอคงจะอยากปฏิบัติกับฉันเหมือนเด็ก ๆ เลยดัดแปลงฉันให้เด็กลง

 

แม่มดชั่ว

 

ฉันระงับความไม่พอใจไว้และปรบมืออย่างอ่อนแรง

 

“ว้าว…”

 

แปะ—

 

แปะ—

 

แปะ—

 

ฉันปรบมืออย่างช้า ๆ และผู้หญิงคนตัวสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด

 

เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าหญิงสาวกำลังประหลาดใจกับการต่อต้านของฉัน

 

นี่คือกลยุทธ์ที่ฉันเรียนรู้มาจากผู้หญิงคนนี้ ภายนอกดูสดใสแต่ภายในเจ้าเล่ห์

 

“แล้วคุณล่ะ คุณไม่สนุกเหรอ?”

 

สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นดูหงุดหงิดอยู่

 

ฉันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าฉันสามารถโต้กลับเธอได้แล้ว ดังนั้นฉันจึงแสดงท่าทีต่อต้านเธออีกนิดหน่อย

 

“ฉันไม่รู้ว่ามันสนุกหรือเปล่า…”

 

ฉันมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่มั่นใจ

 

มันเป็นการแสดงออกของฉันว่า ฉันไม่อยากเล่นแล้ว

 

“โอ้…ถ้างั้นลองเล่นอันนั้นดูไหม?”

 

“อันนั้น?”

 

ฉันมองไปที่ที่นิ้วของเธอชี้

 

มันเป็นชิงช้าอันเล็ก ๆ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับเด็ก

 

“ใช่ คยออุลไม่เคยเล่นใช่ไหม? เดี๋ยวพี่ผลักหลังให้คยออุลเอง อยากลองนั่งไหม?”

 

“ก-ก็ได้…”

 

จากสไลเดอร์ก็ต่อด้วยชิงช้า

 

ทรมานฉันไม่เลิกเลยจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้

 

ฉันเดินไปที่ชิงช้าและขึ้นไปนั่งลงบนมัน

 

“พร้อมหรือยัง?”

 

“พร้อมแล้ว…”

 

ฉันพยักหน้าอย่างอ่อนแรง และผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มผลักฉันจากด้านหลัง

 

ทุกครั้งที่มือของเธอแตะโดนหลังฉัน ร่างกายของฉันก็สั่นเล็กน้อย

 

“อะไรกัน…”

 

เธอผลักฉันอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลเพราะกลัวฉันจะล้มงั้นเหรอ?

 

ถึงแม้เธอจะแสร้งใจดี แต่สัมผัสของเธอก็อบอุ่นเหลือเกิน

 

แม้แต่ฉันที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ ก็ยังเกือบถูกความรู้สึกนี้หลอก

 

“เป็นไง สนุกไหม?”

 

“อ-อืม…”

 

สัมผัสที่อ่อนโยนแบบนี้ฉันไม่ได้รู้สึกถึงมันมาหลายปีแล้ว

 

ถึงแม้จะรู้ความจริงดี แต่ฉันก็รู้สึกสมเพชตัวเองที่ใจหวั่นไหวให้กับสิ่งนี้

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันไม่ได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังฉันก็ได้

 

‘ฉันไม่ชอบเลย’

 

ฉันคิดว่าฉันใช้ชีวิตอยู่อย่างยืดหยุ่น

 

นี่ฉันปรารถนาความรักจากมนุษย์โดยที่ไม่รู้ตัวหรือเปล่า?

 

ฉันรู้สึกหายใจไม่ออก ฉันจึงเหวี่ยงขาและพูดว่า

 

“ช่วยดันฉันแรง ๆ หน่อยได้ไหม?”

 

ยิ่งฉันถูกผลักไปให้สูงเท่าไหร่ ฉันก็จะยิ่งตกลงมาช้าขึ้นเท่านั้น ด้วยวิธีนี้ก็จะลดความถี่ในการสัมผัสจากเธอได้

 

นี่คือวิธีต่อต้านของฉัน

 

“โอเค พี่จะออกแรงให้มากขึ้น แต่ต้องจับไว้ให้แน่น ๆ นะ โอเคไหม?”

 

“โอเค”

 

แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะผลักแรงขึ้น แต่ฉันก็ไม่รู้สึกถึงความรุนแรงเลย

 

เธอผลักอย่างนุ่มนวลเพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะไม่หล่น

 

แม้ว่าฉันจะไม่ชอบ แต่ความรู้สึกที่อบอุ่นจนน่าประหลาดใจก็แล่นเข้ามาเติมเต็มหัวใจของฉันจนมากเกินจะรับไหว

 

เมื่อถึงจุดสูงสุดของชิงช้า ฉันก็กระโดดออกมา

 

“อ๊ะ! คยออุล!”

 

เสียงร้องด้วยความตกใจของผู้หญิงคนนั้นดังออกมาจากด้านหลังของฉัน

 

เธอคงไม่ได้เป็นห่วงฉันหรอก บางทีเธออาจกังวลว่าร่างกายที่เธอสร้างขึ้นมาอย่างประณีตจะได้รับความเสียหายก็ได้?

 

ทัศนคติที่ชัดเจนของเธอทำให้ฉันกลับมาสู่ความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว

 

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่จะสามารถมอบความรักให้ฉันได้

 

‘ชิ’

 

หากสัมผัสของเธอเมื่อกี้เป็นของจริงแล้วละก็

 

พอฉันคิดได้ว่ามันเป็นเพียงแค่การจินตนาการที่ไร้สาระของฉันเอง ฉันจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาว

 

ฉันเตือนตัวเองอยู่หลายครั้งว่าหญิงสาวคนนี้เห็นฉันเป็นเพียงหนูทดลอง

 

“ฉันขอโทษ ฉันคิดว่าเกมนี้เป็นเกมที่ต้องกระโดดให้ไกลที่สุด”

 

“อ่า ใช่ มันก็มีเกมแบบนั้นอยู่ แต่คยออุลต้องระวังไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บนะ เข้าใจไหม?”

 

“อ-อืม…”

 

ตามที่คาดไว้ เธอเป็นห่วงแค่ร่างกายที่เธอดัดแปลง

 

แต่ในอีกทางหนึ่ง ฉันก็พบจุดอ่อนของเธอแล้ว

 

เธอจะไม่ยืนอยู่เฉย ๆ แน่ถ้าหากร่างกายของฉันได้รับบาดเจ็บ

 

“แล้วเป็นไงบ้าง ชิงช้าสนุกไหม?”

 

“อืม สนุกดี”

 

“จริงเหรอ? ถ้างั้นอยากเล่นชิงช้าอีกรอบหนึ่งไหม?”

 

หญิงสาวชี้ไปที่ชิงช้าด้วยรอยยิ้มอันสดใส

 

ฉันรีบสายหัวทันที เนื่องจากฉันไม่อยากถูกเธอสัมผัสอีกแล้ว

 

“ไม่ ฉันอยากลองอย่างอื่นบ้าง”

 

“โอเค ที่นี่มีของให้เล่นอยู่เยอะเลย ถ้างั้นลองเล่นดูทีละอันดีไหม?”

 

“อืม…”

 

ทั้งหมดเลยเหรอ?

 

นี่ฉันต้องเล่นเครื่องเล่นกี่อันกัน?

 

ฉันนับเครื่องเล่นที่เธอใช้นิ้วชี้

 

‘หนึ่ง สอง สาม’

 

แค่นับคร่าว ๆ ก็เกินสิบแล้ว

 

ฉันไม่อยากเล่นเลย แต่ฉันก็ต้องยอมแพ้เพราะทัศนคติของเธอมันแรงมากเลย

 

แต่ที่ยอมแพ้ไม่ใช่เพราะว่าฉันชอบสัมผัสอันอบอุ่นของเธอแน่นอน

 

——————————————————————————————————————————

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

ยอรึมกลับไปที่เต็นท์พร้อมคยออุล เนื่องจากได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว

 

ยอรึมครุ่นคิดอย่างจริงจังเรื่องอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและอร่อยที่จะมอบให้คยออุล

 

ในขณะที่ยอรึมกำลังครุ่นคิดอยู่ คยออุลก็ดึงชายเสื้อของยอรึมอย่างระมัดระวัง

 

“คุณชอบชาดอกแดนดิไลออนไหม?”

 

“ชาแดนดิไลออน?”

 

“ใช่ มันเป็นชาที่ดีต่อสุขภาพ”

 

คยออุลเสนอจะทำชาให้

 

นี่เป็นการเปิดโอกาศให้ยอรึมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร

 

“ถ้างั้น พี่ก็จะเลี้ยงอาหารกลางวันคยออุลเอง”

 

“อาหารกลางวัน? แต่ฉันให้ชาแค่แก้วเดียว…”

 

“แค่ชาแก้วเดียว? มันเป็นชาที่คยออุลเป็นคนทำเองโดยการเลือกดอกแดนดิไลออนที่ดีที่สุดมาทำต่างหาก”

 

“ก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่า…”

 

ดวงตาของคยออุลส่ายไปมาด้วยความสับสนว่าชามีมูลค่าเท่าไหร่

 

“สมัยนี้ราคาชาค่อนข้างสูง ถ้าเป็นชาทำมือและเกรดดี ก็แก้วละหนึ่งหมื่นวอนหรือเปล่านะ?”

 

“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

“ใช่แล้ว แต่ของคยออุลเป็นดอกแดนดิไลออนที่ขึ้นตามป่าด้วย”

 

มันไม่ใช่เรื่องโกหก

 

ในยุคนี้ การผูกความหมายไว้กับบางสิ่งอาจเพิ่มมูลค่าให้กลายเป็นแสนวอนในตลาดพรีเมี่ยมได้

 

“ถ้างั้น ฉันจะเรียกเก็บไม่ถึงหมื่นวอน”

 

“เอาละ เดี๋ยวพี่ขอออกไปข้างนอกสักหน่อยนะ โอเคไหม?”

 

“โอเค…”

 

ยอรึมพยักหน้าและเดินออกจากเต็นท์ไป โดยปล่อยคยออุลไว้ข้างหลัง

 

จุดหมายแรกของยอรึมคือในป่าลึกที่เพื่อนร่วมงานของเธอรออยู่

 

“มาแล้ว”

 

“อืม”

 

ชายรูปร่างใหญ่โตออกมาจากหลังต้นไม้ ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า

 

ชื่อของเขาคือ ชเวจินฮยอก ชายที่ตัวโตที่สุดในกิลด์

 

จินฮยอกทำท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาจนมือของเขาอยู่ไม่เป็นสุข

 

“มีอะไรเหรอ?”

 

“เมื่อเช้านี้ฉันบังเอิญเจอเด็กคนนั้น ฉันจึงชวนเธอคุยด้วย”

 

“โอ้?”

 

เรื่องที่พวกเขาพบกันมันถึงขนาดที่เขาต้องรายงานเลยเหรอ?

 

ยอรึมเบิกตากว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“ฉันเริ่มด้วยการพูดขอโทษเธอก่อน”

 

“ขอโทษ?”

 

“ใช่ แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะไม่เชื่อในคำขอโทษฉันเลย”

 

คำขอโทษ

 

พอมาคิดดูแล้ว ฉันเคยขอโทษเด็กหรือเปล่า?

 

ยอรึมนึกถึงวันแรกที่เด็กที่ได้รับพรเข้าไปตื่นขึ้นมา

 

ฉันตั้งใจจะขอโทษเด็กทันที

 

แต่เด็กก็วิ่งหนีไปด้วยความตกใจก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยคำขอโทษ

 

ต่อมาท้องของเด็กก็ร้อง ฉันจึงพาเธอไปที่โรงอาหาร

 

จากนั้นฉันก็หมดหวังกับสถานการณ์สุดเลวร้ายของเด็ก

 

มันวุ่นวายมากจนฉันจำไม่ได้เลยว่าฉันเคยพูดขอโทษหรือเปล่า

 

‘ฉันไม่เคยขอโทษเลยเหรอ…?’

 

ตอนนั้นมีเรื่องให้ฉันคิดมากมายบวกกับจิตใจที่สับสนของฉัน ฉันจึงจำเหตุการณ์นั้นไม่ค่อยได้เลย

 

แย่แล้วสิ

 

แม้ฉันจะรีบร้อนแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ควรลืมขอโทษ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย

 

หลังจากที่ยอรึมจัดระเบียบความคิดของตัวเองแล้ว ยอรึมก็เงยหน้าขึ้นมองจินฮยอก

 

“นายพูดขอโทษแต่เธอไม่เชื่องั้นเหรอ?”

 

“ใข่ มันไม่มีอะไรผิดปกติหรอก แต่ฉันคิดว่าเธอควรรู้เอาไว้”

 

“โอเค ขอบใจ”

 

บางทีเธออาจจะยังไม่สามารถไว้วางใจได้ เนื่องจากเธอทุกข์ทรมานจากผู้คนมาเยอะ

 

ยอรึมถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว

 

“เด็กก็คงสงสัยในตัวเธอเหมือนกัน จำไว้ให้ขึ้นใจด้วย”

 

“โอเค ฉันจะจำไว้”

 

ยอรึมตระหนักดีว่าสายตาของเด็กเต็มไปด้วยความสงสัย

 

แต่เนื่องจากมันเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ ยอรึมเลยไม่สนใจมันมากนัก

 

หลังจากขอบคุณจินฮยอกที่เตือน ยอรึมก็มุ่งหน้าไปร้านอาหารที่อยู่ใกล้ ๆ

 

ยอรึมเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเยียวยาผู้คนได้ดีกว่าเนื้อสัตว์อีกแล้ว