หลังจากบอกลากับคุณโลเรียที่ออกมาโบกมือส่งให้พร้อมกับรอยยิ้ม ฉันก็ถูกพามาที่โรงอาหารต่อ

ห้องครัวของฉันมันยังไม่พร้อมใช้งานเลย เผื่อใครไม่รู้นะ ตอนนี้ฉันหิวสุดๆ เลยล่ะ

 

“เป็นร้านเดียวในหมู่บ้าน แต่ก็อร่อยใช้ได้เลย! ไม่ต้องคาดหวังเกินไปหรอกนะ!”

“ค่ะ! อา ให้ฉันเลี้ยงมื้อกลางวันคุณเอลลิสมั้ยคะ? เรื่องที่ช่วยนำทางให้ต้องขอบคุณเลยนะคะ”

 

นี่ก็ใกล้ได้เวลามื้อกลางวันแล้ว ฉันกะจะขอบคุณในเรื่องที่คุณเอลลิสดูแลฉันมาตลอด แต่เธอก็หัวเราะออกมา ก่อนจะตบหลังฉันเสียงดัง

อือ เจ็บจัง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ให้ซาราสะจังที่รุ่นเดียวกับลูกสาวชั้นเลี้ยงข้าวชั้นเนี่ยนะ! ป้าอย่างชั้นก็เสียหน้าแย่ซี่! กลับกันเลย ให้ป้าเลี้ยงเธอดีกว่านะ!”

“เอ๊ะ!? แต่ว่า ไหนจะช่วยนำทางแล้ว จะให้ทำมากกว่านี้มันก็…”

“เด็กสาวๆ น่ะไม่ต้องกังวลเรื่องพรรคนั้นหรอกน่า! ป้าเองก็หิวแล้วเหมือนกัน!”

 

พอพูดยังงั้น คุณเอลลิสก็เอามือมาลูบท้องของตัวเอง

ก็ดูจะเป็นคนหิวบ่อยจริงนั่นแหละ… เปล่านะ เปล่าๆ เมื่อกี้มันแค่คำอุปมาอุปไมยเนอะ? ใช่แหละ

 

คุณเอลลิสพามาที่ร้านอาหาร ที่เป็นเหมือนเรียวกังคู่กับโรงอาหาร

นี่เป็นหลักฐานบอกว่ามีนักเก็บสะสมรวมตัวอยู่ที่หมู่บ้านนี้เยอะเลยสินะเนี่ย

พอฉันเข้าไปข้างใน ในนั้นก็มีกลุ่มคนกลุ่มนึงในโรงอาหารกำลังกินข้าวกันอยู่ ที่น่าจะเป็นนักเก็บสะสมนี่แหละ

ในเวลาแบบนี้ก็มีบางคนเข้าไปในทะเลป่าใหญ่ด้วย แสดงว่าธุรกิจของฉันก็น่าจะดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยสินะ?

 

“ดีรัล! ขอสั่งข้าวหน่อยสิ!”

“โอ้ เอลลิส? มาแต่หัววันแบบนี้ หายากนะเนี่ย?”

 

พอคุณป้าที่อายุดูไล่เลี่ยกับคุณเอลลิสได้ยินเสียงเรียกของคุณเอลลิส เธอก็ชะเง้อออกมาจากข้างหลังร้าน

เป็นคุณป้าที่ดูยิ้มแย้มร่าเริง ร่างกายก็ดูสมส่วนกว่าคุณเอลลิสด้วย

 

“ไม่เอาน่า ดีรัล แบบนั้นมันก็เหมือนว่าชั้นมาดื่มทุกคืนเลยน่ะสิ!”

“นี่ถ้าไม่ได้เงินจากเอลลิสล่ะก็ มีหวังฉันหาเงินไม่พอลืมตาอ้าปากไหวแหงเลย”

 

อะฮะฮะ คุณเอลลิสกับคุณดีรัลหัวเราะไปด้วย ตบหลังกันและกันไปด้วยซะแล้ว

อื~ม? นี่คือวิธีการคุยกันของสมาคมป้าแม่บ้านในหมู่บ้านนี้หรือเปล่านะ? แต่เจ้า *บั่กบั่ก* นี่น่ะ กับฉันที่ร่างกายบอบบางแล้ว มันออกจะหนักไปหน่อยแฮะ

 

“แล้วนี่มาทำอะไรเนี่ย? ฉันว่า เธอคงไม่ได้มาดื่มตั้งแต่หัววันแบบนี้อยู่แล้วล่ะเนอะ? น่าจะเกี่ยวอะไรกับแม่สาวข้างหลังเธอใช่มั้ย?”

“อ้า แม่หนูคนนี้ก็คือท่านนักเล่นแร่แปรธาตุไงหล้า! ชั้นมาที่นี่ ก็จะแนะนำเด็กคนนี้ให้รู้จัก แล้วก็มากินข้าวเที่ยงด้วยน่ะ”

“ค- คือ ฉันชื่อซาราสะค่ะ ฉันกำลังจะเปิดร้านที่หมู่บ้านนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ!”

 

พอถูกคุณเอลลิสดันหลังขึ้นมาข้างหน้า ฉันก็รีบแนะนำตัวแล้วโค้งให้

 

“เห! เริ่มเปิดร้านตั้งแต่ยังเด็กขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!? ยอดเลยน้า~ ชั้นดีรัล เป็นเจ้าของเรียวกังนี้นี่แหละ ถ้าถูกใจ ก็แวะมาอุดหนุนได้เลยนะ!”

“ค่ะ ตอนนี้ สภาพของฉันยังไม่พร้อมทำอาหารเลย คิดว่า คงต้องฝากให้คุณดีรัลช่วยดูแลอีกซักพักนึงนะคะ”

“อ๋า เพิ่งจะย้ายมา ก็เลยยังทำอะไรไม่ได้สินะ… ดีล่ะ! เข้าใจละ! มาเลี้ยงฉลองขึ้นบ้านใหม่ให้แม่หนูกันดีกว่า! วันนี้ป้าเลี้ยงเองจ้า!”

“ข- ขอบคุณนะคะ”

 

ว่าตามตรง เรื่องที่เลี้ยงอาหารมื้อนี้ฉันก็ดีใจนะ แต่ตอนที่โดนตีหลังนี่เจ็บจังเลย

 

“โห ดีรัล โทดทีนะ”

“เอลลิส! เธอน่ะจ่ายเหมือนเดิมนั่นแหละ!”

“อะไรเนี่ย ขี้ตืดชะมัด”

“คือ ยังไงก็ ขอบคุณเรื่องที่ช่วยนำทางให้ฉันมาตลอดทางนี่เลยนะคะ เดี๋ยวฉัน…”

“เอาล่ะ ดูแลคุณหนูคนนี้ด้วยนะ”

 

ตอนที่ฉันกำลังอึกอักที่จะพูดเสนอ คุณเอลลิสก็ยิ้ม พลางพูดแบบนั้นแล้วก็ชี้มาที่ฉันด้วย

พอเห็นยังงั้น คุณดีรัลก็เดาะลิ้นทีนึง

 

“ชิ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ มื้อนี้ ชั้นให้เธอฟรีด้วยก็ได้”

“เออ คือ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

 

ถึงฉันจะดีใจก็เถอะ แต่ถ้าเกิดต้องรบกวนคนอื่นแบบนี้ ฉันก็ลำบากใจเหมือนกัน…

พอฉันมองทั้ง 2 คนด้วยสีหน้าลำบากใจนิดหน่อย คุณเอลลิสกับคนอื่นๆ ก็มองหน้ากันไปมา แล้วก็หัวเราะกัน

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ชั้นรู้จักกับเอลลิสมาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกเราก็ยังงี้กันตลอดนี่แหละ อีกอย่าง ชั้นก็ติดหนี้เจ้าผัวของเอลลิสอยู่ด้วย นานๆ ทีจะทำแบบนี้บ้างก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก!”

“มันก็เป็นเรื่องที่เราหยอกกันเป็นประจำนั่นแหละ”

“ช่าย ไม่ได้มีอะไรหรอกนะ”

 

สามีของคุณเอลลิสเป็นนายพราน แล้วก็จะเอาเนื้อมาขายที่เรียวกังนี้อยู่เรื่อยๆ

ตอนนั้น บางทีก็จะมีการแถมเพิ่มมาด้วย ในความสัมพันธ์แบบพึ่งพาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแบบนี้ การทะเลาะกันประมาณนี้ คงเป็นเหมือนการตีกันระหว่างเพื่อนที่สนิทกันงั้นสินะ

อื~ม ไม่เข้าใจเลยค่า!

นี่เพราะฉันไม่ชินกับการเข้าสังคมหรือเปล่านะ?

 

“มีอะไรที่แม่หนูกินไม่ได้หรือเปล่าจ๊ะ?”

“ไม่มี อะไรเป็นพิเศษนะคะ… ทานได้อย่างปกติที่เขาทานกันได้เลยค่ะ”

 

ฉันไม่ได้โตมาในบรรยากาศที่สามารถพูดอะไรเกินตัวได้ เพราะงั้น ถ้าไม่สนเรื่องว่าฉันชอบหรือไม่ชอบแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ฉันทานไม่ได้นะ

เท่าที่ฉันเคยได้ยินมา เหมือนในโลกนี้จะมีของที่กลิ่นเหม็นจนน่าแปลก หรือของที่บูดแล้วแต่ยังกินได้ ถ้าเป็นของแบบนั้นออกมา ฉันก็คงชะงักไปนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน

 

“งั้นก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวชั้นจัดการกับพวกนักเก็บสะสมตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน ชั้นใช้แค่วัตถุดิบทั่วๆ ไปในการทำอาหารที่เสิร์ฟเท่านั้นนั่นแหละ!”

 

ยังงี้เอง ถ้างั้นก็… หือ? อาหารที่เสิร์ฟเหรอ?

 

“มีอาหารท้องถื่นแปลกๆ ในหมู่บ้านนี้ด้วยเหรอคะ?”

“หือ? ไม่ได้มีอาหารท้องถิ่นอะไรหรอกนะ ของในชนบทแบบนี้ อะไรๆ ก็กินได้ทั้งนั้นเลย อย่างแมลง, รถด่วน หรือบางที แม้แต่หนอนแก้วก็ได้นะ…”

 

อุบ! อันนี้ไม่ไหวนะ!

ถ้าต้องทานของระดับนี้ ฉันต้องอดตายแน่เลย!

 

“อะฮะฮะฮ่า ไม่ต้องห่วงนะ! เราไม่ได้เสิร์ฟมันหรอก! ชาวบ้านก็เป็นบางคนนั่นแหละที่ชอบกินน่ะ!”

“ย- ยังงั้นเหรอคะ…”

 

โล่งอกไปที

นี่ถ้าหลังทานเสร็จ แล้วเกิดเธอมาบอกฉันว่า “จริงๆ ในนั้นก็มีใส่ลงไปอยู่นะ” ถ้าฉันกลั้นไม่อยู่ มีหวังทุกอย่างได้พุ่งออกมาหมดไส้หมดพุงแหงเลย

 

“แต่ว่า ของพวกนี้มันก็อยู่ที่แล้วแต่คนเลือกที่จะกินไม่ใช่เหรอ? อย่าง ผักดองงี้ไง”

“อา ก็จริงนะ คนที่ชอบก็ชอบนั่นแหละ ชั้นจะเอามาเสิร์ฟก็แค่เวลามีคนสั่งก็เท่านั้นเอง”

“―――?”

 

ฉันรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่กับบทสนทนาที่รู้สึกแปลกๆ นี้ พอฉันถามถึงรายละเอียดดู ‘ผักดอง’ ที่คุณเอลลิสพูดถึงเหมือนจะเป็นผักดองที่พิเศษซักหน่อย เป็นของที่ดองเอาไว้ในถังมานานกว่า 1 ปีแบบนั้นน่ะ

มันเป็นอาหารฉุกเฉินในฤดูที่ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้แย่ แต่แม้แต่ชาวบ้านยังทานลำบากเลย เพราะงั้น เวลาจะทาน คนทั่วๆ ไปก็จะเอาแช่น้ำทิ้งไว้ซักพักก่อนค่อยเอามาทาน

ทั้งคุณเอลลิสกับคุณดีรัลก็อยู่ในระดับที่ “ไม่แนะนำเด็ดขาด และพวกชั้นก็ไม่ได้กินด้วย” เพราะงั้น ฉันก็ค่อนข้างมั่นใจอยู่ว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้ทานหรอก

ได้โปรดเถอะ โอกาสแบบนั้น อย่าได้มาถึงเลยนะ

 

“ดีล่ะ ชั้นจะเอาอาหารจานแนะนำตามปกติของที่นี่มาให้กินแล้วกัน รอแป๊บนึงนะ!”

 

หลังจากพูดทิ้งเอาไว้แบบนั้น คุณดีรัลก็กลับไปที่ครัวข้างหลัง แล้วกลับมาพร้อมอาหารสำหรับพวกเรา 2 คนแบบทันทีเลย

 

“ตามปกติระหว่างวันก็จะเป็นแบบนี้นะ วันนี้ป้าเลี้ยงเอง แต่ทุกที จานนี้ก็ 40 แรร์ ถ้าถูกใจ ก็แวะมาอุดหนุนได้เลยนะ!”

 

*ฉ่าาา*

 

“ขอบคุณนะคะ จะทานล่ะนะคะ”

 

ในจานก็มีเนื้อเป็นชิ้นๆ กับถั่วที่ผัดเข้าด้วยกัน, ขนมปัง 2 ชิ้น แล้วก็ซุปที่มีผักเต็มถ้วยเลย

กลิ่นหอมฉุยลอยมาตามลมเลย… อื้ม! อร่อยจัง!

ฉันเดินทางมาซักพักใหญ่เลย ก็เลยได้ทานแค่เนื้อเค็มตากแห้ง ขนมปังแข็งๆ แล้วก็น้ำเอง แค่ได้ทานอะไรอุ่นๆ แบบนี้ก็รู้สึกดีแล้วล่ะ

 

“ถูกใจหรือเปล่า?”

“ค่ะ! อร่อยมากเลยค่ะ!”

“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ! ค่อยๆ กินช้าๆ ก็ได้นะ”

 

คุณดีรัลตบบ่าของฉันอีกรอบนึง หัวเราะอย่างดีใจ แล้วก็กลับไปทำงาน

อืม เธอก็เป็นคนดีนะ แต่อยากให้ยั้งๆ มือเรื่องทำรุนแรงกับร่างกายกันจังเลยน้า?

ฉันเอาแต่เรียนอย่างเดียว ก็เลยเป็นเด็กตัวผอมแห้งเหมือนถั่วงอกน่ะ

 

“โทษทีนะ พวกเราอาจจะเสียมารยาทไปบ้าง ในหมู่บ้านแบบนี้ ไม่มีเด็กสาวตัวเล็กๆ เหมือนแม่หนูเลย เราก็อาจจะวางตัวไม่ถูกกันว่าจะเข้าหาเธอยังไงดี สาวชาวบ้านน่ะแข็งแรงกันมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ”

 

อ๊ะ? มันออกมามาทางสีหน้าของฉันเลยเหรอ?

 

“เปล่าค่ะๆ ฉันเข้าใจค่ะว่าทุกคนเป็นคนดีกัน―――คุณเอลลิสมาที่นี่บ่อยๆ เลยเหรอคะ?”

“หือ? นานๆ ทีชั้นจะมาที่นี่เวลากลางวันล่ะนะ เพราะอิผัวชั้นเป็นนายพรานด้วย ระหว่างวัน ชั้นก็จะอยู่คนเดียวน่ะสิ”

“แล้ว ลูกๆ ล่ะคะ?”

“ชั้นมีลูกสาว 2 คน ลูกชายคนนึง พวกลูกสาวก็แต่งงานออกไปกันละ แต่เจ้าลูกชายนี่ไม่อยากเดินตามพ่อมัน ก็เลยออกจากหมู่บ้านไปเป็นพ่อค้าแล้วล่ะ”

“เป็น แบบนั้นเหรอคะ…”

 

ส- สถานการณ์แบบนี้ ฉันควรจะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย!?

ฉันไม่ค่อยมีประสบการณ์ในชีวิตซะด้วยสิ อึกอักพูดอะไรไม่ออกเลย!

 

“อา ชั้นไม่ได้ถือสาอะไรหรอกนะ เจ้าลูกชายก็สบายดี นานๆ ก็กลับมาที่หมู่บ้านนี้ซักทีเพราะเรื่องงานด้วยนั่นแหละ ไปด้วยสวยเลยใช่มั้ยละ”

 

ดีจัง

เพราะฉันเห็นสายตาที่มองออกไปไกลๆ ของเธอ ฉันก็นึกว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างขาดการติดต่อไปเลย หรืออะไรแบบนั้นซะอีก

 

“เอาล่ะ เพราะที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เอง ก็เลยไม่ได้มีสถานที่สำคัญอะไร แต่… ไว้กินข้าวเที่ยงกันเสร็จ ชั้นจะพาเธอไปแนะนำให้ผู้ใหญ่บ้านได้เจอก็แล้วกันนะ”

“อ๊ะ! ต้องทำเรื่องนั้นด้วยสินะคะ! แนะนำตัว! ที่เมืองหลวงไม่มีอะไรแบบนี้ ฉันก็เลย…”

“อะฮะฮะฮ่า! นั่นสินะ! คนใหญ่สุดของเมืองหลวงก็คือท่านราชานี่นะ ไม่มีทางได้เข้าไปทักทายอยู่แล้วล่ะ!”

 

ฉันยิ้มแหยๆ ตอบกลับคุณเอลลิสที่ยิ้มอย่างตลกขบขันอยู่ไป

ถึงจะย้ายไปที่เมืองหลวง แล้วจะไปทักทายใครล่ะก็ มากสุดก็คงแค่เพื่อนบ้านล่ะนะ

เพราะงั้น เรื่องนี่มันก็เลยอยู่นอกเหนือความคิดของฉันไปอย่างสิ้นเชิงเลย

ถึงตามกฎหมายของประเทศแล้ว การย้ายถิ่นฐานก็สามารถทำได้อิสระเลยนั่นแหละ แต่ถ้าเราไม่ได้ไปทำผู้มีอำนาจที่ไหนเขาผูกใจเจ็บล่ะก็ ก็คงไม่มีใครย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านห่างไกลแบบนี้หรอกมั้ง

เกือบไปแล้ว! นี่ฉันเกือบปลีกตัวออกจากสังคมแบบตรงตามตัวอักษรเลยนี่นา!

ขอบคุณนะคะ! คุณเอลลิส!