“คือ คุณผู้ใหญ่บ้านนี่เป็นคนยังไงเหรอคะ?”

 

ถ้าเกิดเขาเป็นคนเข้าถึงยากล่ะก็ ต้องเป็นศัตรูที่น่ากลัวของคนที่ประสบการณ์เข้าสังคมน้อยอย่างฉันแน่เลย

 

“อืมมม ก็เป็นคนแก่คนนึงล่ะนะ ถึงจะเดินโซไปเซมาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะตายง่ายๆ เร็วๆ นี้หรอก”

“…เป็นคนน่ากลัวหรือเปล่าคะ?”

“เอ๊ะ? อ๋า! ไม่มีปัญหาเลย! เพราะเขาก็เป็นแค่คนแก่เอื่อยๆ สบายๆ น่ะ”

“ป- เป็นงั้นเหรอคะ!”

 

โล่งอกไปที! ซาราสะจัง ชนะแล้วค่า!

เฮ้อ~ ตอนที่ต้องมาที่หมู่บ้านนี้ ฉันยังเสียใจอยู่นิดหน่อย แต่นี่ก็เป็นหมู่บ้านที่ดีเลยนี่นา

อาจจะต้องขอบคุณการแนะนำของคุณเอลลิสด้วย แต่ทุกคนก็ใจดีกับฉันที่เป็นคนพูดไม่เก่งกันหมดเลย

การอยู่ด้วยได้ง่ายนี่แหละดีที่สุดแล้วล่ะ!

 

“ดูสิ นั่นไง บ้านของผู้ใหญ่บ้านล่ะ”

 

ที่ที่คุณเอลลิสชี้ไป เป็นบ้านเดี่ยวที่ธรรมดามากๆ หลังนึง ไม่ได้ดูใหญ่เป็นพิเศษอะไรเลย

มันตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศูนย์กลางของหมู่บ้าน ที่ถ้าไม่บอก ฉันก็ไม่มีทางรู้เลยว่านี่บ้านของผู้ใหญ่บ้านน่ะ

 

“ชั้นไม่คิดว่าซาราสะจังจะเกี่ยวอะไรกับหมู่บ้านนี้มากขนาดนั้นนะ งานที่ทำที่นี่ก็มีแค่เก็บภาษีเท่านั้นแหละ”

“เป็นยังงั้นเหรอคะ”

 

หน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านก็คือเก็บภาษีของหมู่บ้าน แล้วก็ส่งไปให้เจ้าหน้าที่สรรพากร

แต่นักเล่นแร่แปรธาตุจะต่างออกไปหน่อย คือเราจะจ่ายตามยอดขายที่เราทำได้

ก็นะ มันเป็นการยื่นบัญชีส่วนบุคคล จะปลอมข้อมูลบางส่วนก็ได้นะ แต่นั่นมันเป็นอาชญากรรมเลย

ถ้าฉันทำเงินในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุได้ขนาดนั้น ฉันก็ไม่ทำแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ

แต่ว่า อาจารย์ไม่ค่อยถูกใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ แถมยังบอกว่า ‘การจดบัญชีมันยุ่งยาก จะขึ้นภาษีก็ได้นะ แค่ให้มันง่ายๆ ก็พอ’ ซะด้วย

 

“ก็ ถึงจะเป็นตาแก่กะโหลกกะลา แต่เขาก็ยังเป็นผู้ใหญ่บ้านนะ เขาเป็นที่รู้จักกันดี เวลามีปัญหาอะไรก็อาจจะพอช่วยอะไรได้อยู่นะ เพราะงั้น ไปทักทายแกซักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก”

“ค่ะ…”

 

รู้สึกแบบนั้นจะดีเหรอคะเนี่ย?

 

“โอ้ยๆ เอลลิส พูดยังงั้นเนี่ย ใจร้ายกันเกินไปหน่อยนะ”

 

พอเราคุยกันอยู่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้านอยู่แบบนั้น คุณตาคนนึงก็ออกมาจากด้านหลังบ้าน เดินเข้ามาทางฉันพลางพูดแบบนั้นไปด้วย

คุณตาคนนี้น่ะเหรอ ผู้ใหญ่บ้านน่ะ?

 

“โห คุณปู่ ได้ยินชั้นด้วยเหรอเนี่ย?”

 

ฉันนึกว่าถ้าถูกทักแบบนั้นจะแย่แล้วซะอีก แต่ดูเหมือนคุณเอลลิสจะไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยแฮะ

 

“เอลลิสจัง ทั้งๆ ที่เคยเป็นคนน่ารักดีแท้ๆ ดันกลายเป็นคนแบบนี้ไปซะแล้วเน่อ…”

“อย่าเรียก ‘จัง’ สิ! เพราะแบบนี้ไงล่ะปู่น่ะ นี่คือซาราสะจัง นักเล่นแร่แปรธาตุที่ย้ายมาอยู่ที่ร้านร้านนั้นไงล่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อซาราสะ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุค่ะ ฉันจะมาอยู่ที่หมู่บ้านตั้งแต่นี้ไป จากนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

 

พอคุณเอลลิสแนะนำฉันแล้ว ฉันก็รีบโค้งหัวให้ ผู้ใหญ่บ้านก็โบกมือให้ด้วยท่าทางสบายๆ

 

“โฮะโฮะโฮะ ไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนั้นหรอก นักเล่นแร่แปรธาตุน่ะเป็นหัวกะทิกันอยู่แล้ว แค่เธอมาอยู่ที่หมู่บ้านของพวกเราแบบนี้ พวกเราก็ยินดีมากๆ แล้วล่ะ”

“เปล่าค่ะ คือ… ฉันยังเป็นแค่มือใหม่อยู่เลยนะคะ…”

“ไม่หรอกๆ แค่เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุก็ช่วยหมู่บ้านของเราได้มากพอแล้ว ทางนี้เองก็ขอฝากตัวด้วยเน่อ ขาดเหลืออะไรก็ช่วยๆ กัน เพราะงั้น ก็บอกฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

 

อาจจะฟังดูเกินจริงไปหน่อย แต่ที่ผู้ใหญ่บ้านพูดก็ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียวหรอกนะ

ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่มีหมอแบบนี้ การมีนักเล่นแร่แปรธาตุอยู่ก็ถือเป็นเรื่องของความเป็นความตายเลย

ต่อให้จะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุมือใหม่ก็ยังสามารถทำโพชั่น (ยาแปรธาตุ) บางชนิดได้แล้ว แถมยังมีความรู้ทางการแพทย์ในระดับนึงด้วย

หรือก็คือนักเล่นแร่แปรธาตุน่ะ ดูเป็นที่ไว้วางใจมากกว่าหมอซะอีก

เอาเถอะ ถ้าเกิดทำตัวหยิ่งยะโสแค่เพราะเรื่องแบบนั้น มีหวังได้ถูกคว่ำบาตรใส่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงแน่นอนเลย

เพราะงั้น ฉันก็ต้องถ่อมตัวเข้าไว้ ใช่ ถ่อมตัวเข้าไว้

 

“ทีนี้! เหลือเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะเลย! แล้วก็ต้องรีบทำความสะอาดแล้วด้วยสิ!”

 

หลังจากที่ฉันหนีจากการพุดคุยเรื่อยเปื่อยที่น่าเบื่อของผู้ใหญ่บ้านออกมาได้แล้ว ฉันก็รวมเสื้อผ้าที่ต้องซักจากระหว่างการเดินทางโยนลงใส่ตะกร้า ก่อนจะซักพวกมันด้วยน้ำที่ผลิตออกมาจากเวทมนตร์

―――อื้อ จริงๆ ถ้าแค่อาศัยล่ะก็ ฉันก็อยู่ได้ตามปกติโดยไม่ต้องใช้บ่อน้ำเลยก็ได้

ส่วนเรื่อง ถ้าเกิดสงสัยว่าทำไมฉันต้องใช้เชือกผูกถังด้วย เพราะมันมีหลายครั้งที่น้ำจากเวทมนตร์ไม่เหมาะที่จะเอามาใช้ อย่างน้ำสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุ การเพาะปลูกสมุนไพรทางการแพทย์ หรือน้ำที่ใช้รักษาควบคู่กับการสร้างโพชั่นอะไรแบบนี้

เวทมนตร์ไม่ได้อรรถประโยชน์ขนาดนั้น แต่ว่า เรื่องการซักล้างเนี่ย ใช้ประโยชน์ได้ดีเลยล่ะ

เสื้อผ้าที่ซักเสร็จก็ทำให้แห้งด้วยเวทมนตร์แล้วด้วย งั้นขั้นต่อไปก็คือกวาดพื้น ซึ่งนี่ก็ใช้เวทมนตร์ช่วยเหมือนกัน

ฉันเปิดหน้าต่างทั้งบ้านออก ก่อนจะใช้เวทมนตร์สายธาตุลมพัดเอาฝุ่นที่เกาะอยู่ตามชั้นออกไปด้วย {บรีซ (ลมโชยอ่อน)} ――― หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่าเวทปัดกวาดนี่แหละ

 

“หลังจากนี่ ถ้าถูเบาๆ ก็สะอาดแล้ว… อ๊ะ ไม่มีผ้าถูพื้นนี่นา”

 

ฉันทิ้งผ้าขี้ริ้วสมัยตอนที่ใช้ในหอพักไปแล้ว จะใช้ผ้าปูรองนอนที่เพิ่งซื้อมาก็เสียของแย่เลย พอมีอะไรในเป้ที่ฉันจะเอามาใช้ได้หรือเปล่านะ…?

 

“ฉันยังใส่เจ้านี่ได้อยู่ มันยังสวย แถมก็อาจจะเอาไปทำอะไรอย่างอื่นได้ด้วย งั้น นี่ อะไรนะ?”

 

ฉันเลือกเสื้อผ้าที่ออกจะคับนิดหน่อยมาแล้วที่อยู่ในกลุ่มเสื้อผ้าที่ใส่เป็นประจำทุกวัน

เสื้อผ้าพวกนั้น ถ้าฉันไปที่ร้านขายเสื้อผ้ามือสองไป ก็ทำมันเป็นผลิตภัณฑ์จากผ้าอย่างอื่นไปแล้ว ถ้าใยผ้ามันรุ่ยไปแล้ว ฉันก็ใช้มันเป็นผ้าขี้ริ้วไปแล้วด้วย แต่อันนี้ค่อนข้างจะมีความทรงจำร่วมอยู่พอควรเลย ฉันก็เลยเก็บมันเอาไว้

ใช่ ตอนที่ฉันกำลังจะย้ายไปที่หอพักหลังจากผลการสอบเข้าวิทยาลัยได้รับการยืนยันแล้ว

คุณครูใหญ่บอกกับฉันให้ใส่เสื้อผ้าที่ดีกว่าทุกทีซักหน่อยในวันที่จะเข้าหอพัก

 

‘เสื้อผ้าของเธอดูโทรมไปนิดนะ ในเมื่อเป็นวันพิเศษทั้งที ทำไมไม่ใส่อะไรที่ดูดีกว่านี้เสียหน่อยล่ะ?’

 

พอคุณครูใหญ่เป็นคนพูด ฉันก็แค่คิดว่าฉันจะได้เสื้อผ้าที่ต่างออกไปจากตอนที่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า เพราะเรื่องทุน ฉันก็เลยไม่ได้แย้งอะไรไป

ก็นะ ฉันเองก็ลังเลอยู่เหมือนกันที่จะใส่เสื้อผ้าที่ดูยับเยินไปในโรงเรียน หนึ่งในเสื้อผ้าที่คุณครูกับฉันรีบหามาอย่างรีบๆ ก็คือหนึ่งในคนที่กำลังจะกลายไปเป็นผ้าขี้ริ้วนี่แหละ

ตอนนั้น ฉันซื้อเสื้อผ้าที่หลวมกว่าตัวเองไปหน่อยนึง เพราะฉันคิดว่า เดี๋ยวฉันก็คงโตเร็วอยู่แล้วนั่นแหละ…

 

“ฉันเพิ่งใส่เจ้านี่ไปเมื่อไม่นานนี้เองนี่เนอะ…”

 

ไม่ๆ ตอนนี้มันเล็กเกินไปแล้วน่า ฉันใส่มันไม่ได้แล้วแหละ เนอะ?

เสื้อผ้าที่ฉันซื้อตั้งแต่ตอนอายุ 10 ขวบน่ะ!

สีมันซีดไปหมดแล้ว แล้วฉันก็ใส่มันไปข้างนอกไม่ได้เลยจริงๆ

กลับกัน ถ้าจะเอาไปใช้แทนชุดนอนดู―――ฉันว่าไม่ได้นะ ไม่ไหวแฮะ  

ไม่เป็นไร มีการเติบโตด้วยไงล่ะ

ฉันมั่นใจว่า ตัวฉันก็อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยของคนในวัยเดียวกัน… ใช่มั้ยนะ?

―――จะว่าไป ฉันไม่ได้ถามอายุของคุณโลเรียเลยนี่นา เธออายุเท่าไหร่นะ?

เทียบกับเธอแล้ว การเติบโตของฉันมันดูจะช้าไปหน่อยนึง แต่… ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ! นิดเดียวเอง!

 

“พอจะมีโพชั่นอะไรช่วยให้โตเร็วขึ้นมั้ยนะ? …แต่จะใช้มั้ยมันก็อีกเรื่องล่ะเนอะ”

 

ระหว่างที่ฉันคิดเรื่องที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่ ฉันก็รีบถูบ้านให้เสร็จ เอาผ้าห่มคลุมตัว แล้วก็จบวันที่ 1 ในบ้านหลังใหม่ของฉัน

 

“อื~~~ม! ไม่ได้หลับสนิทนานขนาดนี้มานานขนาดไหนแล้วนะเนี่ย!”

 

พอฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าวันถัดไป ฉันก็บิดขี้เกียจมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ก่อนจะคลายตัวกลับมา

ฉันได้หลับอย่างสงบในที่ที่ปลอดภัยเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันเลย ถึงจะนอนกับพื้น ฉันก็รู้สึกสดชื่นอยู่ดี

แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่าง 2 บานนี่ก็ทั้งสว่าง ทั้งอุ่นสบายเลย…

 

“แต่ว่า พอดูอีกทีแล้ว… ห้องนี่มันดูเปล่าเปลี่ยวจังเลยนะ”

 

ห้องนี้ใหญ่เกือบเป็น 2 เท่าของห้องหอพักที่ฉันอยู่จนถึงไม่นานนี้เลย

แถมไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรซักอย่างอยู่เลย ตรงนี้ก็เลยยิ่งดูกว้างเข้าไปอีก

ฉันนอนห่อตัวในผ้าห่มอยู่ตรงมุมห้องแบบนั้นนั่นแหละ เป็นภาพที่ดูลึกลับยังไงไม่รู้แฮะ

ว่ากันตามตรง มันเปล่าเปลี่ยวมากเลย―――ไม่สิ ไม่ ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวซักหน่อย

ก็แค่มีพื้นที่ไว้ให้จัดการก็เท่านั้นเอง อื้อ ใช่ เพราะนี่มันบ้านที่เพิ่งจะซื้อมาเองนะ!

ในบ้านเด็กกำพร้าเป็นห้องรวมที่เราอยู่ด้วยกัน ตอนที่อยู่ในหอพัก ฉันก็ไม่ได้อยู่ในห้องแบบนี้ด้วย

แต่ที่นี่ ฉันจัดการมันได้อย่างที่ต้องการ ตามแต่ที่เงินจะอำนวยเลย

มาคิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรแย่เลยนี่เนอะ?

 

“เอาล่ะ จะยังไงก็เถอะ วันนี้แหละ ในที่สุดก็จะได้เข้าไปในห้องทำงานแล้ว! มุฮุฮุฮุ…”

 

เมื่อวาน ฉันยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ยอมเข้าไปเลยนะ! ห้องทำงานของฉันน่ะ!

ฟังดูดีเลยใช่มั้ยล่ะ ถ้าเกิดว่าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุล่ะก็ ยังไงก็ต้องเข้าใจความรู้สึกนี้ใช่มั้ยล่ะ?

เสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปากของฉันแบบไม่ทันตั้งใจเลยด้วย

ฉันกดสิ่งรบกวนสมาธิออกไป ฉันเก็บของที่เหลือจากอาหารเย็นเมื่อวานมาทานแทนอาหารเช้า ก่อนจะมายืนตรงหน้าประตูห้องทำงาน

 

“เอาล่ะน้า!”

 

ฉันเปิดประตูออก ก้าวเข้าไปข้างใน แล้วก็เปิดไฟในห้อง…