ฮะ ฮัดชิ่ว! เสียงจามเล็กๆ ดังท่ามกลางความมืดมิด เด็กสาวเดินออกมาจากเขตสลัมอย่างปลอดภัย ด้วยประสบการณ์จากโลกเก่าทำให้เธอรู้ว่าไม่ควรไปเดินยังบริเวณมุมตึก หรือบริเวณที่ค่อนข้างเป็นจุดอับสายตา เพราะนั่นหมายถึงอันตราย

ฮัดชิ่ว! เธอจามออกมาอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงของเหลวข้นหนืดในโพรงจมูก เธอสูดลมหายใจอย่างทุกข์ทรมาน ดวงตาแดงก่ำราวกับคนป่วย แม้ว่าดวงตาของเธอจะเป็นสีแดงอยู่แล้วทำให้แยกยากก็ตาม แต่ดวงตาของเธอก็ปรากฎร่องรอยอ่อนล้าชัดเจน

นี่เธอติดโรคมาแล้วงั้นหรือ? จากใครกันล่ะ? หนึ่งในสองคนนั้น? ให้ตายสิ ในฐานะของข้ารับใช้แห่งเทพ เทวทูตปริศนาที่ตัวเองจงใจแสดงให้คนอื่นเห็น การมาติดหวัดแบบนี้มันก็นะ…

แม้ว่าเธอจะเป็นข้ารับใช้จอมปลอมก็เถอะ และไม่ใช่เทวทูตอะไรนั่นด้วย เป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่มีดีแค่เล่ห์เหลี่ยมและมันสมองของตัวเองเท่านั้นเอง

ใบหน้าซูบลงเล็กน้อย แก้มที่เคยแดงระเรื่อก็เริ่มมีรอยเขียวช้ำ เธอรู้สึกเจ็บตรงหน้าอกราวกับว่ามีมีดมากรีดแทงบริเวณนั้น

เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็แสดงอาการอ่อนล้าออกมา รู้สึกเพลียราวกับไม่ได้นอนมาหลายวัน

เธอพยายามเดินมาจนถึงถนนใหญ่ และพบเข้ากับรถม้าคันเดิมที่เคยมาส่งเธอถึงที่นี่ ดูเหมือนมาร์คัสกำลังรอใครสักคนอยู่ หมอนั่นยังคงฮัมเพลงเบาๆ พลางนั่งสบายๆ บนรถ

“โย่ คุณหนู ผมมารอรับ” อีกฝ่ายยิ้มกว้าง “คิดซะว่าจ่ายด้วยสิ่งนี้แทนค่ารักษาภรรยาแล้วกัน”

มาร์คัสเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเด็กสาวมีธุระบางอย่างในเขตสลัมของถนนเตาไฟ และเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะตัดสินใจทำเรื่องแบบนั้นโดยพลการ สังเกตุได้จากอายุของเด็กสาวและการเดินทางคนเดียวนั่น แปลว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่สามารถกลับบ้านได้แน่ถ้าไม่มีรถม้าของเขามารับ

สวรรค์ทรงโปรด! ยูริร่ำร้องในใจ มาร์คัส ฉันเป็นหนี้ชีวิตนาย! เด็กสาวไม่ได้เตรียมการทุกอย่างอย่างรอบคอบมากนัก ไม่รู้เป็นเพราะว่าได้มาเกิดใหม่ในร่างเด็กหรืออย่างไร ทำให้เธอทำทุกอย่างด้วยความรีบร้อนและไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย

นี่มันไม่ใช่นิสัยดังเดิมของเธอ! ถ้าเป็นตามปกติเธอจะจ้างรถม้าให้ไปส่งที่เขตสลัมโดยตรง และที่สำคัญเธอจะบอกให้อีกฝ่ายรอประมาณสองสามชั่วโมงแน่นอน แต่นี่เธอกลับลืม เป็นผลจากการอยู่ในร่างเด็กเจ็ดขวบงั้นหรือ?

โชคดีเป็นบ้าที่มาร์คัสไม่ใช่ไอ้งั่ง เขาเลยรู้ว่าควรมารอเด็กสาวทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าวาคาดะ ซายูริรอดเพราะความโชคดีของตัวเองล้วนๆ

ถ้าอีกฝ่ายไม่มารับ ป่านนี้เธออาจจะเผลอสลบไสลท่ามกลางความมืดและหมู่คนไร้บ้าน…แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

ยูริก้าวขึ้นรถม้า ก่อนที่จะขอให้มาร์คัสไปส่งยังโรงแรมที่เธออยู่ เรียกได้ว่าการออกมาสำรวจครั้งนี้ไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้าและน่าสนใจมากนัก ถ้าไม่นับเรื่องที่ตัวเธอนั้นสามารถหลอกคนมาได้ถึงสองคน

ส่วนแผนการสร้างหายนะ เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย ของแบบนั้นยังทำไม่ได้หรอก ในการวางแผนต่างๆ สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือเงิน การสร้างเขื่อนก็ต้องใช้เงิน ซื้ออาวุธก็ต้องใช้เงิน ดังนั้นแผนการของเธอที่หวังจะให้คนไร้บ้านตีกันเองนั้นจำต้องพับเก็บไป

ปัจจัยหลายอย่างมันไม่พร้อมเกินไป

เธอเดินทางมาถึงหน้าโรงแรม ก่อนจะกล่าวขอบคุณมาร์คัสและเปิดประตูเข้าไป แสงไฟส่องเข้าตา เด็กสาวที่อยู่ท่ามกลางความมืด
มานานได้ยกมือขึ้นเพื่อบดบังตัวเองจากแสงจ้า

หลังจากเริ่มปรับสภาพกับทัศนวิสัยได้แล้ว ก็พบว่าพนักงานหญิงหูแมวยังคงหลับไหล โรงแรมเงียบสนิท นี่มันการบริการระดับไหนกัน? สองดาวงั้นหรือ เอาเถอะ อย่างน้อยห้องก็สะอาด

เธอฉวยโอกาสนั้นแอบส่องป้ายชื่อพนักงานของอีกฝ่าย

โรซาเรีย อ่า ชื่อโรซาเรียสินะ จะจำเอาไว้แล้วกัน เพื่ออะไรไม่รู้แหละ แต่จำเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเผื่อว่าในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้ใช้งาน การจดจำชื่อของใครสักคนย่อมต้องสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายไม่มากก็น้อย

ยูริเดินผ่านห้องที่โรนาหลับอยู่ เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เดินไปทางขวาและพบกับห้องหมายเลขเจ็ด เธอเปิดประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้า หมายจะไม่ให้คนที่อยู่ข้างในตื่น

ฟู่ โชคดีชะมัด เธอพึมพำเบาๆ ฮันน่ายังหลับอยู่ เด็กสาวฉวยโอกาสนั้นถอดเสื้อฮู้ดออก เผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน มันบางเบาทำให้เห็นเนื้อหนังบางส่วน ผิวเรียบเนียนของเด็กสาวดูมีเสน่ห์และเรียวบาง วาคาดะ ซายูริดูตัวเล็กกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อถอดชุดออกจนหมด

หลังจากที่ถอดเสื้อในและอะไรต่างๆ จนหมด เธอก็นำผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวเองไปจนถึงหน้าอกที่แบนราบ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปอาบน้ำ เสียงซู่ซ่าของน้ำดังเบาๆ

แค่ก แค่ก วาคาดะ ซายูริไอเล็กน้อยระหว่างที่อาบน้ำ เด็กสาวตัวสั่นกระเพื่อมเล็กน้อยระหว่างที่กำลังไอ เธอไอรุนแรงราวกับว่าปอดของเด็กสาวปฏิเสธที่จะอยู่ในร่างกายของเธอ

แป๊ะ เสียงของหยดอะไรบางอย่างลงกระทบพื้น เธอมองสิ่งนั้นด้วยความใจหาย มันคือหยดเลือด หยดเลือดที่ออกมาจากปากของเธอเอง พื้นห้องน้ำเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงสด สักพักน้ำที่เธอเปิดก็ชะล้างมันออกไป

ยูริไม่รีบร้อนมากนัก ถึงจะตกใจ แต่เธอก็เคยชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว

ตอนโดนยิงตายในครั้งนั้นน่ากลัวกว่านี้เยอะ

เด็กสาวปิดน้ำ ก่อนจะเช็ดตัวให้แห้ง เป่าผมอยู่ข้างในห้องน้ำ ก่อนที่จะออกมาจากห้อง ผ่านไปราวๆ ห้านาที วาคาดะ ซายูริก็แต่งตัวจนเสร็จสรรพ

คราวนี้เธอเลือกใส่ชุดเดรสสีขาว มันมีลักษณะบางเบาและพริ้วไหว เธอหาวออกมาอย่างง่วงงุน หลังจากไปต้มตุ๋นคนมาแล้วเธอก็อยากนอนพัก ร่างกายของเด็กนี่มันง่วงไวซะจริงนะ

ไม่สิ แล้วแต่คนต่างหาก ผู้ใหญ่บางคนนอนมากกว่าเด็ก บางคนก็เป็นโรคนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับสไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคนยังไงล่ะ

เธอเดินขึ้นไปบนเตียง ในห้องนี้มีเตียงแค่เตียงเดียวเท่านั้น ไม่รู้ทำไมนายอัลเฟน็อกอะไรนั่นถึงได้จองห้องที่มีเตียงแค่เตียงเดียวแบบนี้นะ แต่ก็ไม่แปลกหรอก หมอนั่นคิดไม่ถึงนี่น่าว่าฮันน่าจะมีน้องสาวน่ะ

ฮัดชิ้ว! เธอจามเบาๆ คราวนี้เป็นการจามแบบจามแห้ง ไม่มีน้ำมูกในโพรงจมูก แต่เธอก็ยังจามราวกับว่ามีฝุ่นเข้าไปข้างใน

ยูริเอื้อมมือไปปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้ทั้งห้องพลันมืดสนิท เธอพยายามนอนให้ห่างจากฮันน่าให้มากที่สุด ผ้าห่มที่ใช้ก็เป็นผืนเดียวกัน โชคยังดีที่ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่ ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องแย่งผ้าห่มกัน

ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี เด็กสาวนอนขดตัวตะแคงข้างพลางสั่นระริก รู้สึกราวกับความหนาวเหน็บกำลังเกาะกินร่างกาย ตัวร้อน ดูเหมือนไข้จะเริ่มขึ้นสูง

วัณโรคของโลกใบนี้มันน่ากลัวชะมัด เธอแน่ใจว่าตัวเองต้องติดวัณโรคมาแล้วแน่ๆ ไม่น่าประมาทถอดหน้ากากอนามัยเลย บางที
มาร์คัสอาจจะติดโรคจากเธอไปแล้วก็ได้

หึหึ แต่คิดในแง่ดี อย่างน้อยอีกฝ่ายก็จะได้นำโรคนั้นไปติดภรรยาและลูกๆ ทีนี้อีกฝ่ายก็จะมาขอให้เธอรักษาให้ เพิ่มคนติดหนี้บุญคุณยังไงล่ะ!

ผ้าปูที่นอนนุ่มๆ กลับทำให้เด็กสาวกระวนกระวายมากกว่าเดิม อาการไข้ที่พุ่งสูงทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกกดให้จมลงไปบนท้องทะเลที่ไม่มีน้ำทะเล แต่กลับมีฟูกนอนนุ่มๆ เต็มไปหมดจนชวนให้อึดอัด

จมลงไป เธอกำลังจมดิ่งลงไป…

“ยูริจัง” เสียงของฮันน่าที่เอ่ยออกมาได้ทำลายความเงียบงันยามค่ำคืนลง

“ตัวสั่นใหญ่เชียวนะ ไม่สบายเหรอ?”

เสียงของฮันน่าทำให้เด็กสาวที่นอนตะแคงข้างหันหลังให้รู้สึกเสียววาบทางด้านหลัง ประสาทสัมผัสของเธอบางกว่าเดิมนิดหน่อยเมื่อป่วยไข้ เธอได้ยินเสียงของฮันน่าขยับเข้ามาใกล้และพูด แทบจะกระซิบกันข้างหูอยู่แล้ว

“ก่อนหน้าออกไปทำอะไรมาไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้ายูริจังมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวพี่จะไม่ถามแล้วกัน แต่คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก”

ฮันน่ารู้ เธอรู้ว่ายูริแอบออกไปข้างนอกมา แต่ดีหน่อยที่เธอไม่รู้ว่าตัวเองถูกวางยาด้วย

ฉึบ สวบ เด็กสาวรู้สึกได้ถึงท่อนแขนอุ่นๆ ของอีกฝ่ายที่สวมกอดเข้ามาตรงเอว รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายที่กระเถิบชิดเข้ามา ฮันน่าสวมกอดเธอพลางลูบหัวเบาๆ หน้าอกนุ่มๆ ของอีกฝ่ายแนบชิดแผ่นหลัง ลมหายใจของเธอรดต้นคอและทำให้เด็กสาวรู้สึกร้อนผ่าว

“พ พี่คะ”

ยูริรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ฮันน่าทำอะไรแบบนี้ใส่เธอ รู้สึก—แปลกชะมัด เนื้อตัวของทั้งสองแนบแน่น เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัวของอีกฝ่าย และฮันน่าตัวสูงและแข็งแรงกว่าเธอมาก ทำให้การกอดของอีกฝ่ายค่อนข้างแนบแน่นทีเดียว

ถึงฮันน่าจะมีขนาดตัวเท่าเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป แต่ก็ตัวโตกว่ายูริที่เป็นแค่เด็กเจ็ดขวบอยู่ดี และเรี่ยวแรงที่น้อยนิดทำให้เธอขัดขืนไม่ได้มากนัก

“ฟุฟุ อยู่นิ่งๆ ก่อนนะยูริจัง” ฮันน่ากระซิบที่ต้นคอเบาๆ “วัณโรคใช่ไหมล่ะ?”

“พ พี่รู้ได้ยังไงคะ”

“กลิ่นเลือดไงล่ะ ลืมแล้วหรือว่าพี่เป็นแวมไพร์”

ฮันน่ายิ้มพลางใช้นิ้วมือจั๊กจี้เด็กสาวอย่างหยอกเย้า ขนของอีกฝ่ายลุกซู่เบาๆ น นี่มันอะไร อีกฝ่ายกำลังทำอะไร?

ง่ำ ฉึก เด็กสาวสัมผัสได้ถึงคมเขี้ยวหนึ่งคู่ที่ฝังลงบนต้นคอ เธอตกใจและพยายามดิ้นให้หลุด แต่ไร้ผล ยิ่งเวลาผ่านไปเรี่ยวแรงก็ยิ่งหาย ฮันน่าสูบเลือดเธอไปเรื่อยๆ นี่มัน…อีกฝ่ายทำตัว—ไม่เหมือน—เดิม—ว่าแล้วว่า—ไว้ใจ—ไม่ได้…

สติของเด็กสาวค่อยๆ พร่าเลือนไป ก่อนที่ความมืดมิดอย่างสมบูรณ์จะมาบดบังสายตา…

 

น้ำค้างบนต้นไม้หยดลงพื้น ผู้คนทำกิจวัตรประจำวันเฉกเช่นทุกวัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม นับวันมันยิ่งสะสมมลพิษเยอะขึ้นเรื่อยๆ นำพาผู้คนไปสู่โรคร้ายต่างๆ บางทีสักวันอาจจะเกิดการรณรงค์ให้โรงงานควบคุมควันพิษบ้างก็ได้

ในห้องที่เจ็ดบนชั้นสองของโรงแรมแห่งหนึ่ง แวมไพร์สาวหนึ่งตนกับมนุษย์ธรรมดาอีกหนึ่งคนกำลังหลับตาพริ้ม ผ้าปูเตียงกระจัดกระจาย ยูรินอนกรนเสียงฟี้ ฟี้ คอของเธอมีรอยเขี้ยวฝังเอาไว้ ฮันน่ายังคงนอนค้างอยู่ในท่าสวมกอดอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองนอนค้างอยู่ในท่ากอดกันทั้งคืน

สีหน้าของฮันน่าดูเหนื่อยอ่อน ตรงกันข้ามกับเด็กสาวที่นอนหลับสนิท ปราศจากอาการทุกข์ทรมานจากวัณโรคแล้ว

เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา สมองของเธอหมุนติ้วพลางประมวลผลเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ฮันน่าสวมกอดเธอและทำตัวแปลกไป ก่อนจะ—ก่อนจะ…

เมื่อนึกถึงตรงนี้ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าว จำได้ชัดเจนถึงความรู้สึกราวกับเข็มฉีดยาสองเข็มที่ฝังเข้ามาในคอ มันเจ็บมากๆ เลยล่ะ แต่ขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกดี—เดี๋ยวสิ เราคิดอะไรของเราอยู่เนี่ย

ปั๊ก! เธอที่พึ่งระลึกเหตุการณ์ทั้งหมดได้ได้ใช้ศอกกระแทกไปที่หน้าของแวมไพร์สาว ก่อนจะรีบกระโจนออกมาจากเตียงนอนพลางสำรวจร่างกายตัวเองว่าโดนทำอะไรรึเปล่า

เสื้อผ้ายังดูปกติดี ไม่มีร่องรอยการกระทำแปลกๆ ถ้าไม่นับรอยเขี้ยวบนคอ แปลว่าฮันน่าก็แค่ดูดเลือดเธอเฉยๆ

กะแล้ว พวกแวมไพร์มันไว้ใจได้ซะที่ไหน! พอเผลอหน่อยก็หาโอกาสดูดเลือดในทันที ให้ตายสิ ถึงฮันน่าจะทำตัวปกติมาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันก็เถอะ แต่เธอก็ดันประมาทและเผลอเปิดช่องซะได้ ลืมไปเลยว่ายังไงแวมไพร์ก็คือแวมไพร์ และแวมไพร์ต้องดื่มเลือด!

แต่ทำไมสีหน้าของฮันน่าถึงดูทุกข์ทรมานแบบนั้นกัน? เลือดเธอมันรสชาติแย่รึไง? หรือจะรับรสชาติของคนชั่วไม่ได้กัน?

“โอยย”

ฮันน่าครางออกมาอย่างทุกข์ทรมาน

“มันเจ็บนะยูริจัง”

จากนั้นอีกฝ่ายก็ลุกขึ้น ราวกับว่าพยายามจะเดินมาหา ยูริรีบกระโดดไปทางประตูพลางยกมือห้าม

“อย่าเข้ามานะ!”

เธอยังจำความรู้สึกตอนโดนดูดเลือดได้อยู่ มันให้ความรู้สึกร้อนรุ่มและเร้าอารมณ์…ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แต่เธอจะไม่ยอมถูกดูดเลือดอีกแน่นอน!

ฮันน่าทำสีหน้างุนงงไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มกริ่มราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

“ยูริจังงง คืนนี้มาทำแบบนั้นกันอีกไหม?”

ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง เด็กสาวพลันหน้าแดงก่อนจะรีบหันหลังและเปิดประตูพรวด หมายจะวิ่งหนีออกไปนอกห้อง

ปั้ง! ฮันน่าใช้เวทมนตร์บางอย่างควบคุมประตูให้ปิดเหมือนเดิม เด็กสาวพยายามพังมันออกไป แต่ก็ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์

“ย อย่าเข้ามานะคะ”

อึก เธอเผลอกลืนน้ำลาย ทรุดตัวลงกับพื้น มองหาของรอบๆ ตัว

แจกันนี่น่า ใช้ฆ่าอีกฝ่ายได้รึเปล่านะ?

“เหอะ เหอะ พี่จะดูดเลือดให้หมดตัวเลยล่ะ”

ฮันน่าทำท่าเอามือขยุ้ม ให้ความรู้สึกเหมือนแมงมุม สีหน้ายิ้มแย้ม ยูริรีบคว้าแจกันด้านข้างมาแล้วนำมันไปฟาดกับหัวของอีกฝ่าย แต่ไม่รู้เพราะอะไร แจกันถึงไม่แตกและอีกฝ่ายก็ไม่สะเทือนเลยสักนิด

เด็กสาวรู้ตัวแล้วว่าทำยังไงก็เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ เธอเลยเผลอหลับตาลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ อ่า จบสิ้นแล้วสินะ ช่างเป็นจุดจบที่น่าสังเวชชะมัด โดนพี่สาวของโลกใบนี้ดูดเลือดจนตาย

หืม? สัมผัสนุ่มๆ บริเวณหัวทำให้เด็กสาวลืมตาขึ้น และพบว่าฮันน่ากำลังลูบหัวของเธออยู่พลางหัวเราะเบาๆ

“ฮะฮะ ตัวสั่นใหญ่เชียว น่าร๊ากกก”

ฮันน่าตัวสั่นเพราะแรงหัวเราะ อีกฝ่ายย่อตัวลงพลางลูบหัวยูริเล่น

“นี่คงไม่คิดว่าพี่จะทำแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม?”

ห หา นี่มันบ้าอะไร—เด็กสาวอ้าปากค้าง คนหนึ่งคิดจริงจังจนถึงขั้นเอาแจกันมาฟาดหัวอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับแค่ล้อเล่นซะงั้น โลกนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

“หึหึ พี่แค่ล้อเล่น”

ฮันน่ายิ้มร่าเริง ผมยาวของเธอสะบัดเล็กน้อยตอนที่ลุกขึ้น ตอนนี้อีกฝ่ายยังคงปล่อยผมอยู่

“จะกลัวอะไรขนาดนั้น”

หลังจากนั้นเธอก็ถอยห่างออกไป ยูริใช้โอกาสนั้นลุกขึ้นและอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นไอ้งั่งที่คิดว่าตัวเองจะตายทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย น่าขายหน้าฉิบ—

“ถ ถอยออกไปค่ะ ถึงจะล้อเล่นก็ตาม”

เธอยังคงไม่ไว้วางใจ ยูริหยิบแจกันมาป้องกันตัว ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาอีกเธอจะฟาดแจกันลงกับพื้นแล้วเอาส่วนที่แตกออกมาแทงหัวอีกฝ่ายซะ น่าจะพอยื้อเวลาได้บ้าง

“ก็ได้ๆ”

ฮันน่าถอยหลังไปสองสามก้าว พลางยกมือขึ้นราวกับประกาศยอมแพ้

“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นน่า! พี่แค่หยอกๆ เอง”

“หยอกๆ บ้าอะไรล่ะคะ!”

ยูริถอยหลังมากกว่าเดิม แผ่นหลังกระทบกับประตู

“ม เมื่อคืนพี่ทำอะไรน่าจะรู้ตัวนะคะ”

ฮันน่าทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะร้องอ๋อออกมา

“ไอ้ที่พี่รักษาวัณโรคให้อะนะ”

“อะไรนะคะ?”

หมายความว่ายังไงที่ว่ารักษาวัณโรค นั่นมันการดูดเลือดชัดๆ เลยไม่ใช่หรือ? ไม่สิ ฮันน่าเป็นแวมไพร์ บางทีแวมไพร์อาจจะมีความสามารถในการรักษาโรคผ่านการดูดเลือดก็ได้ แต่ว่า—

“จะบอกว่าพี่ดูดเอาเชื้อวัณโรคออกไปเหรอคะ? มีหลักฐานไหมคะ?”

เธอยังคงไม่เชื่อใจอย่างสมบูรณ์ ประสบการณ์หล่อหลอมให้เธอรอบคอบเอาไว้ก่อน ไม่มีใครสอน แต่เธอสอนตัวเอง!

“ตอนนี้ยูริจังรู้สึกป่วยหรือไม่สบายตรงไหนรึเปล่าล่ะ”

ทางฝั่งฮันน่า อีกฝ่ายพยายามทำให้เด็กสาวใจเย็นลง ยูริจะตกใจก็ไม่แปลกหรอก เล่นดูดเลือดไปแบบนั้นเป็นใครก็กลัว เธอมีความสามารถในการรักษาโรคร้ายบางชนิดผ่านการดูดเลือด ซึ่งความจริงการรักษาก็ทำแค่นั้นแหละ แต่ที่เธอกอดไปเมื่อคืน คิดซะว่าเป็นกำไรและค่าจ้างจากการรักษาแล้วกัน จะว่าฉวยโอกาสก็ได้

หึหึ ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็แค่อยากทำให้ยูริจังตกใจเล่นเท่านั้นเอง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกลัวจริงจังจนต้องเอาแจกันมาฟาดหัวแบบนี้ ดีหน่อยที่เธอใช้เวทมนตร์ในการคงสภาพของแจกันเอาไว้ ไม่งั้นอาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้ทางโรงแรม

โอ๋ โอ๋ พี่ขอโทษด้วยนะยูริจัง! แต่แอบสนุกนิดหน่อยแฮะ—

“ไม่ค่ะ” เด็กสาวยังคงทำท่าทีหวาดระแวง “แปลว่าพี่ดูดเอาเชื้อวัณโรคไป?”

ฮันน่าพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะยิ้มออกมา

“ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นหรอกน่า! เอางี้ พี่ให้ชกหน้าหนึ่งทีเลยเป็นการไถ่โทษที่แกล้งนะ แล้วจากนั้นก็ไปหาอะไรกินกัน”

“ไม่ต้องค่ะ ช่วยรักษาวัณโรคให้ก็ดีอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้ห้ามเข้ามาใกล้นะคะ”

วาคาดะเปิดประตูห้อง คราวนี้มันเปิดได้แล้ว น่ากลัวชะมัด ฮันน่าทรงพลังระดับที่ฆ่าเธอได้ในเสี้ยวพริบตาเลย

การอยู่กับยัยนี่ต่อไปค่อนข้างอันตราย ควรจะหาโอกาสหนีในอนาคต

ไม่สิ ถ้าอีกฝ่ายมีความสามารถในการรักษา แปลว่าเรายังใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายได้อยู่ เวลาป่วยก็สามารถขอให้อีกฝ่ายช่วยเยียวยาให้ได้ แม้วิธีการจะน่ากลัวไปหน่อยก็เถอะ

“ไปหามื้อเช้ากินกันค่ะ หนูจะคิดซะว่าเมื่อคืนไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วกันนะคะ”

เธอจะพยายามทำเป็นลืม เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะทำแบบนั้นไปด้วยจุดประสงค์ดีก็ตาม แต่เธอรู้สึกเหมือนกับว่าภายใต้จุดประสงค์ดีนั้น มีอะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจแอบแฝงอยู่

แถมตอนโดนดูดเลือดมันก็รู้สึกดี— ไม่ๆ ลืมมันซะ!

ฮึ่ม สลัดอ้อมกอดอันอบอุ่นแบบนั้นออกไปจากความทรงจำไม่ได้เลย การรักษาจำเป็นต้องกอดด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่าฮันน่าแค่ทำแบบนั้นเพราะอยากทำใช่ไหม?

“ไปกันเลย”

ฮันน่าเดินตามออกมาจากห้อง เด็กสาวรีบจ้ำอ้าวให้ไวที่สุดเพื่อทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่าย

“แบบนี้พี่เสียใจนิดหน่อยนะเนี่ย…”

ฮันน่าพึมพำ

“นึกว่าการดูดเลือดนั่นจะทำให้ยูริจังรู้สึกดีซะอีก”

“อะไรนะคะ?”

“ไม่มีอะไรจ้ะ ไปกันเถอะ”

และสองสาวก็ออกไปหาอะไรกินทั้งๆ อย่างนั้น….