ตอนที่ 13 อดีตคู่ปรับที่โพล่มาในบทสนทนา

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ร้านอาหารแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง เสียงฝีเท้า เสียงพูดคุยและเสียงของการกระทบกันของช้อนเหล็กทำให้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวา แม้จะเป็นช่วงเช้าแต่ที่นี่ก็ยังคงมีผู้คนมากินอาหารมากมายไม่ขาดสาย

กลิ่นโชยของเมนูหลากหลายชนิด เครื่องเทศชนิดต่างๆ ทำให้เด็กสาวกลืนน้ำลายเบาๆ กลิ่นอันยั่วยวนพวกนั้นโชยมาแตะจมูก และที่สำคัญที่นี่ไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นของท่อระบายน้ำอยู่เลย

“ยูริจังง อย่ายืนห่างขนาดนั้นนน”

ฮันน่าร้องออกมาอย่างเศร้าใจ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วที่น้องสาวของเธอจงใจเดินห่าง ขนาดอยู่ในรถม้ายังนั่งห่างออกไปเลย รู้งี้เธอไม่น่าไปแกล้งอีกฝ่ายตั้งแต่ต้น

“จะสั่งอะไรกินเหรอคะ?” เด็กสาวหันมาถามพลางไม่ใส่ใจคำพูดก่อนหน้าของอีกฝ่าย “มีเมนูแปลกๆ อยู่ด้วยล่ะค่ะ”

ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารแบบร้านอาหารตามสั่ง สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งกินที่โต๊ะหรือจะสั่งกลับบ้าน ซึ่งเมนูบางอย่างของร้านแห่งนี้ทำให้เธอนึกถึงอาหารเอเชียของโลกก่อนอีกด้วย

น่าแปลกชะมัดสำหรับต่างโลกแบบนี้ เพราะตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่เธอจะค้นพบว่าเชื้อชาติของคนในเมืองรัตติกาลจะมีความคล้ายกับคนผิวขาวของชนชาติยุโรปในโลกเก่า ดังนั้นมันจึงประหลาดที่มีเมนูสไตล์เอเชียอยู่ในเมืองแห่งนี้

เหมือนกับร้านอาหารญี่ปุ่นในต่างประเทศนั่นแหละ บางทีร้านแห่งนี้อาจจะถูกเปิดโดยคนชนชาติเอเชียของโลกใบนี้ก็เป็นได้ หรือไม่ก็วัฒนธรรมของโลกใบนี้มันผิดเพี้ยนจากโลกใบเก่าของเธอ แบบว่าอาจจะเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมจนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมก็เป็นได้

และร้านอาหารแห่งนี้มีสไตล์การบริหารที่แตกต่างจากร้านอื่นในเมือง ตรงที่มันคือสถานที่ที่ก่อตั้งขึ้นจากร้านยิบย่อยหลายๆ ร้าน โดยจะมีพ่อค้าแม่ค้าที่มาขายอาหาร และให้คนที่ซื้อนำกลับบ้านหรือไม่ก็ไปนั่งโต๊ะแทน

ถ้าให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายกว่าเดิม สมมุติว่ามีร้านAถึงZ ร้านทั้งหมดนั่นมารวมกันจนกลายเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่เดียว กลายเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ที่รวมพวกร้านยิบย่อยพวกนั้นเอาไว้ แต่ถ้าร้านไหนขายได้กำไร กำไรหกสิบเปอร์เซ็นต์ก็จะตกเป็นของร้านนั้น ส่วนที่เหลือก็จะถูกนำมารวมกันเป็นกองทุนรวมของร้านโดยรวม กองทุนรวมนั่นมักจะถูกนำไปใช้พัฒนาร้าน ‘ขนาดใหญ่’ ให้พัฒนายิ่งขึ้นถัดๆ ไป

เหมือนกับการที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจากทุกสารทิศมารวมตัวกันเพื่อขายของและนำเงินส่วนหนึ่งมาพัฒนาร้านหลักเลยแฮะ แถมยังช่วยให้คนหางานได้อีกต่างหาก เนื่องจากร้านแต่ละร้านก็แยกกันอยู่แล้วเพราะเป็นคนละร้านกัน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการแบ่งรายได้มากนัก

ถึงเด็กสาวจะไม่ฉลาดเรื่องธุรกิจสักเท่าไหร่จนมิอาจเห็นเบื้องลึกเบื้องหลังหรือข้อดีข้อเสียของการบริหารแบบนี้ แต่อย่างน้อยภาพลักษณ์ภายนอกของมันก็เป็นการบริหารที่ดูดีล่ะนะ

แต่เธอพอคาดเดาได้ว่าพ่อค้าแม่ค้าบางคนคงไม่อยากมาขายของในพื้นที่แห่งนี้เพราะว่าไม่อยากแบ่งกำไรสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของตัวเองเป็นแน่แท้ แม้ว่าการนำของมาขายที่นี่มันจะดูมั่นคงกว่าและมีลูกค้ามหาศาลกว่ามากก็เถอะ

คิดไปคิดมา แบบนี้มันควรเรียกว่าตลาดมากกว่าร้านขนาดใหญ่ไม่ใช่รึไง? ทำไมผู้บริหารสูงสุดของที่นี่ถึงได้เรียกมันว่าร้านอาหารล่ะ?

ไม่สิ บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของภาพลักษณ์ก็ได้ บางทีการเรียกว่าร้านอาหารอาจจะทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความมีระดับมากกว่าคำว่าตลาด นั่นมีผลกับการตัดสินใจเข้ามาซื้อของของลูกค้า

แต่ถ้ามีร้านบางร้านทำอาหารห่วยแตก ไม่ใช่ว่าภาพลักษณ์ของที่นี่จะเสียไปด้วยรึไง? นี่สินะจุดอ่อนของการบริหารด้วยวิธีนี้ เพราะเรียกที่นี่ว่าร้านอาหาร ไม่ใช่ตลาด ย่อมทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าร้านยิบย่อยทั้งหมดคือร้านเดียวกัน พอมีร้านที่บริการไม่ดีหรือทำไม่อร่อย ก็จะพลอยซวยร้านอื่นๆ ไปด้วย ตรงกันข้ามกับการเรียกว่าตลาด เพราะต่อให้มีสักร้านที่ทำห่วย เราก็จะไม่เหมารวมร้านค้าอื่นๆ

นี่สินะที่เรียกว่าปลาตัวเดียวเน่าทั้งฝูง ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะเรียกว่าร้านค้าหรือตลาดมันก็เหมือนกันแท้ๆ สำหรับที่แห่งนี้ แต่พอเปลี่ยนวิธีเรียกมันก็ทำให้การคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจของผู้บริโภคเปลี่ยนตามไปด้วย

จิตใจของผู้คนนี่ช่างซับซ้อน โชคดีหน่อยที่ฉันเป็นอัจฉริยะด้านจิตวิทยา แต่เมื่อกี้ฉันพึ่งนำธุรกิจมารวมกับจิตวิทยาไม่ใช่เหรอ? หรือว่าความสามารถของเราจะเพิ่มขึ้นแล้ว ถ้าเป็นในเกมก็ควรจะมีเสียงว่า ‘ปิ๊งป่อง เลเวลความฉลาดของท่านเพิ่มขึ้นแล้ว’ หรืออะไรแบบนั้นรึเปล่านะ

แต่นี่ไม่ใช่เกมสักหน่อย จะมีระบบแบบนั้นได้ยังไง ถ้าจะมีมันก็มีแค่ในนิยายต่างโลกทั่วๆ ไปเท่านั้นแหละ

“ยูริจัง? พยักหน้าทำไมคนเดียวน่ะ” ฮันน่าเอียงคออย่างสงสัย “ไม่สั่งอาหารเหรอ?”

เด็กสาวสะดุ้ง อย่าบอกนะว่าเธอเผลอจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกแล้วน่ะ ให้ตายสิ น่าอายชะมัด

“อ เอ่อ นึกว่าพี่สั่งอาหารให้แล้วก็เลยจมอยู่กับความคิดของตัวเองนิดหน่อยน่ะค่ะ”

“งั้นเหรอ แต่พี่ยังสั่งให้ไม่ได้หรอกนะ ยูริจังต้องมาเลือกเองว่าอยากกินอะไร”

เฮ้อ เด็กสาวถอนหายใจ คงไม่ได้โดนมองแปลกๆ ใช่ไหมนะ เอาเถอะ สั่งอาหารดีกว่า เดี๋ยวเที่ยงจะต้องไปร่วมพิธีศพของวันแรกด้วย และหลังจากนั้นอีกสองวันไม่นับวันนี้ ก็จะเสร็จสิ้นพิธีศพของมิสเตอร์ไบรอัน

เด็กสาวเลือกร้านที่มีคนต่อแถวอันดับกลางๆ เนื่องจากไม่อยากเสียเวลาต่อพวกที่มีแถวยาวๆ และมองว่าร้านนี้น่าจะทำอาหารอร่อยในระดับกลางๆ ทำให้เธอเลือกร้านนี้ สำหรับร้านที่ไม่มีคนต่อแถวเลย เธอไม่คิดจะเสี่ยงหรอก รสชาติอาจจะแย่มากหรือไม่ก็ทำอาหารออกมาได้สกปรก

ดูเหมือนฮันน่าจะคาดเดาได้ว่ายูริคิดอะไรอยู่ เธอจึงยิ้มอบอุ่นพลางบอกว่า

“เดี๋ยวพี่จะไปต่อร้านนั้นนะ แล้วเดี๋ยวเจอกันที่โต๊ะหมายเลขเจ็ดนะ”

จากนั้นฮันน่าก็ชี้ไปที่ร้านที่มีคนต่อมากที่สุด อีกฝ่ายยอมเสียเวลาต่อเพื่อให้ยูริได้ทานของอร่อยๆ เด็กสาวซาบซึ้งใจเล็กน้อย แต่แล้วเธอก็ขมวดคิ้ว

“โต๊ะหมายเลขเจ็ดเหรอคะ? ถ้ามีคนชิงนั่งไปก่อนจะทำยังไงคะ?”

ที่นี่ไม่ได้มีระบบจองโต๊ะอาหารสักหน่อย ทำไมถึงได้มั่นใจว่าจะได้นั่งบนโต๊ะหมายเลขเจ็ดกันล่ะ

“หุหุ อย่าลืมสิว่าพี่เป็นแวมไพร์” ฮันน่ายิ้มเจ้าเล่ห์ “เวทมนตร์น่ะ ควรจะเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์นะ”

เวทมนตร์อะไร? ขู่ให้คนไม่กล้ามานั่งโต๊ะหมายเลขเจ็ดงั้นหรือ? เธอสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะตอนนี้มีคนมาต่อแถวข้างหลังของเธอเพียบเลย ตอนแรกคนไม่ได้เยอะขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ?

ผ่านไปราวๆ สิบนาที หลังจากรอดชีวิตจากฝูงชนที่อุ่นหนาฝาคั่งมาได้ เธอก็มาถึงหน้าร้านอาหาร มีชายอ้วนหัวล้าน ตาตี่และสวมผ้ากันเปื้อนของพ่อครัวยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ร้าน

มันเป็นร้านแผงลอยขนาดกลางที่มีผู้ช่วยพ่อครัวราวๆ สองสามคนทำงานอยู่เบื้องหลัง ดูวุ่นวายพอสมควร

“จะสั่งอะไรหรือหนู”

อีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทางของคุณลุงใจดี ปากถูกผ้าอนามัยปิดเอาไว้มิดชิด ไม่จำเป็นต้องสวมหมวกเพราะไม่มีผมอยู่บนหัวสักเส้น หมดปัญหาผมร่วงลงอาหารอย่างสมบูรณ์

ท่าทางใจดีของอีกฝ่ายทั้งเข้าและไม่เข้ากับภาพลักษณ์ชายหัวล้านร่างท้วมอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าเธอเคยเห็นอะไรแบบนี้มาจากที่ไหน อ่า จำได้แล้ว ร้านอาหารแผงลอยของบางประเทศที่เธอเคยไปในโลกเก่าก็มีอะไรแบบนี้นี่น่า

เด็กสาวเลิกสนใจรูปลักษณ์ที่คล้ายกับคนเอเชียของอีกฝ่าย ถึงจะน่าแปลกที่มีคนเอเชียอยู่ในทวีปเหนือที่เป็นดั่งทวีปยุโรปก็เถอะ แต่บางทีอีกฝ่ายอาจจะเป็นผู้อพยพก็ได้ หรือไม่ก็คนที่มาตั้งถิ่นฐานยังประเทศนี้

เด็กสาวมองเมนูอาหารพลางตัดสินใจเลือกอยู่ชั่วครู่ เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นเมนูแปลกๆ บนนั้น

‘ต้มยำกุ้ง’

‘ซูชิหน้าปลาดิบ’

‘หล่าเพ็ด’

นั่นมันบ้าอะไรวะน่ะ? ทำไมถึงมีเมนูจากโลกใบเก่าของเธอได้กัน แถมมาจากหลายชนชาติมาก ซูชิก็เป็นอาหารจากชาติของเธอ ญี่ปุ่นยังไงล่ะ ส่วนหล่าเพ็ดนั่นก็ของประเทศเมียนม่า และต้มยำกุ้ง—จำไม่ได้สักเท่าไหร่ น่าจะของไทยล่ะมั้ง?

วาคาดะ ซายูริเคยเดินทางไปยังต่างประเทศบ่อยครั้ง อาหารที่ได้กินก็หลากหลาย ด้วยประสบการณ์เหล่านั้นทำให้เธอจำเมนูอาหารพวกนั้นได้ในทันที

และนอกจากสามสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ร้านแห่งนี้ยังมีอาหารอิตาลี สเปน และตุรกีอีก ของพวกนี้มันมาได้ยังไง? เจ้าของร้านอาหารเป็นใครกันแน่?

จะถามอีกฝ่ายตรงนี้ก็ไม่ได้ ข้างหลังเริ่มหงุดหงิดกันแล้วที่เธอเลือกช้า เด็กสาวเลยชี้ไปที่ซูชิกับข้าวหน้าปลาไหลหนึ่งกล่อง เนื่องจากเป็นอาหารญี่ปุ่นและเธอเองก็คุ้นเคยกับอาหารเหล่านั้นที่สุด เลยเลือกของพวกนั้น

ส่วนอาหารไทยกับประเทศอื่น วาคาดะ ซายูริยังไม่มีความคิดที่จะกินตอนนี้

เมื่อได้รับอาหารที่สั่ง เธอก็ถือมันมานั่งกินบนโต๊ะหมายเลขเจ็ด น่าแปลกที่ไม่มีใครมานั่ง และฮันน่าก็ยังไม่มา น่าจะยังคงต่อแถวอยู่ แถวนั่นมันยาวจะตาย ไม่แปลกใจเลยที่จะต้องรอนาน

ผ่านไปราวๆ ห้านาที หลังจากหงุดหงิดเพราะท้องไส้กิ่ว เธอก็เหลือบเห็นฮันน่าที่กำลังเดินมาพร้อมกับกล่องอาหารบางอย่างที่ข้างในเต็มไปด้วยข้าว น่าจะเป็นข้าวผัดล่ะมั้ง?

“แถวยาวไปหน่อยน่ะ”

ฮันน่าบอกพลางนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ

“ดูนี่สิๆ พี่สั่งข้าวผัดมาให้ยูริจังด้วยล่ะ น่าอร่อยออกเนอะ”

หรือว่าที่ฮันน่าทำแบบนี้เพราะมีเป้าหมายอยากจะไถ่โทษเธอกันนะ? แต่เธอก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น แค่ระแวงและไม่อยากเข้าใกล้ก็เท่านั้นเอง

“หนูสั่งของตัวเองมาแล้วค่ะ…”

เด็กสาวเริ่มตักข้าวหน้าปลาไหลเข้าปาก รสชาติมันอร่อยมากๆ เลยล่ะ

“ข้าวหน้าปลาไหลเหรอ? เข้าใจเลือกนะเนี่ย”

ฮันน่าเฝ้ามองอาหารเธอด้วยสีหน้าสนอกสนใจ

“พี่จำได้ว่าคุณฟุมิ มัตสึโมโตะเป็นคนคิดค้นเมนูนี้ขึ้นมาน่ะ”

แค่ก แค่ก ยูริสำลักข้าวหน้าเนื้อในทันที ชื่อว่าอะไรนะ ฟุมิ? นั่นมันชื่อของคนญี่ปุ่นชัดๆ เลยไม่ใช่รึไง ทำไมถึงมีชื่อของคนญี่ปุ่นมาอยู่ในประโยคสนทนาได้กันฟระ?

“ย ยูริจัง เอาน้ำไป”

ฮันน่ายื่นขวดน้ำมาให้ เด็กสาวรับมันไปดื่ม หัวสมองประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทัน เธอเริ่มรู้ตัวแล้วว่าปริศนาใหม่ก่อกำเนิดขึ้นแล้ว ให้ตายสิ ปริศนาเก่ายังไม่ทันได้ไขเลย ถ้าโลกนี้เป็นนิยายมันจะเป็นนิยายประเภทไหนกันนะ

“ใครคือคุณมัตสึโมโตะเหรอคะ?”

เธอถาม ชื่อนั้นคุ้นหูอย่างประหลาด ราวกับจิตวิญญาณของเธอกำลังต่อต้านชื่อนั้นอย่างแรงกล้า ชื่อมันเหมือนกับ—เหมือนกับ—

“คุณฟุมิ มัตสึโมโตะคือคนที่เป็นเจ้าของกิจการของที่นี่น่ะ เขาคือคนที่สร้างที่นี่ขึ้นมายังไงล่ะ”

ฮันน่าอธิบาย ก่อนจะเล่าต่อว่ามัตสึโมโตะนั้นคืออัจฉริยะที่หาจับตัวได้ยากในวงการธุรกิจ เขาคือผู้ที่คิดค้นกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ มามากมายและเป็นบุคลากรสำคัญของประเทศนี้

โดยที่ฮันน่าไม่รู้ วาคาดะ ซายูริแอบตัวสั่นระริก หน้าซีดลงเล็กน้อย เธอพอเข้าใจสถานการณ์แล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมร้านอาหารแห่งนี้ถึงมีเมนูอาหารจากโลกเก่าได้ ทั้งต้มยำกุ้ง ซูชิ และอื่นๆ

มัตสึโมโตะ ฟุมิ หรือในโลกนี้ที่หมอนั่นเรียกตัวเองโดยการเอานามสกุลไปไว้ด้านหลังจนกลายเป็น ฟุมิ มัตสึโมโตะ หมอนั่นคือคนญี่ปุ่น ผู้ที่เดินทางมาจากโลกเดียวกันกับเธอ

และที่สำคัญที่สุด นั่นคือชื่อของชายที่เป็นหัวหน้ากรมตำรวจสืบสวนในโลกเก่า คนที่ทำให้ตัวของเธอพบกับจุดจบที่น่าสังเวช ผู้ที่ทำให้ฆาตกรอัจฉริยะผู้นี้พ่ายแพ้ได้สำเร็จ

ไม่สิ ใจเย็นๆ เธอพยายามปลอบใจตัวเอง บางทีมันอาจจะเป็นแค่คนชื่อคล้ายก็ได้ แบบว่าคนที่มีชื่อกับนามสกุลซ้ำกันหรืออะไรแบบนั้น แต่นี่มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยรึไงกัน?

คงบังเอิญนั่นแหละ ล่ะมั้งนะ