ตอนที่ 8 การมาถึงของเซียนจิ่ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“หยวนชิง เสวียนหย่า พวกเจ้าเป็นศิษย์อันดับสองและศิษย์อันดับหกในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ เหตุใดถึงอยากรีบไปเก็บสมุนไพร…หลิวเยี่ยนเอ๋อร์จากยอดเขาตู้หลิน หวางฉีจากยอดเขาเสี่ยวหลิง อืม…พวกเขายังอยู่ในกลุ่มสุดยอดอัจฉริยะยี่สิบอันดับแรกในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ เช่นกัน เหตุใดพวกเขาถึงจะไปที่ป่าสมบัติโกลาหล พวกเราตระหนี่ในการให้ทรัพยากรดูแลบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เยี่ยงนี้มากเกินไปหรือ…ดินแดนเทวะอุดรเป็นสถานที่อันตราย ไม่มีผู้ใดคิดจะไปที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง…”

ขณะนั้น มีเซียนสตรีผู้หนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุรากำลังเอียงศีรษะจ้องมองหลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ทางด้านหลังเหล่าศิษย์ที่โดดเด่นทั้งสี่ จากนั้นนางก็มองลงไปยังแถบไม้ไผ่ที่ถืออยู่ในมือก่อนจะมองขึ้นไปที่หลี่ฉางโซ่ว นางทำเช่นนี้ซ้ำอีกสองครั้ง แล้วทันใดนั้นสีหน้าของนางก็ค่อยๆ มืดทะมึนขึ้นเรื่อยๆ

“หลี่ฉางโซ่ว ยอดเขาหยกน้อย…เจ้ามีฐานพลังระดับใดกัน เหตุใดถึงคิดจะไปที่ป่าสมบัติโกลาหลทั้งที่เพิ่งครองขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพขั้นเก้า… ไป ไป ไป! ไปต่อสู้กับพวกปีศาจกุ้งเล็กๆ ในทะเลบูรพาเหล่านั้นเถิด”

เซียนสตรีผู้นั้นกล่าวตรงๆ อย่างโหดเหี้ยม ทว่านางก็มีเหตุผลมากเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านางห่วงความปลอดภัยของหลี่ฉางโซ่ว

เซียนสตรีผู้นั้นมีน้ำเต้าสุราสองลูกห้อยอยู่ที่เอว ลูกหนึ่งใหญ่และลูกหนึ่งเล็ก นางสวมชุดเรียบง่ายมากด้วยกางเกงขายาวและเสื้อตัวสั้น นางมีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนไม่สั้นไม่ยาว นับว่าเป็นค่านิยมที่หายาก เพราะบรรดาผู้บำเพ็ญหญิงทั้งหมดสามพันคนล้วนมีเส้นผมยาวสลวย

ในด้านภาพลักษณ์ นางดูราวกับเป็นศิษย์ของช่างซ่อมบำรุง ซึ่งโดนบีบบังคับมาเป็นเวลานานจนสูญสิ้นฐานพลัง

โชคยังดีที่นางมีเข็มขัดผ้าผูกเอาไว้รอบเอวเพรียวบางของนาง เสื้อผ้าป่านแขนสั้นที่หลุดลุ่ยออกมา และพลังกดดันที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างของนางเป็นครั้งคราว ซึ่งเมื่อรวมคุณลักษณะทั้งหมดเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว จึงทำให้ผู้คนรอบตัวนางคิดว่านางเป็นเซียนสตรีที่ทรงพลังยิ่ง

นามเต๋าของสตรีผู้นี้คือ จิ่วจิ่ว นางอยู่ที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์และดูเหมือนจะอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ ทว่าความจริงแล้วนางมีอายุแปดร้อยหรือเก้าร้อยปีและกลายเป็นเซียนมาได้กว่าหกร้อยปีแล้ว ทั้งยังเป็นศิษย์อันดับต้นๆ ในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกันกับนางทั้งหมดอีกด้วยซึ่งตอนนี้พวกเขาสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้แล้ว

นางเป็นผู้พิทักษ์จากสำนักเพียงคนเดียวที่กำลังมุ่งหน้าไปยังป่าสมบัติโกลาหล เห็นได้ชัดว่านางย่อมไม่ใช่สตรีธรรมดาอย่างแน่นอน

หลี่ฉางโซ่วยังคงเผยสีหน้าเคร่งขรึมในขณะที่ประสานมือและโค้งคารวะให้เซียนจิ่วผู้มีชื่อเสียง พลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อาจิ่ว ศิษย์ผู้นี้ต้องไปหาสมุนไพรสองสามชนิดที่พบได้ในดินแดนเทวะอุดรเท่านั้น ครั้งนี้คงต้องลำบากอาจารย์อาจิ่วแล้ว”

“สมุนไพรอันใดกัน” มุมปากของนางหยักยิ้มขึ้นขณะกล่าว ใบหน้างดงามของนางเผยความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย

“ข้าและอาจารย์ของเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เจ้าจงรับสิ่งนี้ไป เอาไป แล้วไปหาผู้อาวุโสฉีหลิง แห่งหอพระสูตรเต๋า”

ขณะกล่าว เซียนสตรีผู้นี้ก็ดึงหยกชิ้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยคราบสุราออกมาจากเสื้อตัวสั้นของนางแล้วโยนมันไปให้หลี่ฉางโซ่ว

“แค่บอกเขาให้หักเงินจากบัญชีรายเดือนของข้า จงไปเอาสมุนไพรใดๆ ก็ได้ที่เจ้าต้องการ…ดินแดนเทวะอุดรเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสำหรับผู้บำเพ็ญซึ่งอยู่ในขั้นเก้าขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพ หากเจ้าไปตายที่นั่นจริงๆ ข้าจะถูกหักเงินค่าสุราไปสิบปี แล้วเจ้าอาจารย์ขี้แยของเจ้าคงต้องวิ่งมาร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรกับข้าอย่างแน่นอน…เอ่อ…แค่คิดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้หงุดหงิดรำคาญใจแล้ว”

ชั่วขณะนั้น บุรุษและสตรีสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีท่าที่ตกใจเล็กน้อยขณะจ้องมองไปที่หยกชิ้นนั้น

ผู้อาวุโสในสำนักจะมีหยกที่ใช้รับรองตัวตนของพวกเขา แล้วเหตุใดนางถึงคิดจะมอบให้กับศิษย์ที่อยู่ในขั้นเก้าขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพซึ่งไม่ได้อยู่ในยอดเขาเดียวกันกับนางเล่า

“ท่านอาจารย์อา” หลี่ฉางโซ่วยิ้มแหยพลางถือหยกชิ้นนั้นแล้วก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวแล้วส่งหยกชิ้นนั้นคืนให้นางพลางกล่าวว่า “หากมีทางเลือกอื่น ข้าย่อมไม่อยากไปเสี่ยงในดินแดนเทวะอุดรเช่นกัน แต่ยามนี้ข้าไม่อาจทำอันใดได้ขอรับ…ตามกฎของสำนัก ท่านอาจารย์อาไม่อาจปฏิเสธคำขอของศิษย์ที่จะออกไปฝึกบำเพ็ญได้ ขอท่านอาจารย์อาได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้ทำตามประสงค์นั้นด้วยเถิดขอรับ”

จิ่วจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่จับจ้องไปยังผู้เยาว์ที่ก้มศีรษะโค้งคารวะให้นางอยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก่อนที่จะรับหยกชิ้นนั้นกลับคืนมา

“จริงสิ แล้วนั่นผู้ใดกัน…หยวนชิง เสวียนหย่า”

ทันใดนั้น สาวน้อยผู้สวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิงและผู้บำเพ็ญหนุ่มผู้อ่อนโยนต่างก็พากันประสานมือคารวะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันพลางเอ่ยว่า

“ศิษย์อยู่นี่แล้ว”

ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็รีบกล่าวออกมาอย่างใจร้อนว่า “พวกเจ้าทั้งคู่ล้วนครองฐานพลังสูงกว่าเขา จงดูแลเขาให้ดีด้วย”

“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวตอบโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ

“ท่านอาจารย์ โปรดวางใจขอรับ” หยวนชิงมองหลี่ฉางโซ่วด้วยแววตาอบอุ่นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนพลางกล่าวอย่างใจดีว่า “ข้าจะดูแลศิษย์พี่ฉางโซ่วเป็นอย่างดีขอรับ”

แต่จิ่วจิ่วก็ยังอดที่จะแสดงความไม่พอใจของนางออกมาไม่ได้ นางหันไปหาหลี่ฉางโซ่วแล้วพร่ำบ่นใส่เขาว่า “เจ้าเข้าร่วมสำนักก่อนหยวนชิงและเสวียนหย่าด้วยซ้ำ”

“จริงสิ หลี่ฉางโซ่ว แล้วนี่เจ้าทำได้อย่างไรกัน ความจริงแล้ว เจ้าฝึกบำเพ็ญมามากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงขอบเขตคืนกลับอนัตตาอีก…ฮึ ช่างมันเถิด…ด้วยสภาพของยอดเขาหยกน้อย ก็นับได้ว่ายังดีที่เจ้าสามารถไล่ตามศิษย์ส่วนใหญ่ที่นี่ได้”

“เอ่อ” หยวนชิงเผยท่าทีกระดากออกมาแล้วรีบประสานมือโค้งคารวะพลางกล่าวกับหลี่ฉางโซ่วว่า “โปรดอภัยด้วย ขอศิษย์พี่ฉางโซ่ว โปรดอย่าได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายศีรษะคิดในใจว่า

สตรีหน้าน้ำแข็งกับบุรุษผู้อบอุ่น ช่างเหมาะกันดียิ่ง

แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกได้ถึงดวงตาสองคู่ที่จ้องมองมาทางแผ่นหลังของเขาอย่างไร้เจตนาดี แต่เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ เขากล่าวขอบคุณจิ่วจิ่วอย่างสงบนิ่ง หันไปประสานมือโค้งคำนับให้โหย่วฉินเสวียนหย่าและหยวนชิง ก่อนจะถอยกลับไปอยู่ทางด้านหลังของบรรดาศิษย์ทั้งสี่เงียบๆ

และดวงตาทั้งสองคู่นั้นย่อมมาจากศิษย์อีกสองคนที่เหลืออย่างแน่นอน

หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ในชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนและหวางฉีในชุดคลุมเต๋ายาวสีเขียวคราม พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในขอบเขตคืนกลับอนัตตา และเป็นสองเมล็ดพันธุ์เซียนที่ยอดเยี่ยมท่ามกลางบรรดาศิษย์รุ่นนี้

แม้สายตาจ้องมองของพวกเขาในเวลานี้จะไร้เจตนาดี แต่ก็หาได้มีจิตคิดมุ่งร้ายแต่อย่างใด อย่างมากที่สุด ก็เพียงแค่มีความรังเกียจเหยียดหยามเท่านั้น

หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่ในที่ของเขาเงียบๆ และฟังเสียงผู้คนที่กำลังบินผ่านอากาศอยู่ด้านนอกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด แต่ละกลุ่มในบรรดาศิษย์เหล่านี้ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเซียนผู้พิทักษ์ของพวกเขา

เขายังปล่อยพลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปตรวจสอบคลังเวทจัดเก็บต่างๆ บนร่างกายของเขา

นี่ไม่ใช่เพราะเขาจัดระเบียบได้ดี แต่เขาจำเป็นต้องเก็บสมุนไพร อาวุธเวท และอื่นๆ ให้แยกจากกัน สิ่งของที่เขาเก็บไว้ในคลังเวทจัดเก็บเหล่านี้ล้วนเหมือนกันทุกประการคือ มีโอสถ อาวุธเวท ศิลาวิญญาณ และสิ่งของอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเท่าๆ กัน

สร้อยข้อมือที่ข้อมือซ้ายเป็นคลังเวทจัดเก็บหลัก เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน ส่วนจี้รอบคอของเขาและถุงผ้าที่ผูกตรงต้นขาล้วนเป็นคลังเวทจัดเก็บสำรอง…

ไม่มีอันใดผิดปกติสำหรับการเตรียมพร้อมเป็นพิเศษเมื่อออกไปฝึกบำเพ็ญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องไปยังสถานที่อันตรายเฉกเช่น ดินแดนเทวะอุดร

คราวนี้หลี่ฉางโซ่วได้นำทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาไปด้วยทั้งหมด

ส่วนที่เหลือมอบให้ศิษย์น้องหญิงของเขาเพื่อใช้ป้องกันตัวนางเอง

……

เวลาผ่านไปราวครึ่งวัน ก็มีน้ำเต้าขนาดใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านหน้าหอไป่ฝาน

เซียนจิ่วจิ่วกำลังยืนกอดอกอยู่เหนือปากน้ำเต้าด้วยท่าทางเหนือสามัญยิ่งในขณะที่มีศิษย์ไม่กี่คนล้วนยืนนิ่งเงียบๆ อยู่ที่ส่วนต่างๆ ของน้ำเต้า พวกเขาทั้งหมดล้วนยืนหยัดอย่างมั่นคง

เมื่อน้ำเต้าบินออกจากค่ายกลขนาดใหญ่ของสำนัก เซียนจิ่วจิ่วก็ได้ผนึกมือทั้งสองข้างของนาง และทันใดนั้นน้ำเต้าสุราก็ปล่อยแสงสีเขียวออกมาแล้วก่อตัวขึ้นเป็นชั้นบางๆ ด้านนอกของน้ำเต้าเพื่อแยกมันออกจากสายลมโดยรอบ

จากนั้น เซียนจิ่วจิ่วก็ชี้นิ้วไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และน้ำเต้าก็ค่อยๆ เร่งความเร็วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

“ทุกคนสบายใจได้ ไม่ต้องตื่นกลัวไป หลังจากออกจากสำนักพวกเราก็จะไม่อยู่ภายใต้กฎมากมายนัก”

และในยามนั้น จิ่วจิ่วก็หาวออกมาขณะนั่งลงห้อยขาทั้งสองข้างตรงปากน้ำเต้า แล้วเอนหลังลงไปโดยไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ใดๆ จากนั้นนางก็หยิบหนึ่งในน้ำเต้าสุราที่ห้อยอยู่รอบเอวขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วใบหน้าของนางก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างดีใจ

หลังจากจิบสุราไปอึกหนึ่ง ใบหน้าของนางก็แดงขึ้นทีละน้อย จากนั้นนางก็ส่งเสียงถอนหายใจและคร่ำครวญออกมา แล้วเสียงเหล่านั้นก็ถูกลมพัดพาปลิวไปตามสายลม แล้วทั่วทั้งร่างของนางก็แผ่บรรยากาศแห่งความรู้สึกพอใจและสบายใจออกมา จากนั้นนางก็หันหลังกลับและส่งสายตาจับจ้องไปที่เหล่าศิษย์ทั้งห้าคนที่อยู่ข้างหลังนาง

และได้เห็นว่าผู้ที่อยู่ห่างออกไปจากนางมากที่สุดก็คือ หลี่ฉางโซ่วที่นั่งอยู่ทางด้านหลังของน้ำเต้า

หลี่ฉางโซ่วนั่งแยกจากบรรดาศิษย์ที่เหลือคนอื่นๆ เขายังคงเคร่งเครียดและไม่ใส่ใจการนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเหมือนที่คนอื่นๆ กำลังทำอยู่แต่กำลังคีบยันต์กระดาษสีเหลืองสองแผ่นเอาไว้ในระหว่างนิ้วซ้ายของเขา

ในขณะนี้หลิวเยี่ยนเอ๋อร์และหวางฉีนั่งอยู่ตรงกลางของน้ำเต้า กำลังทำสมาธิปรับลมปราณของพวกเขาอย่างสงบเงียบ

ผู้ที่อยู่ใกล้จิ่วจิ่วมากที่สุดก็คือโหย่วฉินเสวียนหย่า ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโดยวางกระบี่เล่มใหญ่เอาไว้เบื้องหน้านาง

และที่ด้านหลังของโหย่วฉินเสวียนหย่า หยวนชิงก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ศิษย์น้องหญิงคราวนี้ข้าจะช่วยเจ้าค้นหาหญ้าผลาญหัวใจเพลิงได้อย่างแน่นอน”

โหย่วฉินเสวียนหย่าขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า “ศิษย์พี่หยวนชิงโปรดอย่าได้กังวลไปเลย นี่เป็นการฝึกบำเพ็ญของข้าเอง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาแทรกแซง”

ทว่าหยวนชิงยังคงแย้มยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “การมีคนช่วยหาเพิ่มย่อมหมายถึงโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นด้วย”

โหย่วฉินเสวียนหย่าไม่เอ่ยตอบอันใดอีก นางยังคงนั่งหลับตาทำสมาธิโดยมีประกายแสงราวกับเปลวไฟล้อมรอบกายนาง ทำให้นางดูงดงามไร้ที่ติอย่างหาที่เปรียบมิได้

“พรืด” จิ่วจิ่วที่กำลังเฝ้าดูอยู่ข้างๆ พลันขบขันยิ่งแล้วเลิกคิ้วมองหยวนชิง

หยวนชิงเผยสีหน้าจนใจ จากนั้นก็ยังคงนั่งสมาธิอยู่ข้างหลังห่างจากโหย่วฉินเสวียนหย่าไปสามฉื่อในขณะที่รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางหายไปช้าๆ

ไอ้หยา นี่เป็นการแสดงที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง…

บุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก[1]

จิ่วจิ่วจิบสุราอมตะเข้าไปอีกอึกหนึ่ง มันมีรสชาติเยี่ยมและทิ้งรสเลิศล้ำค้างอยู่ในลำคออย่างไร้ที่สิ้นสุด แล้วจากนั้นนางก็แขวนน้ำเต้ากลับไปที่เอวของนางอย่างไม่เต็มใจนัก

นางเอนหลังพิงไปกับขอบปากน้ำเต้าสุราแล้วมองขึ้นไปสำรวจเมฆสีขาวที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม จากนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์

หลังจากบินในลักษณะนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว จิ่วจิ่วก็อดที่จะเอื้อมไปหยิบน้ำเต้าที่รอบเอวของนางออกมาอีกครั้งไม่ได้ แต่จู่ๆ นางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยุดลงก่อนจะกล่าวออกมาว่า “เราจะใช้เวลาสักสองวันสามคืนในการบินไปยังดินแดนเทวะอุดร พวกเจ้าคิดจะนั่งสมาธิอยู่ตรงนั้นตลอดเวลาหรือ”

“หวางฉี ร้องเพลงให้อาจารย์อาฟังสักเพลงสิ”

“ท่านอาจารย์อาจิ่ว…” หวางฉีรีบกล่าวแย้งที่ด้านหลัง “ข้าร้องเพลงได้ที่ใดกันขอรับ”

จิ่วจิ่วเผยท่าทีขุ่นใจออกมาทันที “แล้วในหมู่พวกเจ้า มีผู้ใดร้องเพลงได้ ฉางโซ่ว เจ้าทำได้หรือไม่”

หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะขณะยังคงท่าทีเคร่งขรึม แล้วส่งข้อความเสียงเตือนจิ่วจิ่วว่า “ท่านอาจารย์อา ดูเหมือนว่าจะมีผู้บำเพ็ญเต๋าอยู่ในเมฆด้านหลังของพวกเราขอรับ”

“หือ?”

จิ่วจิ่วเงยหน้าขึ้นมองแล้วส่งข้อความเสียงตอบกลับหลี่ฉางโซ่วไปเงียบๆ เช่นกันว่า “ดินแดนกว้างใหญ่แห่งดินแดนเทวะทั้งห้าย่อมมีผู้บำเพ็ญจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ จงอย่าเอะอะทำเรื่องใหญ่ไป พวกเรายังอยู่ไม่ไกลจากสำนักตู้เซียนของเรา”

ทว่าแม้จะกล่าวเช่นนั้นจิ่วจิ่วก็แผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของนางออกไปตรวจสอบ และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความเร็วของน้ำเต้าขนาดใหญ่ก็เริ่มช้าลงเรื่อยๆ

ชั่วครู่ต่อมาน้ำเต้ายักษ์ก็ลอยนิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆ อยู่บนท้องฟ้าในขณะที่จิ่วจิ่วยังคงนั่งลงอย่างผ่อนคลายแล้วตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ไม่รู้ว่า สหายเต๋าผู้นี้ประสงค์สิ่งใดกัน จึงติดตามเรามาเป็นเวลานานเช่นนี้”

ทันใดนั้นคนที่เหลือทั้งสี่ซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ในน้ำเต้าก็ลืมตาขึ้นมาทันทีแล้วหันไปมองหลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังสังเกตการณ์อยู่ที่ด้านหลัง ขณะที่นิ้วมือขวาของเขาจับคลังเวทจัดเก็บเอาไว้แน่นอยู่ภายในแขนเสื้อของเขา

ท่ามกลางหมู่เมฆด้านหลัง ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างกำยำปรากฏกายออกมา บุรุษผู้นี้สวมชุดเกราะที่ถักทอด้วยโซ่เหล็กพร้อมด้วยขวานคมขนาดใหญ่ที่สะพายแขวนไว้อยู่ทางด้านหลังของเขา ใบหน้าของเขาดูหยาบกร้านและดุดันขณะที่แผ่พุ่งพลังลมปราณที่เข้มข้นหนักแน่นออกมารอบกาย

เซียนหรือ

หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้อย่างละเอียดว่า บุรุษผู้นี้เพิ่งทะยานขึ้นสู่เซียนมาได้ไม่นาน และเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวของบุรุษผู้นี้มากนัก

ห่างออกไปนับร้อยจั้ง บุรุษร่างกำยำผู้นี้ก็ประสานมือทำการคารวะให้จิ่วจิ่ว แล้วตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ข้าคือผู้พิทักษ์อาณาจักรหงหลินแห่งดินแดนเทวะบูรพา ข้ามาที่นี่เพื่อปกป้ององค์หญิงหก หากล่วงเกินท่านให้ขุ่นเคืองใจประการใด โปรดอภัยให้ข้าด้วยขอรับ”

“องค์หญิงหก?”

จิ่วจิ่วเอียงศีรษะและมองไปที่ศิษย์หญิงสองคนที่อยู่ทางด้านหลังนาง

ชั่วขณะนั้นสายตาของหลี่ฉางโซ่วก็จับจ้องมองไปที่หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ซึ่งมีใบหน้ากลมเล็กน้อยและดูร้อนใจในทันที แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็กำลังมองไปที่ศิษย์สาวอีกผู้หนึ่ง

และทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินโหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกอย่างยิ่งว่า “จงกลับไปเสีย ไม่ต้องห่วงข้า”

องค์หญิง? ผู้พิทักษ์อาณาจักร?

บุรุษผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นในทันใดเมื่อพวกเขากำลังเริ่มเดินทางไปยังดินแดนเทวะอุดรเท่านั้นหรือ

หลี่ฉางโซ่วย่นจมูกของเขาเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นทะแม่ง…

มันต้องมีหลุมพรางบางอย่างแน่นอน

…………………………………………………………………………………………………………………

[1] บุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก เป็นสำนวนเปรียบเทียบ หมายถึง การรักเขาข้างเดียว