ไป๋ชิงเหยียนจ้องไปที่ฉินซ่างจื้อ “หากท่านฉินไม่รังเกียจ ข้าอยากขอให้ท่าน…”

“หากข้าหายดีแล้วจะจากไปทันที!” ไม่รอให้ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบ ฉินซ่างจื้อรีบเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

ฉินซ่างจื้อรับรู้ถึงจุดประสงค์ของไป๋งชิงหยียน กำมือขึ้น “ขออภัยคุณหนูใหญ่ด้วยขอรับ ครานี้ข้าใจร้อนลอบสังหารเหลียงอ๋องทำให้พี่น้องถูกฆ่าล้มตายไปไม่น้อย ข้าเสียใจยิ่งนัก ข้าตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะอยู่ในราชสำนัก อุทิศทั้งชีวิตของข้าเพื่อขัดขวางมิให้เหลียงอ๋องได้ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะมิยอมหลบอยู่แต่ในเรือนแน่”

ปณิธานของฉินซ่างจื้อช่างยิ่งใหญ่นัก มิเช่นนั้นชาติที่แล้วเขาคงไม่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในจวนขององค์รัชทายาทหรอก

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้อ้อนวอน นางนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นย่อกายคาราวะฉินซ่างจื้อพลางกล่าวขึ้น “ราชสำนักเป็นดั่งมหาสมุทร ท่านเป็นดั่งเจียว[1] ไป๋ชิงเหยียนขอให้ท่านสมหวังดังปรารถนา เจียวหลงเมื่อสัมผัสน้ำจะสามารถสร้างเมฆหมอก เหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า”

ฉินซ่างจื้อดูแปลกใจที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวออกมาเช่นนี้ เขากุมหน้าอกแน่นฝืนกายลุกขึ้นยืน คาราวะไป๋ชิงเหยียนด้วยความนับถือ ยากที่จะได้เห็นเขาแสดงกิริยาเช่นนี้

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า รับเตาอุ่นมือมาจากมือของชุนเถา เดินย้อนกลับไปทางเดิม

แม้ว่าฉินซ่างจื้อไม่ยอมช่วยเหลือนาง แต่คำกล่าวของเขาเมื่อครู่ทำให้นางกระจ่างแจ้ง

หญิงสาวนึกถึง ‘จดหมายถามจักรพรรดิ’ ที่มารดาของนางทิ้งไว้หลังจากปลิดชีพในคุก นึกถึงภาพที่เหล่านักปราชญ์ที่ช่วยกันออกมาประท้วงทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลไป๋ นึกถึงภาพที่เหลียงอ๋องที่นั่งกุมขมับอย่างปวดหัวอยู่ในตำหนักเพราะไม่อาจช่วยบรรเทาความทุกข์ของฮ่องเต้ได้

ถ้อยคำใส่ร้ายที่ถาโถมเข้ามาอาจกลับดีเป็นชั่ว ทำลายชีวิตคนผู้หนึ่งให้ย่อยยับได้ คำพูดคนช่างน่ากลัวเสียจริง

แม้กุมอำนาจสูงสุดอยู่ในกำมือ ทว่าฮ่องเต้ก็ยังมีเรื่องที่หวาดกลัวเช่นนั้นหรือ กลัวคำนินทาของผู้คน กลัวความโกรธของราษฎร กลัวภายภาคหน้าจะได้รับสมญานามว่าโหดเหี้ยมต่อขุนนางผู้ภักดี!

ตอนนี้ไม่รู้ว่าท่านปู่เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง…อาจเสียชีวิตลงที่หนานเจียงแล้ว ตระกูลไป๋ถอยจนไม่มีทางให้ถอยแล้ว

ในเมื่อถอยไม่ได้ เช่นนั้นนางจะเดินหน้าสักก้าวก็แล้วกัน นางจะทำให้เกียรติยศของตระกูลไป๋ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุด ทำให้ฮ่องเต้หวาดกลัวแต่ก็ไม่กล้าลงมือกับตระกูลไป๋

ต่อให้สุดท้ายแคว้นต้าจิ้นจะหลีกเลี่ยงจุดจบที่ถูกแคว้นหนานเยี่ยนรุกรานจนดับสูญไม่พ้น ด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ…หวังว่าจะคุ้มครองให้ตระกูลไป๋ปลอดภัยได้

เจี่ยงหมัวมัวซึ่งกำลังไปหาไป๋ชิงเหยียนที่เรือนชิงฮุย นึกไม่ถึงว่าจะพบกับหญิงสาวที่กลางทาง รีบสาวเท้าไปด้านหน้า

“คุณหนูใหญ่!” เจี่ยงหมัวมัวย่อกายทำความเคารพ “องค์หญิงใหญ่เชิญคุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากเล็กน้อย “ท่านย่ามีแผนแล้วอย่างนั้นหรือ”

เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้า ดวงตาแดงก่ำ

ไป๋ชิงเหยียนเดินตามเจี่ยงหมัวมัวไปยังเรือนฉางโซ่วขององค์หญิงใหญ่ ระหว่างทางเอ่ยถามสภาพร่างกายของท่านย่าหลังจากที่นางกลับไปแล้วโดยละเอียด

“คุณหนูใหญ่ ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ องค์หญิงใหญ่เป็นถึงพระธิดาองค์โตของราชวงศ์นะเจ้าคะ พระองค์รับไหวอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เจี่ยงหมัวมัวกางร่มให้ไป๋ชิงเหยียน ดวงตาร้อนผ่าวอย่างกลั้นไม่อยู่ “แต่คุณหนูใหญ่ยังเป็นแค่เด็ก…”

กล่าวไม่ทันจบ ทั้งสองก็เดินมาถึงเรือนฉางโซ่วแล้ว

สาวใช้แหวกม่านให้ไป๋ชิงเหยียน เมื่อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนเดินเข้าไปด้านในแล้ว เจี่ยงหมัวมัวจึงไล่บรรดาสาวใช้ทุกคนที่อยู่ด้านในออกไปทั้งหมด เดินเข้าไปด้านใน รับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกที่ไป๋ชิงเหยียนถอดออกมาถือไว้ กล่าวขึ้น “บ่าวจะเฝ้าอยู่ด้านนอก คุณหนูใหญ่พูดคุยกับองค์หญิงใหญ่ตามสบายนะเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนมองผ่านผ้าม่านลูกปัดเข้าไป เห็นท่านย่านั่งหลับตาลูบลูกประคำอยู่ ขอบตานางร้อนผ่าวในทันที

“ท่านย่า…” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา

องค์หญิงใหญ่ลืมตาขึ้น เห็นไป๋ชิงเหยียนแหวกม่านเดินเข้ามา นางเอื้อมมือออกไป “อาเป่า มานี่!”

สิ้นเสียง ไป๋ชิงเหยียนเดินไปหยุดตรงหน้าขององค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่อึกอัก ถอนหายใจอยู่หลายครา เอ่ยถามด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “เจ้าบอกย่ามาว่าผู้ใดส่งข่าวให้เจ้า เหตุใดถึงเร็วกว่าข่าวของวังหลวง”

“ก่อนที่ท่านปู่จะไป ข้าให้องครักษ์ลับสองนายที่ท่านปู่เคยมอบให้ข้าลอบติดตามไปคุ้มครองท่านปู่เจ้าค่ะ หนึ่งในนั้นยื้อลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเพื่อกลับมาส่งข่าวให้ข้า บอกว่าหลิวฮ่วนจางรองแม่ทัพของท่านปู่ร่วมมือกับคนในราชวงศ์ทำร้ายท่านปู่! ข้าไม่มีหลักฐานเลยไม่กล้าเอะอะโวยวาย สั่งให้คนนำร่างของเขาไปฝังเงียบๆ เจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนเตรียมข้ออ้างนี้มาตั้งแต่เมื่อวานก่อนที่จะมาเรือนฉางโซ่วแล้ว เจิ้นกั๋วกงเคยมอบองครักษ์ลับฝีมือดีสองนายให้ไป๋ชิงเหยียนจริงๆ ตอนที่เจิ้นกั๋วกงไปออกรบ…ไป๋ชิงเหยียนก็สั่งให้องครักษ์ลับทั้งสองติดตามไปปกป้องเจิ้นกั๋วกงจริงๆ ทว่าเมื่อชาติที่แล้ว องครักษ์ลับทั้งสอง…กลับต้องสิ้นชีวิตลงที่หนานเจียงพร้อมกับบุรุษในตระกูลไป๋เพราะต้องการช่วยชีวิตเจิ้นกั๋วกง

องค์หญิงใหญ่ปวดใจจนทนไม่ไหว ริมฝีปากสั่นเทา ผ่านไปครู่หนึ่ง นางหลับตาลง ตบมือลงบนโต๊ะเต็มแรง “บุรุษตระกูลไป๋ของข้าตายในขณะสู้รบกับศัตรูได้ แต่จะตายด้วยน้ำมือผู้ทรยศมิได้เด็ดขาด!”

“ท่านย่า ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เราต้องเตรียมการล่วงหน้า…” ไป๋ชิงเหยียนกุมมือองค์หญิงใหญ่เอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่านางมีความคิดแล้ว “หากบุรุษตระกูลไป๋ถูกทำร้ายจริงๆ คงเพราะมีคนอยากแย่งกองทัพไป๋ไปจากตระกูลไป๋ของเรา!”

องค์หญิงใหญ่จับขอบโต๊ะแน่น

“แต่กองทัพไป๋ยอมรับแค่คนในตระกูลไป๋เท่านั้น! ท่านปู่และพวกท่านพ่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ข้ากลัวว่าผู้ที่ทำลายตระกูลไป๋ของเราจะมีแผนการอันใดอีก ท่านย่า…บัดนี้ท่านคือที่พึ่งเดียวของตระกูลไป๋แล้วนะเจ้าคะ เราต้องต้านทานให้ได้!” ไป๋ชิงเหยียนวิเคราะห์ให้องค์หญิงใหญ่ฟัง

“พวกมันฝันไปเถิด!” องค์หญิงใหญ่กัดฟันกรอด “ก่อนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนจะสวรรคต พระองค์ทรงพระราชทาน…กองกำลังองครักษ์ลับหลวงซึ่งมีแต่ฮองเฮาเท่านั้นที่ครอบครองได้ให้ย่า หลายปีมานี้อาศัยอยู่ในตำหนักที่ย่าได้มาจากสินสอด ย่าไม่เคยแตะต้องมาก่อน บัดนี้เห็นทีต้องใช้แล้ว”

ไป๋ชิงเหยียนประหลาดใจ นางไม่เคยได้ยินท่านย่ากล่าวถึงมาก่อนว่ามีกองกำลังองครักษ์ลับหลวงอยู่ด้วย หากเป็นเช่นนี้นางคงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านย่าแล้ว

“ท่านย่า ต่อให้ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและน้องชายไม่อยู่แล้ว แต่หลานยังอยู่เจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนกุมมือองค์หญิงใหญ่แน่น กล่าวอย่างหนักแน่น “ท่านย่าต้องดูแลตัวเองนะเจ้าคะ ท่านต้องแข็งแรงปลอดภัย มีท่านอยู่ ข้าจะได้อุ่นใจ ข้าจะปกป้องตระกูลไป๋ของเราด้วยชีวิต ไม่ให้บุรุษตระกูลไป๋ของเราตายไปโดยไม่ได้รับความยุติธรรม…”

องค์หญิงใหญ่น้ำตารื้นเพราะคำกล่าวนี้ของไป๋ชิงเหยียน กอดไป๋ชิงเหยียนไว้ในอ้อมแขน สะอื้นไห้ มิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้

ทั้งสองกอดปลอบกันอยู่ครู่หนึ่ง องค์หญิงใหญ่ใช้ผ้าซับน้ำตาบริเวณหางตา เอ่ยถามไป๋ชิงเหยียน “อาเป่าเจ้ามีเป้าหมายอยู่แล้วใช่หรือไม่”

“ภัยเกิดจากในจวน เราต้องตรวจสอบบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมดเจ้าค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ต้องสืบแบบลับๆ ข้าจะปรึกษากับท่านแม่ ท่านย่าอยู่เฉยๆ เป็นพอเจ้าค่ะ มิต้องกังวล”

องค์หญิงใหญ่พยักหน้ารับ

ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงเรื่องที่ต่อมาเหลียงอ๋องได้พาบุตรชายของท่านอารองที่เกิดจากอนุมาที่จวนขึ้นมาได้ หญิงสาวเงยหน้ามององค์หญิงใหญ่ “ยังมีอีกเรื่องที่ข้าอยากถามท่านย่า ท่านอารอง…มีอนุหรือไม่เจ้าคะ”

ท่านอารองที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวถึง คือบุตรชายคนรองขององค์หญิงใหญ่ น้องชายแท้ๆ ของบิดาของ

ไป๋ชิงเหยียน

องค์หญิงใหญ่เม้มริมฝีปาก

เมื่อเห็นท่าทีขององค์หญิงใหญ่ ใจของไป๋ชิงเหยียนหนักอึ้งเล็กน้อย ที่แท้ผู้ที่เหลียงอ๋องสนับสนุนเมื่อชาติที่แล้วเป็นลูกชายของท่านอารองจริงๆ สินะ

“ไม่ร้ายแรงขนาดอนุหรอก แต่ท่านอารองของเจ้าทำผิดต่อท่านอาสะใภ้สองของเจ้าจริงๆ ตอนที่ท่านอารองของเจ้าออกไปร่ำเรียนถูกหญิงสาวคนหนึ่งช่วยชีวิตไว้ ทั้งคู่รักใคร่ชอบพอกัน…” องค์หญิงใหญ่อึกอัก อย่างไรเสีย ไป๋ชิงเหยียนก็เป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน บางคำพูดมิอาจกล่าวกับนางได้ “ต่อมา ท่านอารองของเจ้ากลับมาที่จวน แต่ก่อนกลับเขามอบหยกลายมังกรที่ข้าเคยมอบให้เขาให้แก่นางผู้นั้นเป็นของแทนใจ เดิมทีตั้งใจจะมาปรึกษากับท่านอาสะใภ้สองของเจ้าเพื่อรับตัวนางผู้นั้นมาเป็นอนุ แต่ตอนนั้นท่านอาสะใภ้สองของเจ้ากำลังตั้งครรภ์เลยยังมิได้เอ่ยถึง”

[1] เจียว(เจียวหลง) หมายถึง มังกรที่มีเกล็ดรอบกาย สามารถทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมได้ มักใช้เปรียบเทียบกับคนเก่งที่ได้รับโอกาสแสดงความสามารถ