“ต่อมามีรายงานด่วนจากชายแดน ท่านปู่ของเจ้านำท่านพ่อ และท่านอารองของเจ้าไปออกรบ กว่าจะกลับมาก็ล่วงเป็นเวลาสามปีแล้ว เมื่อเคลียร์กับท่านอาสะใภ้สองของเจ้าแล้วจึงเตรียมไปหานางผู้นั้น แต่เมื่อหลายปีก่อน…บ้านเกิดของนางผู้นั้นถูกน้ำท่วมเสียหายหมดทุกคนต่างคิดว่านางตายไปแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าสองสามปีก่อนหน้านี้หญิงผู้นั้นจะพาบุตรชายมารออยู่ที่ประตูด้านข้างของจวนเจิ้นกั๋วกง เมื่อเห็นว่าบุตรชายคนรองกับภรรยารักใคร่กันดี องค์หญิงใหญ่ไม่อยากให้จวนเจิ้นกั๋วกงต้องวุ่นวายเพราะเรื่องนี้จึงปิดบังทุกคนส่งสองแม่ลูกไปเลี้ยงดูที่จวนส่วนตัวของนางเอง”

ไป๋ชิงเหยียนได้ยินแล้วรู้สึกปวดศีรษะเป็นอย่างมาก

หวนนึกถึงชาติก่อนที่ต่อมาเจิ้นกั๋วกงกลายเป็นขุนนางเสื่อมศรัทธา หลังจากที่บุตรชายซึ่งเกิดจากเมียน้อยของท่านอารองรับสืบทอดตำแหน่ง เขาทำเรื่องเลวทรามมากมาย ฉุดคร่าหญิงสาว ฆ่าแกงผู้เช่าเรือน ทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมานานของตระกูลไป๋จนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี แม้กระทั่งเสิ่นชิงจู๋ที่ไป๋ชิงเหยียนรักดั่งพี่น้องก็โดนคนเลวทรามนั่นทำราวกับเป็นหญิงกลางเมือง แบ่งปันให้ทุกคนได้เชยชม

ความเคียดแค้นจากก้นบึ้งของหัวใจปะทุออกมา ใจราวกับถูกกดทับด้วยภูเขาทำให้นางหายใจไม่ออก นางเกลียดจนอยากจะหยิบมีดไปแทงไอ้คนสารเลวนั่นในตอนนี้เลย

ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถามอย่างไม่อยากยอมจำนน “แน่ใจว่าเป็นลูกของท่านอารองหรือเจ้าคะ”

สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ซีดเผือด เอนกายพิงลงบนหมอนนุ่ม ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง

“เด็กนั่น เหมือนกับท่านอารองของเจ้าตอนเด็กๆ ไม่มีผิดเพี้ยน”

ไป๋ชิงเหยียนกำมือที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อแน่น จิกเล็บลงบนฝ่ามือ หากเขาไม่ใช่บุตรชายของท่านอารอง นางคงให้หลูผิงไปจัดการเขาให้สิ้นเรื่องเสียบัดนี้

ทว่า หากนั่นคือบุตรชายของท่านอารอง…

ไป๋ชิงเหยียนปวดร้าวในใจครู่ใหญ่ นางฝืนบังคับให้ตัวเองตัดสินใจให้เด็ดขาด จากนั้นมองไปยังองค์หญิงใหญ่ “อย่างนั้นก็รับกลับมาเถิดเจ้าค่ะ!”

อาศัยช่วงที่เด็กนั่นอายุยังน้อย บางทีหากอบรมสั่งสอนให้ดีอาจกลับตัวเป็นคนดีได้ ต่อให้กลับตัวไม่ได้…คนตกอยู่ในกำมือของนาง ก็ยังดีกว่าตกอยู่ในกำมือของเหลียงอ๋อง

“ได้ รับกลับมาแล้วย่าจะเลี้ยงดูอบรมเขาด้วยตัวเอง!” องค์หญิงใหญ่กุมมือไป๋ชิงเหยียนเอาไว้แน่น

“ทางป้าสะใภ้สองของเจ้า ย่าก็จะเป็นคนไปบอกเอง รอให้น้องรองของเจ้ากลับมาก่อน”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้ารับ นิ้วมือเย็นเฉียบ ฝืนข่มความรังเกียจขยะแขยงใจใน พยายามไม่นึกถึงมัน คำกล่าวกับองค์หญิงใหญ่เรื่องการตัดสินใจของไป๋จิ่นถง

“ท่านย่าเจ้าคะ หลังจากที่หลานไตร่ตรองดูแล้ว ข้าคิดว่าตระกูลไป๋ของเราควรหาทางออกเอาไว้เผื่อด้วย กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีถ้ำถึงสามถ้ำ แล้วตระกูลไป๋ของเราเล่าเจ้าคะ”

“เจ้าลองว่ามาสิ”

“ท่านย่ายังจำได้หรือไม่เจ้าคะ น้องสามไป๋จิ่นถงเคยช่วยท่านแม่ของข้าจัดการบัญชี เพียงแค่สามเดือนกิจการของเรามีกำไรเพิ่มขึ้นตั้งสามส่วน ตอนนั้นท่านแม่ของข้ายังกล่าวเล่นๆ เลยว่าหากน้องสามทำการค้า คงกลายเป็นเศรษฐีเช่นเดียวกับเซียวหรงเหยี่ยน”

องค์หญิงใหญ่พยักหน้าน้อยๆ นางจำได้ว่าเพราะคำกล่าวเล่นๆ นั่นทำให้ไป๋จิ่นถงมีความคิดอยากทำการค้าขึ้นมาจริงๆ เจิ้นกั๋วกงอาละวาดเป็นการใหญ่ กล่าวว่าบุตรสาวตระกูลไป๋จะตกอับถึงขั้นไปทำการค้าได้อย่างไรกัน

“ท่านย่า หากว่าน้องสามอยากทำ เช่นนั้นก็จัดหาผู้ดูแลที่ซื่อสัตย์ให้นาง ให้น้องสามปลอมกายเป็นชายทำตามที่นางต้องการ ลอบสะสมเงินไว้เถิดเจ้าค่ะ”

“ลอบสะสมเงิน? อาเป่า นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกัน เจ้า…” องค์หญิงตะลึงงันมองไปทางไป๋ชิงเหยียน มือที่กุมไป๋ชิงเหยียนอยู่สั่นเทาน้อยๆ “เจ้าคิดจะกบฏเช่นนั้นหรือ”

นิ้วมือของไป๋ชิงเหยียนถูกองค์หญิงบีบจนรู้สึกเจ็บ สะท้านไปทั้งร่าง ตกอยู่ในภวังค์

บรรยากาศระหว่างย่าหลานในตอนนี้เหมือนกับคันธนูที่ถูกง้างไว้จนสุด ตึงแน่นถึงขีดสุด กระทบเพียงนิดเดียวก็อาจลั่นศรได้

นางลืมไปได้อย่างไรกัน…ท่านย่าเป็นย่าของนาง แต่ก็เป็นพระธิดาของราชวงศ์ด้วย ท่านคือองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าจิ้นซึ่งแคว้นต้าจิ้นเป็นของตระกูลหลิน ความต้องการปกป้องตระกูลไป๋ของนางกับท่านย่ามีความแตกต่างกันอยู่ หากการทรยศราชวงศ์ทำให้นางสามารถปกป้องตระกูลไป๋ได้นางยินดีทำโดยไม่เสียใจ ส่วนท่านย่าต้องการปกป้องตระกูลไป๋แต่ก็อยากปกป้องแคว้นต้าจิ้นไว้ด้วยเช่นกัน

ทว่า ท่านย่าไม่รู้ว่าบัดนี้ฮ่องเต้ทรงไม่พอใจตระกูลไป๋แล้ว ฮ่องเต้…ได้จัดการกับตระกูลไป๋เช่นไรบ้าง!

เหมือนดังที่ฉินซ่างจื้อกล่าวไว้ ชาติที่แล้วที่ตระกูลไป๋โดนกวาดล้างทั้งตระกูลล้วนเป็นความต้องการของฮ่องเต้ทั้งนั้น จักรพรรดิเช่นนี้……หากบีบให้ตระกูลไป๋มีจุดจบเช่นเดียวกับชาติที่แล้ว จะไม่ให้นางคิดกบฏได้เช่นไรกัน

นางหลับตาลงลมหายใจว้าวุ่น หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิแห่งต้าจิ้นบุรุษของตระกูลไป๋จะจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถไม่หลงเหลือแม้แต่ผู้เดียวเช่นนี้หรือ ท่านแม่และบรรดาท่านอาสะใภ้จะปลิดชีพตัวเองเช่นนั้นหรือ ท่านอาสะใภ้ห้าที่เพิ่งคลอดบุตรจะนำโรงศพไปที่วังหลวงแล้วฆ่าตัวตายที่หน้าวังอย่างสิ้นหวังเช่นนั้นหรือ

เมื่อไป๋ชิงเหยียนหวนนึกถึงเรื่องเหล่านั้น นางเจ็บปวดราวถูกมีดคมกรีดลงที่กลางใจ เจ็บฝังลึกสุดใจราวกับเลือดสดๆ ยังไหลรินออกมา เจ็บจนร่างสั่นเทิ้ม

“อาเป่า!” องค์หญิงใหญ่เห็นความโกรธแค้นชิงชังในดวงตาของไป๋ชิงเหยียน เบิกตาโพลง รั้งนางมาด้านหน้าตน สายตาเย็นชาจนน่าสะพรึงกลัว “เจ้าคิดจะกบฏอย่างนั้นหรือ!”

องค์หญิงใหญ่รู้ความสามารถของไป๋ชิงเหยียนดี แม้หลายปีมานี้นางไม่ได้ออกไปไหน แต่ปีนั้น ชื่อเสียงของนางเป็นที่เลื่องลือในกองทัพไป๋มาก หากนางมีใจคิดกบฏแค่สั่งการ…แคว้นต้าจิ้นก็วุ่นวายแล้ว

องค์หญิงใหญ่ไม่กล้าจินตนาการถึงภาพนั้นด้วยซ้ำ หากหลานสาวที่นางรักที่สุดคิดกบฏ…

องค์หญิงใหญ่กัดฟันแน่นดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยสีเลือด หากไป๋ชิงเหยียนคิดจะกบฏจริงๆ นางที่เป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าจิ้นจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่ แม้ว่าต้องขังไป๋ชิงเหยียนไว้ตลอดชีวิต แม้กระทั่ง…นางจะไม่ยอมให้ตระกูลหลินโดนโค่นล้มแน่ๆ

ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง ข่มความโกรธแค้นในใจเอาไว้ให้ลึกที่สุด ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ท่านย่า คำสอนของตระกูลไป๋คือ ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ส่วนเกียรติยศและชีวิตของตัวเองต้องมาเป็นอันดับสุดท้าย หลานไม่กล้าทรยศคำสอนของตระกูลหรอกจ้าค่ะ! ไม่กล้าทำลายความซื่อสัตย์ภักดีของตระกูลไป๋ที่มีมาช้านานด้วย”

“น้องสามชอบในด้านนี้ ให้นางเปลี่ยนชื่อ ปลอมกายเป็นชายออกไปจากเมืองหลวง ภายภาคหน้าหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลไป๋ อย่างน้อยน้องสามก็ยังปลอดภัย! อีกอย่างหากน้องสามร่ำรวยจากการค้าขาย มีเงินมีทองมั่งคั่งจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลตระกูลไป๋ของเราได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”

เมื่อเห็นดวงตาลุกโชนขององค์หญิงใหญ่ยังคงจ้องมาที่นางนิ่งๆ ราวกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางจึงกล่าวเสริม “ช่วงนี้ข้าไตร่ตรองดูแล้ว หากท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและน้องชายทุกคนไม่กลับมา ข้าอยากให้ท่านย่าพาตระกูลไป๋ย้ายกลับไปบ้านเกิดของบรรพบุรุษเราที่ซั่วหยางเจ้าค่ะ เมืองหลวงเต็มไปด้วยอันตราย ท่านปู่ล่วงเกินพวกขุนนางไว้หลายคน ไม่มีคนตระกูลไป๋อยู่ในราชสำนัก หากโดนใส่ร้ายมากเข้า ชีวิตเราอาจต้องพังพินาศ กลับไปที่ซั่วหยางน่าจะปลอดภัยสำหรับตระกูลไป๋มากกว่า”

ได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พยักหน้าเล็กน้อยจับลูกประคำต่อ

ไป๋ชิงเหยียนกล่าวถูกแล้ว…คำคนช่างน่ากลัว หลายวันก่อนมีข่าวรายงานส่งมาที่วังหลวงขุนนางในราชสำนักต่อหน้าก็สรรเสริญว่าเจิ้นกั๋วกงไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบ แต่ลับหลังกลับกล่าวหาว่าเจิ้นกั๋วกงบารมีมากล้นแต่กลับยโสโอหัง ไม่ประมาณตนองค์หญิงใหญ่รับรู้เรื่องนี้ดี

องค์หญิงใหญ่กล่าวกับไป๋ชิงเหยียนอย่างจริงจัง “อาเป่า เจ้าจงจำไว้ให้ดีนะ เจ้าเป็นหลานสาวขององค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าจิ้น ในร่างของเจ้ามีเลือดของราชวงศ์ไหลเวียนอยู่เช่นกัน เจ้าห้ามคิดคดทรยศเด็ดขาด!”

นางหลุบตามองดูปลายนิ้วของตัวเองที่โดนองค์หญิงใหญ่บีบจนไร้สีเลือด รู้สึกอ่อนล้าและหนาวเหน็บในใจอย่างควบคุมไม่อยู่รับคำเสียงแหบพร่า “ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ”

เห็นท่าทีของไป๋ชิงเหยียน องค์หญิงใหญ่เริ่มใจอ่อนลูบไปที่ศีรษะของหลานสาวอย่างเอ็นดู “เมื่อวานจิตรกรหลวงส่งภาพที่วาดพวกน้องสาวของเจ้ามาที่เรือนข้า เหตุใดไม่เห็นมีเจ้าอยู่ในรูปกัน”

“หลานไม่ชอบเรื่องพวกนี้เจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวตอบเสียงต่ำ

หากไม่มีคนตระกูลไป๋หลงเหลืออยู่แล้ว จะเก็บภาพพวกนี้ไว้ทำไมกัน

อยู่คุยกับองค์หญิงใหญ่อีกสักพักหนึ่ง ไป๋ชิงเหยียนจึงลุกขึ้นกล่าวอำลาองค์หญิงใหญ่ เมื่อเดินออกมาที่ประตูเรือนฉางโซ่วก็ได้ยินเจี่ยงหมัวมัวสั่งให้เหลียนซินสาวใช้ใหญ่ขององค์หญิงใหญ่ไปเชิญคุณหนูสามมาพบ