“มาแล้ว!!” เมอร์ลินกล้าวด้วยเสียงเบา
เขาสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวในป่าได้จากการแผ่ขยายพลังจิตของเขาไปรอบ ๆ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นมาจากป่า
ในไม่ช้าก็มีอัศวินสองสามร้อยคนพุ่งออกมาจากป่า แม้ว่าพวกเขาจะมีชุดเกราะที่มีคุณภาพดีเยี่ยมแต่พวกเขาดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่พวกเขาเห็นกองกำลังที่นำโดยเลห์แมน พวกเขาก็ตื่นตัวทันที นั่นทำให้บรรยากาศตึงเครียดโดยฉับพลัน
“แย่แล้วครับองค์หญิง!! พวกเราถูกซุ่มโจมตี!!”
ผู้บัญชาการร่างกำยำสั่งกลุ่มอัศวินที่เหนื่อยให้เคลื่อนกำลังเปลี่ยนขบวนมาตั้งรับอย่างรวดเร็ว พวกเขาจ้องมองเบื้องหน้าดุจพยัคฆ์ร้าย
พวกเขาจ้องมองเบื้องหลังอย่างละเอียด พวกเขาก็สังเกตเห็นชุดเกราะที่เป็นเอกลักษณ์ของอัศวินเกราะเหล็ก นั่นทำให้พวกเขารู้ตัวทันที
“พวกเขาไม่ใช่พวกศาสนจักร!!!”
เจ้าหญิงเชอรีสได้เดินออกมาจากกองทหารอย่างช้า เธอสวมชุดเกราะ ผมยาวสีทองได้ถูกรวบไว้ที่ด้านหลังอย่างลวก ๆ เส้นผมของเธอตอนนี้ค่อนข้างแห้งกรังและกระเซิง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ทำทำความสะอาดมันเป็นเวลานาน
แม้ใบหน้าขององค์หญิงจะดูอ่อนเพลียแต่น้ำเสียงของเธอยังแข็งกร้าวและหนักแน่น
“พวกท่านเป็นใคร”
เจ้าหญิงเชอรีสกลวาดสายตามองไปยังเลห์แมน บารอนเพอร์แมน เมอร์ลินและคนอื่น ๆ ก่อนที่สายตาจะกลับไปที่เลห์แมน
ที่เธอวกสายตากลับมามองเลห์แมนไม่ใช่เพราะเธอสนใจในตัวเขาแต่เป็นเพราะเขาโดดเด่นเกินไป ด้วยร่างกายที่สูงเกือบสองเมตร รูปร่างกำยำ มีรอยคราบเลือดอยู่นชุดเกราะของเขา ด้วยภาพลักษณ์ดุจสัตว์ร้ายนี้ไม่ว่าใครก็ต้องแอบหวั่นกลัว
*ชิ้ง*
ทันใดนั้นผู้บัญชาการแมนซ์ซึ่งอยู่ถัดจากเจ้าหญิงเชอรีสได้ชักดาบออกมา จากนั้นแสงสีเหลืองได้ปรากฏรอบคมดาบของเขา
แมนซ์นั้นเป็นนักดาบปฐพีระดับสามที่ทรงพลัง เขาแข็งแกร่งกว่าบารอนบารอนวิงกูลอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าแมนซ์สัมผัสได้ถึงความอันตรายจากเลห์แมนจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะมีปฏิกิริยาแบบนี้
จู่ ๆ เลห์แมนได้ตัดสินใจก้าวเดินมาข้างหน้า นั่นทำให้พวกเขาตกใจอย่ามาก
“หยุดอยู่ตรงนั้น หากกล้าเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียวอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” แมนซ์กล่าวพร้อมกับจ้องมองด้วยแววตาที่คมกริบ
“ชุดเกราะนั่น ไม่ผิดแน่นอน พวกเขาเป็นกองอัศวินปักษาอัคคี”
โอลด์ได้หยุดฝีเท้าและสูดหายใจเข้าลึก ก่อนที่เขาจะคุกเข้าลงต่อหน้าเจ้าหญิงเชอรีสพร้อมกับเอามือขวาแนบหน้าอกของเขาเบา ๆ นี่คือการแสดงความเคารพที่สงวนไว้ใช้กับชนชั้นสูงสำหรับขุนนาง
“กระผมบารอนเลห์แมน วิลสันแห่งเมืองแบล็กวอเตอร์ กระผมขอแสดงความนับถือฝ่าบาทอย่างจริงใจ กระผมขอทูลถามฝ่าบาทได้หรือไม่ว่า ฝ่าบาทมีพระนามว่าอะไรขอรับ”
ด้วยการแสดงความเคารพของเลห์แมน ทำให้บรรยากาศโดยรอบได้ผ่อนคลายลงทันที
“บารอน?”
เจ้าหญิงเชอรีสจ้องมองชายร่างยักษ์ที่คุกเข้าอยู่ตรงหน้า เธอได้เห็นความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ และเที่ยงธรรมในแววตาองเขา นี่คือแววตาของอัศวินผู้ภักดีต่อราชวงศ์
แต่อย่างไรก็ตามก็มีอัศวินบางส่วนได้ทิ้งอาวุธและหนีทันทีที่ศาสนจักรทำการบุกโจมตี
“ได้โปรดลุกขึ้นก่อนเถอะ ท่านบารอน เราเป็นเจ้าหญิงลำดับหกของราชวงศ์แห่งแสง มีนามว่าเชอรีส ส่วนนี่เจ้าชายลำดับเจ็ดเบนิน”
เชอรีสรู้ประทับใจต่อเลห์แมนมาก มันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมา ว่าอย่างน้อยก็ยังมีหลายคนที่ยังจงภักดีต่อราชวงศ์
“องค์หญิง กระผมขอสอบถามบางอย่างได้มั้ยขอรับ ตอนที่กระผมได้รับการพระราชทานบรรดาศักดิ์ ตอนนั้นกระผมได้รู้จักกับเจ้าชายเฟรดเดอริดเป็นการส่วนพระองค์ กระผมเลยอยากทราบว่า ท่านที่เป็นผู้บัญชาการกองอัศวินปักษาอัคคี ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนขอรับ”
ดูเหมือนเลห์แมนจะได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าชายเฟรดเดอริคจึงทำให้เขารู้สึกเคารพเจ้าชายอย่างมาก
“ท่านลุงเฟรดเดอริค…” เชอรีสกล่าวพลางถอนหายใจออกมา “เราเกรงว่าท่านลุงเฟรดเดอริคอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เนื่องจากท่านต้องการจะช่วยพวกเราให้หนีไป…”
เมื่อเลห์แมนได้ยินข่าวร้ายเกี่ยกับเจ้าชายเฟรดเดอริด มันก็ทำให้เขามีท่าทีหดหู่เล็กน้อย เนื่องจากตำแหน่งที่สูงของเขา ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะถูกพวกศาสนจักรเพ่งเล็ง โอกาสที่เขาจะรอดได้นั้นมีน้อยมาก
“ฝ่าบาท มีสมาชิกราชวงศ์กี่พระองค์ที่รอดมาได้ขอรับ”
จู่ ๆ เมอร์ลินก็ก้าวเดินเข้ามาข้างหน้าและเปิดปากถามเจ้าหญิง ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ดวงตาของเจ้าหญิงเชอรีส
“สมาชิกราชวงศ์…เบนินกับเราโชคดีมากที่พอจะหนีมาได้ถึงที่นี่ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นอาจมีบางคนที่สามารถหลบหนีได้เช่นกัน…” เชอรีสกล่าวอย่างไม่มั่นใจ
เธอได้นึกย้อนไปตอนนี้กำลังหนีจากเมืองที่เกิดการจลาจล เธอได้เห็นแสงสีขาวปกคลุมท้องฟ้า มันมีทำลายล้างเป็นวงกว้าง ด้วยพลังนี้จึงยากที่จะสามารถหลบได้
บางทีราชวงศ์แห่งแสงอาจหลงเพียงแค่เธอกับเบนินเท่านั้น
“ฝ่าบาท!!”
เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงได้เปิดเผยความลับให้คนที่ไม่รู้จักฟัง เขาได้ปรามและส่ายหัวทันที ตัวเธอนั้นยังเด็กเกิน มีหลายสิ่งที่เธอยังไม่สามารถจัดการได้
‘องค์หญิงท่านพูดเรื่องนั้นออกมาได้อย่างไร หากมีใครรู้ว่าตอนนี้สมาชิกของราชวงศ์เหลือเพียงไม่กี่พระองค์และเรื่องนี้หากกระจายออกไป มันจะสงผลร้ายมากกว่าผลดี’
หลังจากที่ได้รับคำเตือนจากแมนซ์ ทำให้เชอรีสรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอมองกลับไปที่เมอร์ลินด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
อย่างไรก็ตามเมอร์ลินหาได้สนใจความโกรธของเธอไม่ เขาได้เอามือจับคางและพึมพำขึ้นมา
“ดูเหมือนตอนนี้ราชวงศ์แห่งแสงจะสิ้นหวังไปแล้ว ตอนนี้ก็เพียงสมาชิกราชวงศ์เพียงไม่กี่พระองค์ พวกเขาจึงไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามของศาสนจักรได้เลย”
ตัวเมอร์ลินนั้นไม่ได้มีความเคารพต่อสถาบันเลย ในสายตาของเขา สิ่งที่เรียกว่าเจ้าหญิง เจ้าชายนั้นเป็นเพียงคนนำหน้าของบุคคลทั่วไป พวกเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีสิทธิพิเศษติดตัวมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก
อย่างไรก็ตามสถานะของพวกเขาในตอนนี้อันตรายมา มันจะนำภัยมาสู่คนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
เลห์แมนขมวดิ้ว เขาพูดด้วยเสียงเข้าว่า “เมอร์ลิน ตอนนี้ลูกกำลังทำตัวหยาบคายกับองค์หญิงอยู่นะ!”
หลังจากที่ตำหนิเมอร์ลินเสร็จ เลห์แมนก็ลุกยืนขึ้นและโค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า “ฝ่าบาท อัศวินของกระผมพร้อมที่จะรับใช้พระองค์!!”
“ท่านพ่อ!!”
“วิลสัน! ท่านเสียสติไปแล้วเหรอ!”
เมอร์ลินกับบารอนเพอร์แมนได้ตะโกนพร้อมกัน สีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยจะสู้ดี
บารอนเพอร์แมนได้เดินไปข้างหน้า เขาได้พูดด้วยเสียงเบาว่า
“วิลสัน ท่านบ้าไปแล้วเหรอ ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งบอกว่าพวกเขาเป็น ‘เจ้าชาย’ กับ ‘เจ้าหญิง’ จริง ๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเนื่องจากทางศาสนจักรกำลังกวาดล้างพวกเขาอยู่ ถ้าหากพวกเขาไปกับพวกเราข้าเกรงว่าพวกเราจะไม่ปลอดภัย”
เมอร์ลินก็ได้พูดสนับสนุนไปว่า “ท่านพ่อที่บารอนเพอร์แมนพูดมาก็มีส่วนถูก เราสามารถจัดการเสบียงและน้ำดื่มให้พวกเขาได้แต่พวกเขาไม่สามารถเดินทางไปกับพวกเราได้ ท่านพ่ออย่าลืมนะว่าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานดังนั้นท่านพ่อต้องไม่ทำอะไรผลีผลาม”
แต่ไม่ว่าเมอร์ลินกับบารอนเพอร์แมนจะโน้มน้าวยังไงแต่เลห์แมนก็ไม่มีท่าทีที่จะเปลี่ยนใจเลย
เมอร์ลินได้แต่จนใจ ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเลห์แมนจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ