เจ้าหญิงเชอรีสอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจที่ได้เห็นเลห์แมนถวายความจงรักภักดีต่อเธอ เนื่องจากตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เธอได้พบเห็นเหล่าขุนนางทรยศต่อราชวงศ์จำนวนมาก พวกเขาหลายคนเลือกที่จะอยู่ใต้การปกครองของศาสนจักร
ในตอนแรกเธอยังเคลือบแคลงสงสัยในตัวของเลห์แมนอยู่บ้างแต่หลังจากที่เธอเห็นท่าทีที่ปฏิบัติกับเธออย่างสมพระเกียรติมากที่สุดจากที่เธอได้เห็นมา ทำให้เธอตัดสินใจที่ลองเชื่อเขาดู
เธอมองไปที่ด้านหลังของเขา เธอเห็นอัศวินจำนวนหนึ่ง แม้จะมีจำนวนน้อยแต่เธอก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่ไม่แพ้กับอัศวินของพระราชวังเลย
หากตัวผู้นำของอัศวินเหล่านั้นให้ความเคารพต่อเธอ พวกอัศวินก็คงจะแสดงความเคารพไม่ต่างกัน
ด้วยความแข็แกร่งของพวกเขา เธอจะต้องเดินทางข้ามชายแดนได้อย่างแน่นอน
ในระหว่างที่เชอรีสจะตอบตกลง จู่ ๆ ผู้บัญชาการแมนซ์ได้ก้าวเดินมาข้าง ๆ เธอและพูดด้วยเสียงเบาว่า
“ฝ่าบาท เราควรมุ่งเน้นการหลบหนีออกจากอาณาจักเป็นลำดับแรก กระผมเกรงว่าหากองค์ร่วมเดินทางกับบารอนวิลสันจะทำให้การเดินทางของพวกเราช้าลง แม้เขาจะมีอัศวินที่แข็งแกร่งเทียบเท่าอัศวินปักษาอัคคีของเราแต่พวกเขามีทั้งเด็ก ผู้หญิงและสัมภาระมากมาย มันจะทำให้เราเดินทางช้าขึ้นและยิ่งพวกเราช้ามากเท่าไหร่ ทางศาสนจักรก็ยิ่งตามพวกเราได้ไวเท่านั้น กระผมจึงขอให้องค์หญิงพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ด้วยขอรับ”
ด้วยคำพูดของแมนซ์ ทำให้เชอรีสพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ทันที
แม้บารอนวิลสันจะเป็นนักดาบธาตุที่แข็งแกร่งและมีกองกำลังที่ดีเยี่ยม
อย่างไรก็ตามเขายังมีอัศวินธรรมดากับผู้หญิงที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ รวมไปถึงสัมภาระจำนวนมาก มันจะทำให้การเดินทางช้าแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ทำให้เชอรีสรู้สึกลังเลขึ้นมา แม้ว่าเธอจะเข้มแข็งขึ้นจากการเดินทางที่ผ่านมาแต่ยังไงเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวอยู่ดี คำพูดของแมนซ์นั้นส่งผลกระทบกับเธอมาก
เมื่อแมนซ์เห็นว่าเจ้าหญิงไม่สามารถตัดสินใจได้ เขาจึงพูดด้วยเสียงต่ำว่า
“ฝ่าบาท กองอัศวินปักษาอัคคีของเรานั้นมีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา กระผมเชื่อว่าฝ่าบาททรงเห็นด้วยพระเนตรของฝ่าบาทเอง พวกเราสามารถปกป้ององค์หญิงกับองค์ชายได้แน่นอน เราจะต้องไปถึงอาณาจักรแบล็กมูนโดยสวัสดิ์ภาพ ดังนั้นเราควรเลี่ยงปัญหาที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้เรื่องบานปลายขอรับ”
เจ้าหญิงเชอรีสรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของแมนซ์ผ่านน้ำเสียงของเขา ตัวเธอกับน้องชายได้อาศัยเขาคุ้มครองความปลอดภัยตลอดการเดินทางดังนั้นเธอควรจะฟังในสิ่งที่เขาพูด
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้
“บารอนวิลสัน ท่านช่างเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญมากที่สุดเท่าที่เราเคยพบเจอ แต่ทว่าเราจำเป็นต้องนำพวกท่านไปก่อน หากพวกเราเดินทางร่วมกันเราเกรงว่าจะมีอันตรายตามพวกเรามาทัน ดังนั้นเราจะล่วงหน้าท่านไปก่อน”
หลังจากที่เชอรีสกล่าวจบ เธอก็ถอนหายใจเบาๆ และเดินทางออกไปพร้อมกับกองอัศวินปักษาอัคคี
“ฟู่~”
เมื่อเห็นว่าเจ้าเชอรีสจากไปพร้อมกับคนของเธอแล้ว เมอร์ลินก็ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับความจงรักภักดีของเลห์แมนทำให้เขาไม่ต้องเสียแรงให้การโน้มน้าวพ่อของเขา
“วิลสันลุกขึ้น พวกเขาไปกันหมดแล้ว”
บารอนเพอร์แมนกล่าวกับเลห์แมน เขาเห็นว่าเลห์แมนยังคงคุกเข่าข้างเดียวอยู่ เขาไม่ยอมขยับเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
หลังจากนั้นเลห์แมนก็ลุกขึ้นมา เขาหันไปมองทิศทางที่กองอัศวินปักษาอัคคีเดินทางไปด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
เวลาได้ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดออกมา
“ในตอนนั้นเจ้าชายเฟรดเดอริคได้ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของข้าในระหว่างการฝึก หากองค์ชายไม่ได้แนะนำข้าในวันนั้น ข้าก็คงตายอยู่ใน ‘โรงเชือด’ ไปแล้ว”
เมอร์ลินกับบารอนเพอร์แมนได้มองหน้ากัน พวกเขาได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก นี่คงเป็นสาเหตุที่เขาจงรักภักดีต่อราชวงศ์ขนาดนี้
เจ้าชายเฟรดเดอริคทรงให้ความช่วยเหลือมากมายในอดีต สำหรับเจ้าชายแล้วนี่ความเป็นเรื่องเล็กน้อยของเขา บางทีเขาคงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าให้คำแนะนำกับอัศวินคนไหนไปบ้าง แต่เรื่องนี้มันทำให้อัศวินผู้ไร้นามและเงียบขรึมสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์ เขาพร้อมที่จะสละได้แม้กระทั่งชีวิต
“ออกเดินทางกันต่อเถอะ หากเขาตามหลังพวกเขาไป พวกเขาจะต้องปลอดภัยแน่นอน”
เมอร์ลินพยักหน้า เลห์แมนพูดถูก อย่างน้อย ๆ หากมีอะไรตามหลังพวกเขา พวกเราจะขวางพวกมันไว้
ในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากที่พวกเขาจะต้องรับมือกับพวกศาสนจักรแล้ว พวกเขายังต้องรับมือกับพวกโจรที่ดักสุ่มอยู่ที่หนทุกแห่งด้วย

“แกแน่ใจใช่มั้ยว่านั่นคือกองอัศวินปักษาอัคคีที่เป็นหนึ่งในสี่กองทัพที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งแสง?”
ชายที่มีรอยสักแปลกบนใบหน้าถามด้วยเสียงต่ำ
“แน่นอนบอส พวกเราดูหลายรอบแล้ว นั่นเป็นชุดเกราะของอัศวินปักษาอัคคีแน่นอน” ชายหนึ่งในสามคนที่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบตอบออกมาอย่างกลัว ๆ
“ดีมาก” ชายรอยสักกล่าวพลางพยักหน้าอย่างพอใจ
เขาเป็นบอสใหญ่ของคนกลุ่มนี้ เขาได้ลุกขึ้นยืนและถูเกราะสีดำบนร่างกายของเขาเบา ๆ พร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“กองอัศวินปักษาอัคคีขึ้นตรงต่อราชวงศ์ ตอนนี้ทั้งอาณาจักรกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายดังนั้นพวกเขาต้องทำหน้าที่คุ้มครองสมาชิกของราชวงศแน่นอน พวกเขาจะต้องขนทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลมาด้วย หากพวกเราปล้นพวกมันได้ เราก็จะมีเงินซื้ออาวุธและชุดเกราะอันใหม่ให้กับพวกเรากองโจรพายุและในช่วงเวลาที่อาณาจักรกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายนี้ ช่างเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการปล้นสะดมตามเมืองต่าง ๆ เราจะไม่ต้องทนอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ฮ่า ๆ” บอสกล่าวออกมาด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
นอกจากเขาจะเป็นหัวหน้ากองโจรพายุแล้ว เขายังเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอย่างมาก เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะยึดเมืองต่าง ๆ สักสองสามเมือง
และตอนนี้โอกาสได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยมันไปแน่นอน
“แต่บอส ดูเหมือนจะมีขบวนรถขนาดใหญ่ตามหลังกองอัศวินปักษาอัคคี น่าจะมีราว ๆ พันคนได้” โจรอีกคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรายงายออกมา
บอสมองมาทางเขาอย่างเฉยเมย เขายิ้มเยาะและกล่าวว่า “พวกมันก็แค่ขุนนางกระจอก ๆ เท่านั้น พวกมันเป็นพวกที่อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนพวกอัศวินคงไม่รู้จักการต่อสู้ที่นองเลือดหรอก แค่พวกเราโผล่ออกไป พวกมันก็แตกตื่นและวิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้ว
เอาอย่างนี้ เจ้าหัวหน้ากลุ่มสามและหัวหน้ากลุ่มสี่ พวกแกพาพี่น้องของพวกเราไปจัดการขบวนนี้ จำไว้นะว่าฆ่าผู้ชายให้หมดและนำผู้หญิงทั้งหมดกลับมา!”
รอยสักที่แปลกประหาดบนใบหน้าของบอสได้เปล่งกายสีเลือดจาง ๆ ขึ้นมา มันมำให้เขาดูดุร้ายมากขึ้นเป็นพิเศษ