ตอนที่ 11 วิถีของหนิงอี้ (2)
“โจวโหยวเจ้าปิดด่านบำเพ็ญไม่ออกจากตำหนักนภาม่วง แต่ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ทุกอย่าง” สวีจั้งนั่งบนหลังนก ใบหน้ายังคงขาวซีดเล็กน้อย เขาลูบขนนกกระจอกสีแดงอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับมีกลิ่นอายบางอย่าง “ความจริงเจ้าอยู่ตำหนักนภาม่วง เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นใต้เมืองไร้มลทิน รอข้าขอให้เจ้าออกมือ”
โจวโหยวไม่ตอบ แค่มองสวีจั้งนิ่งๆ
บุรุษที่นั่งบนหลังนก เอามือข้างหนึ่งคลำไปข้างหลัง จนคลำเจอ ‘พินิจเหมันต์’ เล่มนั้น ถึงได้จิตสงบลงเล็กน้อย มองนักพรตเต๋าผมยาวสีขาวหิมะพลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ารู้ว่าใต้เมืองไร้มลทินมีสุสาน”
โจวโหยวเอ่ย “ข้าย่อมรู้”
“นั่นคือสุสานของ…คนใหญ่โตที่อยู่สุดยอด” สวีจั้งมองตาโจวโหยว ก่อนวางพินิจเหมันต์ตรงหน้าตักตนเอง เอ่ยมาทีละคำ “สุสานนั่น…สำนักเต๋า อารามยอดเสียงอัสนีต่างเคยลองเข้าไป แต่ก็เข้าไปไม่สำเร็จ”
โจวโหยวไม่ปฏิเสธประวัติศาสตร์เรื่องนี้ น้ำเสียงเขาไร้คลื่นตื่นตกใจ “ทุกคนรู้ว่าใต้ดินเมืองไร้มลทินเป็นสุสานของผู้ยิ่งใหญ่ เทือกเขาประจิมมีสุสานใต้ดินเยอะ สำนักเต๋ากับอารามยอดเสียงอัสนีอยากจะขุดลงไป ไม่ใช่แค่ใต้ดินเมืองไร้มลทิน พวกเราอยากไปดูสุสานจักรพรรดิแห่งต้าสุย น่าเสียดายมาก…พวกเราเข้าไปที่นั่นไม่ได้เหมือนกัน”
สวีจั้งยิ้ม “สุสานจักรพรรดิแห่งต้าสุย…พวกเจ้าช่างกล้าเสียจริง”
เขาพลันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มีปีศาจตนหนึ่งออกมาจากใต้ดินเมืองไร้มลทิน”
โจวโหยวใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “แล้วอย่างไร”
“อย่ามาแสร้งโง่กับข้านักเลย…” สวีจั้งยิ้ม “นี่คือปีศาจหิมะขอบเขตแปด เจ้าเห็นชัดเจนในตำหนักนภาม่วง หรือไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรกัน ในเขตต้าสุยมีปีศาจจริงๆ แต่ปีศาจหิมะที่ฝึกจนปรากฏไข่มุกตะวันคร้านได้มีกี่ตนกัน ปีศาจส่วนใหญ่รวมไข่มุกตะวัน ส่วนปีศาจหิมะ…นั่นคือปีศาจที่อาจจะยังอยู่ได้หลังข้ามผ่านทะเลพลิกผันแดนเหนือมา”
โจวโหยวมองสวีจั้ง “ดังนั้น เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่”
สวีจั้งเอามือลูบพินิจเหมันต์ “สุสานนั่น หากปิดไว้แน่นหนา จะไปมีปีศาจเป็นๆ ออกมาได้อย่างไร”
โจวโหยวเลิกคิ้วขึ้น พูดตามความคิด “เจ้าสงสัยว่าสุสานใต้ดินเมืองไร้มลทินนั่น…เป็นสุสานของคนใหญ่โตเผ่าปีศาจรึ”
สวีจั้งส่ายหน้า “ไม่ๆๆ…เจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้า ประเด็นสำคัญของข้าไม่ได้อยู่ที่ปีศาจ แต่อยู่ที่ ‘ปีศาจเป็นๆ’”
“ในสุสานคนใหญ่คนโตพวกนั้น ฝังสมบัติอะไรไว้มากมาย อาวุธที่รัก ม้วนภาพและของชอบตอนยังมีชีวิต กระทั่งคู่ชีวิตที่รัก พวกนี้อาจจะฝังไปในนั้นด้วย แน่นอนว่าคงขาดสัตว์เฝ้าสุสานไปไม่ได้…
สุสานนั่นใต้เมืองไร้มลทินทำให้พวกเจ้าสำนักเต๋าต้องล้มเลิกความคิด หากมีสัตว์เฝ้าสุสานอยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ต้องเป็นปีศาจที่ทะลวงขอบเขตสิบหรือจุดดาราชะตา ส่วนปีศาจหิมะขอบเขตที่แปดนั่น จะว่าแกร่งก็ไม่ จะว่าอ่อนแอก็ไม่อีก…แต่มันออกมาจากสุสาน หมายความว่าอย่างน้อยมันก็อยู่ในสุสานนั่น ทั้งยังฝึกบำเพ็ญมานานมาก”
สวีจั้งชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ปีศาจหิมะมีความเย็นเยือกยิ่งมาแต่กำเนิด ต่อให้เดินบนเส้นทางบำเพ็ญ แสงดาราที่รวมได้ก็เอียงไปทางหยิน แต่ดันรวมไข่มุกตะวันออกมา…หมายความว่าในสุสานนี่ มีพลังหยางรุนแรงมาก ทำให้ปีศาจหิมะฝึกจนปรากฏไข่มุกตะวันได้”
โจวโหยวมองสวีจั้งพลางพูดนิ่งๆ “จะบอกเจ้าให้แล้วกัน หลังศิษย์สำนักเต๋าตาย ข้าเคลื่อนจิตวิญญาณมาเอง ถือว่ามาด้วยตัวเอง ไปใต้ดินเมืองไร้มลทินมาแล้วรอบหนึ่ง ผนึกของสุสานนั่นก็ยังอยู่ ไม่มีพลังหยางกระจายออกมา และไม่มีปราณปีศาจเอ่อล้น เจ้าปีศาจนี่ น่าจะเข้าใจผิดบุกเข้าไปในสุสาน ไม่ระวังถูกปล่อยออกมา”
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น พูดคำว่า ‘อ้อ’ ด้วยน้ำเสียงแปลกใจ จากนั้นส่ายหน้า “ถือว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน…ถึงอย่างไรในสุสานมีอะไร ข้าก็ไม่ห่วง”
เขายืดตัวออกตามจิตใต้สำนึก จากนั้นมองแม่น้ำภูเขาหมื่นลี้ที่ข้ามผ่านไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ สายลมดังพึ่บพั่บกลางยามราตรีทำให้สวีจั้งนึกได้ว่าที่นี่คือฟ้าสูงที่ไม่รู้ห่างจากพื้นดินเท่าไร ใบหน้าพลันขาวซีดไปสามส่วน
“ข้าอยู่ตำหนักนภาม่วง ก็เพราะข้าอยากเห็นบทสรุปสุดท้ายของการปิดล้อมสังหารครั้งนี้” โจวโหยวพูดเสียงเบา “ข้าเฝ้ารอถึงสิ่งที่เจ้าบอกกับข้าเมื่อสิบปีก่อนมาก ไม่ใช้พินิจเหมันต์ก็ทำลายม่านนั้นที่ขวางหน้าเจ้าได้ ดังนั้นข้าเลยรอเจ้ามาตลอด ให้เจ้าเอากระบี่เหล็กเก่านั่นฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก”
“เพียงแต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่า…เจ้าไม่ใช่แค่ทำลายธรณีประตูนั้นไม่ได้ แต่กลับตกต่ำลงมาก” เสียงของโจวโหยวไร้คลื่นอารมณ์ “ศิษย์สำนักเต๋าข้าไปจับปีศาจหิมะ บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักนภาม่วงปิดด่านบำเพ็ญไม่ออกมา ทำให้การลงมือล้มเหลว
หากเจ้าได้ไข่มุกตะวันคร้านของปีศาจหิมะนั่นไป กินไปแล้วก็น่าจะฟื้นพลังบำเพ็ญให้เจ้าได้เล็กน้อย อย่างน้อยก็ทำให้เจ้ารอดไปได้สักระยะ”
สวีจั้งหลับตาลง
เขาพูดนิ่งๆ “ไข่มุกตะวันคร้านที่ตำหนักฟ้าสำนักเต๋าพวกนั้นต้องการ…อยู่กับหนิงอี้”
โจวโหยวได้ยินนามของหนิงอี้ก็สนใจขึ้นมา
เด็กหนุ่มสาวข้างหลัง คนหนึ่งมองทิวทัศน์แผ่นดินข้างล่าง อีกคนตระหนักความลี้ลับของแสงดาราอย่างสงบ ข้างหูทั้งสองคนนอกจากเสียงลมแล้ว ไม่มีอย่างอื่นอีก โจวโหยววางค่ายกลกั้นเสียงขนาดเล็กไว้ในอากาศนอกรอบกายทั้งคู่
“หนิงอี้ได้ไข่มุกตะวันคร้านนั้นไปแล้ว น่าจะมีระดับราวๆ ห้าร้อยปี” สวีจั้งพูดอย่างจริงจัง “จากนั้นเขากลืนลงไป”
โจวโหยวเหลือเชื่อนิดๆ “กลืนรึ”
เจ้าตำหนักนภาม่วงหนุ่มผมยาวสีขาวหิมะมองเด็กหนุ่มข้างหลังด้วยความเหลือเชื่อนิดๆ อาภรณ์ธรรมดาสะบัดตามสายลม สีหน้าหนิงอี้สบายและเคร่งขรึม สูดกระแสลมรวดเร็วบนฟ้าสูงไม่หยุด หน้าอกพองขึ้นและยุบลง เสียงหัวใจเต้นดังมาก
เพียงแต่ทั่วทั้งตัว ไม่ว่าจะรายละเอียดใดก็เป็นเพียงคนปกติ
คนธรรมดา
คนที่ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ
“ไข่มุกของเผ่าปีศาจแบ่งเป็นหยินและหยาง นอกจากผู้บำเพ็ญภูตผีพวกนั้นจากดินแดนทักษิณแล้ว เผ่าอื่นแทบจะไม่ดูดซับพลังหยิน แต่เผ่าปีศาจยังแทบจะตรงกันข้าม ส่วนใหญ่จะรวมไข่มุกหยิน” สวีจั้งอธิบายสบายๆ
“กลุ่มดาวที่เผ่ามนุษย์ฝึกฝน ในมุมมองเผ่าปีศาจ หากเจอหยินหยางประสานกันจะเป็นของบำรุงชั้นดี ไข่มุกตะวันคร้านนี่ คนปกติกินเข้าไปจะตัวระเบิดตาย ผู้บำเพ็ญที่มีวิชาเขาศักดิ์สิทธิ์โชคดีไม่ตายได้ แต่ก็ถูกขยายตัวจนพิการ ประโยชน์ที่แท้จริงคือเอามาขยายทะเลสาบตอนทะลวงพลัง ควบแน่นทะเลสาบแสงดาราตรงหน้าอกให้มากกว่าเดิมหน่อย ก็จะมีความหวังในการทะลวงพลังมากขึ้น”
“ของบำรุงชั้นดีเช่นนี้…เขากลับกลืนลงไป ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย ในเมื่อเขาไม่ถูกระเบิดตายและยังไม่พิการอีก” สวีจั้งยิ้ม “หนิงอี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน เขาเป็น…คนแปลกที่ไม่สมบูรณ์มาแต่เกิด ตอนยังไม่ฝึกบำเพ็ญก็กินไข่มุกตะวันคร้านห้าร้อยปีไปแล้ว การจะก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ ไม่รู้ว่าต้องกินสมบัติล้ำค่าไปอีกเท่าไร”
โจวโหยวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“เจ้าจะบอกว่าพรสวรรค์เขาไม่ธรรมดารึ”
“แน่นอนว่าใช่ เขาได้รับการยอมรับจากขลุ่ยกระดูก หากก้าวบนเส้นทางบำเพ็ญได้อย่างราบรื่น ภายภาคหน้าจะโดดเด่นเหนือใคร”
สวีจั้งพูดด้วยน้ำเสียงสบายอกสบายใจนิดๆ พูดด้วยความสุขที่คนอื่นเป็นทุกข์ “โจวโหยว เจ้าลองคิดดูดีๆ หากเขาเข้าตำหนักนภาม่วงจริงๆ นั่นจะเป็นถ้ำไร้ก้น การจะให้เขาทะลวงขอบเขตที่สาม เจ้าเอาไข่มุกตะวันคร้านพันปีออกมาได้หรือไม่ นั่นคือสมบัติที่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนอื่นต้องการในสามขอบเขตสุดท้าย”
โจวโหยวสูดลมหายใจเข้าลึก “หากเขายินดีเข้าสำนักข้า ข้าจะไปทะเลพลิกผันแดนเหนือด้วยตัวเอง ไปล่าปีศาจพันปีให้เขา”
“ได้ โจวโหยวเจ้าทำได้แน่นอน” สวีจั้งยิ้มมีความสุขกว่าเดิม “อย่าว่าแต่ไข่มุกตะวันคร้านพันปีเลย ต่อให้เป็นราชันปีศาจสามพันปีของเผ่าปีศาจ ตอนนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้า แต่หลังจากนั้นล่ะ สำนักเต๋าพวกเจ้าต้องปกป้องเขา สามขอบเขตแรก สามขอบเขตกลาง และสามขอบเขตสุดท้าย ยังไม่ถึงขอบเขตที่สิบ ครึ่งสำนักเจ้าก็ถูกกินไปจนหมดแล้ว ตอนทะลวงขอบเขตที่สิบดาราชะตาจะทำอย่างไร ให้เขากินหอสามวิสุทธิ์ไปจนหมดรึ”
โจวโหยวเงียบ
เขาหันไปมองหนิงอี้ เป็นอารมณ์ซับซ้อนที่บอกไม่ถูก
สวีจั้งพูดปลงๆ “โจวโหยวเอ๋ย เจ้ายังหนุ่มเกินไป คิดหน่อยสิ หากหนิงอี้เข้าสำนักเต๋า…นั่นจะเป็นหายนะหรือไม่”
โจวโหยวมีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขาคลึงระหว่างคิ้ว รู้สึกว่าในใจมีห้ารสชาติคละปนกัน สุดท้ายจ้องสวีจั้ง “ข้าไม่เชื่อว่าจะมีถ้ำไร้ก้นเช่นนี้”
สวีจั้งแบะปาก “ก่อนหน้าที่จะเจอเจ้า ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนรวมแสงดาราได้ตั้งแต่กำเนิดเหมือนกัน”
บุรุษที่ถือพินิจเหมันต์เงยหน้าขึ้น มองเด็กหนุ่มที่หลับตาลง กางสองแขน อยากจะโอบกอดผืนดารา
ตรงศีรษะเผยฝานเป็นแสงดาราละเอียดมากมายหมุนเวียน
ศีรษะหนิงอี้กลับว่างเปล่า
เศษดาราทั้งหมด บ้างไร้รูปบ้างมีรูป ระหว่างที่ไหลรวมไปทางเผยฝาน ยังหลบหนิงอี้ไปตามสัญชาตญาณ
ไข่มุกตะวันคร้านแตกในทรวงอกเด็กหนุ่มกลายเป็นพลังเลือดลมกระจาย ไม่ได้กลายเป็นพายุรวมแสงดารา แต่ผนึกอยู่กลางเลือด ไหลเวียนอย่างโดดเดี่ยว
ไข่มุกตะวันคร้านห้าร้อยปี เป็นแค่ของบำรุงเท่านั้น
“ดูนั่น…นี่เป็นคนที่น่ากลัวเพียงใด ตอนแสงดาราไหลไปทางเขา บ้างตั้งใจ บ้างไม่ตั้งใจต่างเลี่ยงผ่านเขาไป”
เสียงของสวีจั้งมีความเศร้านิดๆ พูดเสียงเบา “เขาเป็นคนที่เกิดมาก็ถูกมหามรรคกีดกัน ดูไม่เหมือนอัจฉริยะอย่างเจ้ากับข้าเลย”
ประโยคครึ่งแรกฟังแล้วน่าทอดถอนใจจริงๆ
เกิดมาก็ถูกมหามรรคกีดกัน
ประโยคหลัง โจวโหยวได้ฟังแล้วถึงกับมองค้อน
“เขาต้องการอิสระ…เขาย่อมมีอิสระ ไม่ว่าอยู่สำนักใดในระยะยาว สำนักนั้นจะเป็นบ้ากันหมด” สวีจั้งอดยิ้มไม่ได้ “ข้ายิ่งมองเขาก็ยิ่งชอบ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งอยากชี้แนะ พอนึกถึงตรงนี้ก็อดสงสารไม่ได้”
โจวโหยวอยากจะถาม อดกลั้นอยู่สักพัก ก็อดใจไม่ไหว “เจ้าสงสารอะไร”
“หากข้าไปชี้แนะสอนกระบี่เขา เช่นนั้นชีวิตนี้ต่อให้เขามีพรสวรรค์เก่งกาจกว่านี้ก็ไม่มีทางเหนือกว่าข้าได้”
โจวโหยวกลั้นใจไม่ถีบสวีจั้งลงไป ในช่วงท้ายของการเดินทางนี้ โจวโหยวไม่พูดกับสวีจั้งอีกเลย
…………………..