ตอนที่ 12 ข้านั่งบนธารดารา
ระยะเวลาที่ทะยานบนฟ้าไม่นานนัก
หลังโจวโหยวจบบทสนทนากับสวีจั้ง เจ้าตำหนักนภาม่วงหนุ่มก็เงียบลง แววตาสุขุมและซับซ้อนครุ่นคิดอะไรหลาย
โจวโหยวมีใบหน้างดงามมาก เป็นความงามแบบชายหญิง แต่ไม่ได้ดูอ่อนหวานชัดเจน เพราะเขามีคิ้วกระบี่ ปกติจะเป็นคนสบาย ต่อให้ไม่ใช้กระบี่ก็มีกลิ่นอายเหนือสามัญของเซียนกระบี่เจ็ดส่วน
โจวโหยวกับสวีจั้งยืนด้วยกัน คนหนึ่งมีปราณเซียนทั้งตัว อีกคนเต็มไปด้วยกลิ่นอายทางโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…อย่างแรกคู่ควรกับคำว่า ‘เซียนกระบี่’ มากกว่า
สวีจั้งมองโจวโหยวที่คิ้วขมวดเป็นปม รู้สึกสนุกขึ้นมา ในหลายปีที่ผ่านมา เขาแทบจะไม่เคยเห็นตัวอ่อนเต๋าอัจฉริยะคนนี้มีสีหน้าเช่นนี้มาก่อนเลย
ขณะที่โจวโหยวศึกษาศาสตร์เต๋าและฝึกบำเพ็ญ ไม่เคยมีสีหน้ากลัดกลุ้มเลย
สวีจั้งเปลี่ยนท่าทางอย่างเกียจคร้าน เขาแปลกใจมาก หลังรู้ว่าหนิงอี้เป็นถ้ำไร้ก้น หรือว่าสำนักเต๋าที่อยู่เบื้องหลังโจวโหยวจะยินดีบ่มเพาะหนิงอี้กัน
คำพูดระหว่างสองคนสิ้นสุดลง
ค่ายกลกั้นเสียงข้างหนิงอี้สลายตามไป
เด็กหนุ่มที่เอาสองมือกดหลังนก เส้นผมดำทั้งศีรษะถูกลมพัดไปข้างหลังไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เขาหน้าแดงเรื่อนิดๆ หัวใจเต้นในทรวงอกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสายลมรุนแรงบนฟ้าสูง
หนิงอี้พลันได้ยินเสียงเรียก ‘นี่’
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสนเล็กน้อย กลุ่มแสงสีฟ้าครามพุ่งเข้ามา ‘ปึก’ ชนที่หน้าผากตน สะเทือนจนหนิงอี้โซเซไปมา แต่ไม่รู้สึกเจ็บเลย
หนิงอี้ยื่นมือไปคลำ อุณหภูมิตรงหน้าผากมีไอน้ำชื้นๆ กลุ่มแสงสีฟ้าครามละลาย พันรอบตัวเขาบนหลังนกอย่างรวดเร็ว ไม่สลายไป ในไอน้ำเป็นอักขระเหมือนลูกเขียดรวมขึ้นช้าๆ ลอยเด่นชัด วนเวียนเป็นปราการ ขยับขึ้นลงในความคิด
สายตาหนิงอี้พร่าเลือนเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น เห็นสวีจั้งในชุดคลุมดำหมุนตัวมา นั่งบนหลังนกใหญ่ยิ้มให้ตน สิ่งที่เห็นชัดเพียงอย่างเดียวคือนักพรตเต๋ารูปงามที่หันหลังให้ตนครึ่งตัว
โจวโหยวพูดเสียงเบา “นี่คือวิชาม่วงเร้นแห่งตำหนักนภาม่วงข้า วิชาบำเพ็ญของสิบขอบเขตแรก ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ต่างกันไม่มาก แต่มีเพียงวิชาม่วงเร้นที่เข้าสู่มรรคได้ง่ายที่สุด ศิษย์ฝ่ายในสำนักเต๋า คนที่ฝึกวิชาม่วงเร้นส่วนใหญ่จะก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญได้”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้าให้เจ้าเพียงสามขอบเขตแรก”
หนิงอี้อึ้งไปเล็กน้อย เขายื่นมือไปคลำ อักขระเล็กที่เป็นไอน้ำพวกนั้นก็สลายหายไป ก่อนจะรวมขึ้นมาใหม่ เสียงของโจวโหยวดังแว่วมาอีกครั้ง “นี่คือโอสถม่วงเร้น”
หนิงอี้ได้ยินเสียงดังซ่า เจ้าตำหนักนภาม่วงที่ยืนบนหลังนกปลดถุงตรงเอว ทันใดนั้นแสงดาราตกลงมา แสงจันทร์วนเวียน กลุ่มแสงสีม่วงด่างพร้อยพุ่งออกมาจากถุงแล้ววนรอบหนิงอี้
หนิงอี้นั่งบนหลังนกสีแดงเพลิงเหมือนอยู่กลางธารดารา ดาราขนาดเล็กมากมายอยู่ทั้งหน้าและหลัง ราวกับฝุ่นธุลี
สวีจั้งพูดปลงเล็กน้อย “จิ๊ๆ…สำนักเต๋าใจใหญ่จริงๆ มีใครบ้างทะลวงสามขอบเขตแรกต้องใช้โอสถม่วงเร้น โอสถม่วงเร้นพวกนี้ เกรงว่าคงเตรียมไว้ให้ศิษย์พี่ใหญ่ตำหนักนภาม่วงทะลวงขอบเขตที่เก้ากระมัง”
โจวโหยวชำเลืองตามองสวีจั้ง ก่อนจะไม่สนใจเขา
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น พูดต่อ “ตอนนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์ทุกลูกอยู่ขอบเขตที่แปด หรือของตำหนักนภาม่วงเจ้าจะแกร่งกว่าก้าวหนึ่งกัน ข้าไม่เชื่อหรอก”
โจวโหยวมองหนิงอี้พลางพูดนิ่งๆ “เจ้ากินโอสถพวกนี้ได้เต็มที่เลย”
เขาอยากจะหยั่งเชิง ‘ถ้ำไร้ก้น’ ที่สวีจั้งบอกว่าจะกินได้เท่าไรกันแน่
บนเส้นทางบำเพ็ญ เซียนโอสถสมุนไพรวิญญาณ มีอัจฉริยะคนใดไม่พึ่งพาทรัพยากรบ้าง จะให้นั่งบำเพ็ญหันหน้าเข้ากำแพงทะลวงสิบขอบเขตทุกวัน แล้วจุดดาราชะตาเช่นนี้ คงน่าขำน่าดู
การกินเป็นเรื่องปกติ
โจวโหยวรู้ดีกว่าใครว่าตนเติบโตมาได้ถึงก้าวนี้ สำนักเต๋าต้องใช้ทรัพยากรและแรงกายแรงใจมหาศาลในการผลักดัน
เทียบกับการใช้ทรัพยากรแล้ว บนเส้นทางบำเพ็ญยังมีอย่างอื่นที่น่าปวดหัวกว่า กระทั่งเกิดความหวาดกลัว
หากหนิงอี้แค่กินทรัพยากรที่มากพอก็จะกลายเป็นตนคนต่อไปได้ เช่นนั้น…โจวโหยวก็ยินดีที่จะผลักดันเขา
“ในนี้มีโอสถม่วงเร้นพันเม็ด” โจวโหยวหมุนตัวกลับมา นั่งลงช้าๆ มองหนิงอี้ “อย่ากลัวการลดขั้นตอนเพื่อผลสำเร็จโดยเร็ว ขอแค่เจ้าทะลวงสามขอบเขตแรกได้ที่นี่ ยินดีเข้าสำนักเต๋า ข้าจะช่วยเจ้าปรับรากฐาน เสริมพื้นฐานให้มั่นคง จากนี้ไป…ทรัพยากรที่ต้องใช้ในสิบขอบเขตแรก สำนักเต๋าข้าจะจัดการให้ทั้งหมด”
หนิงอี้ริมฝีปากแห้งผากนิดๆ
“พวกนี้ให้ข้าหมดเลยรึ”
โจวโหยวพยักหน้าก่อนพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ว่าเจ้าจะยินดีเข้าสำนักเต๋าหรือไม่”
หนิงอี้พูดเสียงแหบแห้ง “เช่นนั้นข้า…ตอนนี้”
โจวโหยวยิ้มและยกมือขึ้นสื่อความหมาย
สวีจั้งกอดกระบี่ยาวอยู่ข้างๆ ทำเสียงจิ๊ๆ “โอสถม่วงเร้นพันเม็ด ให้คนที่ไม่มีพลังบำเพ็ญทะลวงสามขอบเขตแรก นี่คือราคาเท่าฟ้าจริงๆ ตอนที่เจ้าใช้โอสถม่วงเร้นคงทะลวงสามขอบเขตสุดท้ายแล้วกระมัง”
โจวโหยวไม่สนใจเขา
สวีจั้งที่พูดแจ้วมาเป็นกองพลันรู้สึกแปลกๆ
เผยฝานนั่งบนหลังนก ดูดซับแสงดาราที่พุ่งเข้ามา กลิ่นหอมโอสถม่วงเร้นลอยมาตรงศีรษะ หน้าผากนาง เค้าโครงดาราเหมือนมีและไม่มีรวมขึ้นแล้ว
หนิงอี้จมอยู่ในธารดารา
โจวโหยวยังคงไม่สนใจตนอีก
“นี่”
“เฮ้ยๆ…”
โจวโหยวที่วางค่ายกลกั้นเสียงไว้ข้างสวีจั้ง ในที่สุดก็หันมามองสวีจั้งด้วยรอยยิ้ม ยื่นนิ้วมือหนึ่งทำเสียง ‘ชู่’
……
หนิงอี้หลับตาลง
เขารู้สึกถึงอักขระเลือนรางที่อยู่ข้างกายพวกนั้น ไหลเวียนในความคิด เสียงลมข้างหูค่อยๆ หายไป
โลกกว้างใหญ่ ทุกอย่างเงียบสงัด
พลันมีดวงตายักษ์คู่หนึ่งลืมตาขึ้นจากข้างหลังท้องนภา
ฉีกยามราตรีออก
สว่างไสวลุกโชติช่วง
หนิงอี้นั่งบนธารดารา ดาราวนเวียนรอบกาย ตะวันจันทราสับเปลี่ยน ฉายในความคิดเขา
“ที่แท้…นี่ก็คือการบำเพ็ญรึ”
นี่เป็นความรู้สึกที่เร้นลับมาก
เหมือนมดปลวกที่หมอบอยู่บนพื้น วันหนึ่งเงยหน้ามองขึ้นพบว่าตนห่างจากดาราบนฟ้า ความจริงก็แค่…อีกนิดเดียวเท่านั้น
ระยะห่างขาดอยู่แค่เพียงเอื้อมมือ
หนิงอี้สูดลมหายใจเบาๆ เขายื่นมือมาข้างหนึ่งอย่างระมัดระวัง สองนิ้วมือคีบ ‘ดารา’ ดวงหนึ่ง เอามาวางไว้ตรงหน้าพิจารณาอย่างละเอียด
โอสถทรงกลมดูเหมือนหยกมุก ถือในมือทั้งนุ่มและชุ่มชื้น คงต้องมีตำลึงเงินมากถึงจะซื้อได้กระมัง
ปราณม่วงบางๆ สูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง กลิ่นอายพลังที่เข้าปอดไปจะอัดแน่นไปทั้งตัว
“สบายจริงๆ…” หนิงอี้นึกถึงคำพูดนั้นที่โจวโหยวพูดกับตน
โอสถพวกนี้ เจ้ากินได้เต็มที่เลย
เขาเลียริมฝีปาก เอา ‘โอสถม่วงเร้น’ ที่คีบขึ้นมาวางกลางริมฝีปากตน ฟันสองซี่เล็งให้เท่ากัน
กัดดังกึก
จุดชีพจรตรงศีรษะหนิงอี้ไม่ปิดอีก เมื่อมดปลวกเงยหน้าขึ้นมองดาราบนฟ้า นับจากนี้ไป มดปลวกตัวนี้…จะไม่เหมือนตัวอื่นอีก
แสงดารามากมาย ภายใต้แรงดูดของโอสถม่วงเร้น พวกที่จะหลบเลี่ยงหนิงอี้เริ่มขยับมาทางเด็กหนุ่มด้วยการต่อต้านอย่างเต็มที่
แสงดาราที่ไหลไปรวมที่เผยฝานมีระยะสามฉื่อในช่วงหายใจเท่านั้น แต่ด้วยผลของโอสถม่วงเร้น ทำให้สามฉื่อเป็นห้าฉื่อ ระดับความเข้มข้นของแสงดารายกระดับสูงขึ้นมาก
หนิงอี้กินโอสถม่วงเร้นเม็ดแรก เขารู้สึกว่าจุดชีพจรของตนเปิดกว้าง รีบร้อนอยากจะได้แสงดารา ดังนั้น…เด็กหนุ่มจึงเริ่มสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในกายอย่างจริงจัง
สิบลมหายใจต่อมา เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความฉงน พบว่าการเปลี่ยนแปลงของตนคือ…ไม่เปลี่ยนไปเลย
เขาสงบใจลง และคีบโอสถม่วงเร้นเม็ดที่สอง
ครั้งนี้ท่าทางเขาไม่ชักช้าอีก และไม่มีความลังเลอีก
ใส่เข้าปากทันที จากนั้นกัดแตก
หลังกินโอสถม่วงเร้นเม็ดที่สอง หนิงอี้ไม่หยุดแม้แต่น้อย เขาเริ่มทำซ้ำแบบเดิมเหมือนหุ่นยนต์ คีบ กัดแตก และคีบอีก
เขาลืมตาขึ้นมองโจวโหยว
ใบหน้าหล่อเหลาเป็นหนึ่งนั้นมีเพียงความสงบนิ่ง
นี่คืออัจฉริยะที่ยากจะพานพบได้ในร้อยปีของสำนักเต๋า เจ้าตำหนักนภาม่วง ตนสนใจแต่กิน ไฉนจะต้องสนใจอย่างอื่นอีก
หนิงอี้ที่นั่งบนธารดาราเริ่มกินดาราที่วนเวียนรอบกายไปทีละเม็ด
คนที่เริ่มฝึกบำเพ็ญจะไม่เกรงกลัวสิ่งที่ซ่อนอยู่เหนือศีรษะตนขนาดนั้นแล้ว
เพราะพวกเขาพบว่าสักวันตนจะยืนในตำแหน่งนี้ได้
แสงดาราเข้มข้นวนเวียนรอบเด็กหนุ่มเด็กสาวสองคน เหนือศีรษะเผยฝาน เค้าโครงดาราที่เหมือนมีและไม่มีนั้นรวมออกมาแล้ว เด็กสาวตกใจตื่นจากสภาวะตระหนักรู้ พบว่ารอบกายตนมีปราณสีม่วงเข้มข้นวนเวียนอยู่ หนิงอี้ที่อยู่ข้างหลังมองเห็นใบหน้าเลือนรางไม่ชัด เห็นแค่ท่าทางนั่งสมาธิอย่างจริงจัง
ข้างกายหนิงอี้ กลุ่มแสงสีม่วงพากันแตกทีละกลุ่ม ท้องฟ้าในระยะครึ่งลี้โดยรอบเป็นดาราพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหมือนคลื่นทะเล
นกกระจอกแดงส่งเสียงร้องแหลมเล็ก
มันไม่เคยเห็นผู้บำเพ็ญทะลวงสามขอบเขตแรกต้องใช้พลังยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน
ในระยะหนึ่งลี้โดยรอบ แทบจะรวมเป็นปราณม่วงเข้มข้นเป็นหยดน้ำ ทุกหยดกลมอิ่มเอิบ ลอยอยู่ข้างกายหนิงอี้
เด็กหนุ่มเปิดริมฝีปากเล็กน้อย
แสงดาราที่รอมานานพวกนั้น ในที่สุดก็หาทางเข้าพบ
วิ้ง
ทั้งโลกเงียบลง
สวีจั้งมองเด็กหนุ่มเงียบๆ
เผยฝานตึงเครียดเล็กน้อย
หนิงอี้เหมือนหลับไปตื่นหนึ่ง รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว เขายังคงอยู่ในท่าทางหลับตาปิดสนิท กลืนกินแสงดาราทั้งหมด ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
โจวโหยวนั่งบนหลังนก ใบหน้ายังคงท่าทีสงบนิ่งเหมือนก่อน อ่านอารมณ์ไม่ออก
“หนิงอี้…”
ในน้ำเสียงของโจวโหยวมีกลิ่นอายไม่เข้าใจอย่างบอกไม่ถูกนิดๆ
ดีใจ แต่ก็หดหู่
หนิงอี้ได้ยินเสียงของโจวโหยวก็ลืมตาขึ้น
นกกระจอกแดงเริ่มพุ่งทะยานลงมา
แสงยามรุ่งอรุณสาดส่องชั้นเมฆ ใต้ชั้นเมฆในยามค่ำคืน แสงตะวันสายหนึ่งส่องลงมายามราตรีนำมาสู่แสงสว่าง
เด็กหนุ่มยื่นสองมือออกมา มือข้างหนึ่งบังลมให้ตัวเอง อีกมือบังแสงให้เผยฝาน
โจวโหยวที่นั่งบนหลังนกสูดลมหายใจเข้าลึก
เขาพูดจากใจจริง “เจ้ากินเก่งจริงๆ สำนักเต๋าข้าคงเลี้ยงดูเจ้าไม่ไหว”
……………………..