ตอนที่ 13 เรื่องมันยาว (1)
“เจ้ากินเก่งจริงๆ สำนักเต๋าข้าคงเลี้ยงดูเจ้าไม่ไหว”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา บรรยากาศก็ดูเก้อเขินอย่างยิ่ง
หนิงอี้ไม่รู้ว่าโอสถม่วงเร้นพันเม็ดหมายถึงอะไร แต่เขารู้ว่า…ด้วยฐานะของโจวโหยว เอ่ยมาเช่นนี้หมายถึงอะไร
หนิงอี้มองสวีจั้งด้วยสายตาคับแค้นใจ
เจ้านั่นกอดพินิจเหมันต์ หัวเราะจนหงายหลังอย่างมีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์
เผยฝานยังอดหัวเราะไม่ได้ เสียงเด็กนี่ฟังดูเล็กมาก และยังมีความสุขที่กลั้นไว้ไม่อยู่
“ข้าไม่เคยรับศิษย์มาก่อน หากเจ้าทะลวงสามขอบเขตแรกได้…ข้าก็อยากพาเจ้ากลับตำหนักนภาม่วงมาก” โจวโหยวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “โอสถม่วงเร้นพันเม็ดยังทะลวงขอบเขตไม่ได้ หากพรสวรรค์ของเจ้าไม่มีปัญหา…ขลุ่ยกระดูกนั่น ถึงจะสุดยอดอย่างไรก็คงได้แต่บอกว่าไร้วาสนากับสำนักเต๋า”
สวีจั้งยักคิ้วหลิ่วตา “น่าเสียดาย สำนักเต๋าพวกเจ้าเสียผู้บำเพ็ญอมตะในอนาคตไปเช่นนี้”
โจวโหยวกลับไม่คิดอย่างนั้น เขาพูดอย่างจริงจัง “การบำเพ็ญแบ่งเป็นสิบขอบเขต สามขอบเขตแรกคือการปรับรากฐานให้มั่นคง ปูพื้นฐานก่อน ไม่ต้องรีบร้อนทะลวงขอบเขต อดทนได้ก็อดทนไว้ จะเป็นเรือสูงตามน้ำ ปล่อยไปตามธรรมชาติ
หากสักวันหนึ่ง…เจ้าทะลวงขอบเขตแล้วก็ลองศึกษาขลุ่ยกระดูกนั่นดู ของที่มีระดับสูงกว่าพินิจเหมันต์ไม่ใช่ของธรรมดาแน่ เรื่องขลุ่ยข้าจะเก็บเป็นความลับ อย่าเผยให้ใครเห็นง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะนำหายนะมาสู่ตนเอง ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้
ถึงสามขอบเขตกลาง วิชาก็ดี รูปแบบกระบี่ก็ดี โดยเนื้อแท้คือการสังหารศัตรู ละโมบมากจะเคี้ยวไม่ละเอียด ฝึกหมื่นวิชาไม่สู้ชำนาญวิชาเดียว
มาถึงสามขอบเขตสุดท้าย เจ้าเห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นแล้วจะเข้าใจเอง…อัจฉริยะที่มีสำนักกับผู้บำเพ็ญพเนจรมันคนละเรื่องกันเลย”
หนิงอี้กลั้นหายใจ ฟังอย่างตั้งใจ
“ดูดซับแสงดารา…น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก” โจวโหยวเอ่ยเงียบๆ “เกิดขึ้นทุกนาทีระหว่างการหายใจ แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าจะทะลวงขอบเขต…น่าจะต้องใช้ทรัพยากรเยอะมาก สำนักเต๋าข้าให้ไม่ได้ เขาศักดิ์สิทธิ์อื่นก็ย่อมให้ไม่ได้เหมือนกัน นอกจากราชวงศ์ต้าสุยแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครเลี้ยงเจ้าไหว”
เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดเสริม “โอสถม่วงเร้นพันเม็ดไม่เท่าไรเลยสำหรับข้า ถ้าเจ้าจะทะลวงสามขอบเขตแรก ไม่ต้องไปสำนักเต๋า ข้าไปทะเลพลิกผันแดนเหนือสักรอบก็พอ แต่โอสถม่วงเร้นพันเม็ดยังทะลวงขอบเขตไม่ได้ ทรัพยากรหลังจากนี้…คงมากเกินไปจริงๆ”
โจวโหยวพูดเสียงเบา “บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นในตอนนี้ยังเรียกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ แต่หากภายภาคหน้าพวกเขาทะลวงสิบขอบเขตไม่ได้ จุดดาราชะตาไม่ได้ ก็ไม่คู่ควรกับนามบุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน สำนักเต๋ายินดีบ่มเพาะเจ้า ยินดีบ่มเพาะผู้บำเพ็ญที่ไร้พ่ายในโลกหล้าหลังดาราชะตา ไม่ใช่ถ้ำไร้ก้นที่กินทรัพยากรไปมากมายก็ยังไม่อาจก้าวสู่สิบขอบเขต”
หนิงอี้เข้าใจหลักการนี้
เขาเม้มริมฝีปาก ไม่รู้ควรพูดอะไร ได้แต่เอ่ยคำหนึ่งฝืดๆ “ขอบคุณ…”
โจวโหยวโบกมือ สีหน้าราบเรียบ นกกระจอกแดงพุ่งลงเข้าใกล้พื้นดินทีละนิด เสียงลมดังขึ้นเรื่อยๆ เทือกเขาบนพื้นเห็นเป็นเค้าโครงชัดเจน เมฆหมอกบนฟ้าสูงห่างไกลกลุ่มคนมากขึ้นเรื่อยๆ
“หนีตายไปกับสวีจั้ง จำไว้ว่าเรียนอะไรที่มีประโยชน์ อย่าเอาแบบนิสัยบางอย่างของเขา” โจวโหยวพูดอย่างรังเกียจนิดๆ “อย่างเช่นอวดดี ไร้ยางอาย…และอีกมากมาย นอกจากฆ่าคนได้แล้วเขาก็ไม่มีอะไรดีเลย”
หนิงอี้ตั้งใจฟัง ก่อนพูดมาทีละคำ “น้อมรับคำสั่งสอน”
สวีจั้งก็ฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน พูดมาทีละคำ “ขอบคุณที่ชม”
…..
ข้ามผ่านเทือกเขาประจิมไปจะเป็นเขตแดนของต้าสุย เจ้าตำหนักนภาม่วงหนุ่มที่นั่งบนหลังนกชำเลืองตามองเทือกเขายาวเหยียดข้างล่างทีหนึ่ง “เหนือใต้ออกตกของต้าสุย สี่ชายแดนสร้างกำแพงเมืองไว้ ข้าส่งพวกเจ้าออกจากเทือกเขาประจิม สวีจั้งมีศัตรูเยอะมาก คงปิดบังได้ไม่นานนัก”
ผ่านไปไม่นาน หนิงอี้ก็เห็นกำแพงเมืองยาวเหยียดข้างล่างจริงๆ ฐานธนูแขวน ร่องแม่น้ำเพลิง ทหารสวมเกราะถือง้าว ในกลุ่มคนยังมีชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีขาวคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น มองนกกระจอกใหญ่สีแดงพุ่งเข้ามากลางเมฆหมอกสีขาวบนฟ้า
ขุนพลเกราะขาวเงินคนนั้นไม่พูดไม่จาก็ทะยานขึ้นมาทางหนิงอี้
โจวโหยวชำเลืองตามองทีหนึ่ง “สี่ตระกูลใหญ่ประจำการสี่ชายแดนต้าสุย ชายแดนที่ติดกับเทือกเขาประจิมคือตระกูล ‘จู้’ ขุนพลต้าสุยคนนี้มีนามว่าจู้จือ ผู้บำเพ็ญสูงสุดขอบเขตที่สิบ ไม่แก่งแย่งในราชวงศ์ แต่เจอคนแซ่สวีแล้ว ตอนนี้คงขอแค่สามหมัดก็ทุบปากเขาเละได้”
เด็กสาวเอ่ยหน้าซีดขาวนิดๆ “เพราะเหตุใด”
ในภาพจำเผยฝาน ตอนเยาว์วัยก็เคยเห็นขุนพลแซ่จู้คนนี้ ส่วนอดีตขุนพลคนนั้นที่เป็นเสาเอกของตระกูลจู้ ในภาพจำนางก็เป็นลุงชราอัธยาศัยดี
สวีจั้งสังหารลุงแซ่จู้คนนั้น
เผยฝานเม้มริมฝีปากแห้งผาก
ส่วนเหตุใดถึงฆ่าเขา กลายเป็นห่วงโซ่ผูกกัน…เผยฝานไม่ได้ถามไปตรงๆ สวีจั้งเองก็ไม่ได้ตอบตรงๆ
หากเผยฝานถามว่าเหตุใดสวีจั้งถึงฆ่าบิดาเขา
สวีจั้งก็จะตอบตามความจริง เพราะบิดาเขาสังหารบิดาเจ้า
หนิงอี้ถอนหายใจ
พวกนี้คือบัญชีแค้นที่ยังชำระไม่สิ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
ขุนพลจู้จือที่ทะยานขึ้นมาเกราะเงินวาววับ พุ่งขึ้นฟ้า ก่อนเห็นป้ายคำสั่งอันหนึ่งตกลงมาจากบนฟ้า
“ตก”
ตราที่เต็มไปด้วยปราณม่วงนั้นพลันตกลงมา ยิ่งตกยิ่งใหญ่ ขยายขึ้นตามสายลม แทบไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ ก็เหมือนภูเขาเล็กกดขุนพลจู้จือคนนั้นจนหายใจไม่สะดวก ก่อนจะตกลงพื้นด้วยความเร็วยิ่งกว่า
หนิงอี้เบิกตาโต มองเจ้าตำหนักสำนักเต๋าที่บุกกำแพงเมืองชายแดนตะวันตกคนนี้พูดสี่คำสบายๆ
“สำนักเต๋า โจวโหยว”
ขุนพลจู้จือคนนั้นหน้าแดงก่ำ ตกลงพื้น กระแทกหินจนกระจาย ท่ามกลางสายตาสับสนของทหาร เขาประสานมือป้องคารวะไปบนฟ้า ทำตามประเพณีของทหารยุทธภพ หลังคารวะ ปราณม่วงที่ปกคลุมตัวถึงสลายไป
โจวโหยวพูดเสียงเบา “สำนักเต๋าไม่เป็นศัตรูกับใคร อีกทั้งกำแพงเมืองแดนตะวันตกยังไม่ห้ามผู้บำเพ็ญพเนจรออกเดินทาง แต่ในเขตต้าสุย ประตูปิดสนิท เดินทางลำบาก ติดขัดไปหมด หากพาพวกเจ้าเดินทางข้างล่าง ต่อให้ไม่เผยฐานะก็เสียเวลาข้ามาก”
หนิงอี้ก้มหน้าหลุบตาลง ยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
“ขอแค่เจ้ายืนอยู่สูงพอ ประตูความสะดวกสบายทั้งหมดจะเปิดให้เจ้า” โจวโหยวมองเด็กหนุ่มทีหนึ่งก่อนพูดนิ่งๆ “ตอนที่บินขึ้นไม่ได้ ก็ให้คิดเหยียบพื้นก่อน เดินทุกก้าวให้ดีก่อน”
นกกระจอกแดงข้ามผ่านกำแพงเมืองแดนตะวันตกไป
เค้าโครงเมืองกระจัดกระจายเห็นได้ชัดเจนแล้ว
นกใหญ่เริ่มบินลงช้าๆ
โจวโหยวครุ่นคิดก่อนพูด “เจ้าหนุ่ม…ต้องบอกว่าติดตามสวีจั้ง เป็นทางเลือกที่เลวร้าย”
สวีจั้งมองค้อน “แต่เขาไม่มีทางเลือก แน่จริงสำนักเต๋าพวกเจ้าก็รับเขาไว้สิ”
โจวโหยวเงียบ
นกกระจอกแดงร่อนลงพื้น สยายปีกตบพื้น
หนิงอี้อุ้มเผยฝานลงพื้นแล้ว รู้สึกแขนขาชานิดๆ โดยเฉพาะขาสองข้าง ทันทีที่สัมผัสพื้นก็อดสั่นไม่ได้
โจวโหยวตบบ่าเด็กหนุ่มที่แสยะปากยิงฟันพลางพูดอย่างอ่อนโยน “ต้าสุยสามหมื่นหกพันลี้ ข้าจะรอวันที่เจ้าติดรายนามดารา”
สวีจั้งเยาะเย้ยกลับทันที “รายนามนั่นมีความหมายอะไร ตอนนั้นเจ้าก็ยังอยู่อันดับหลังหญิงบ้านั่นไม่ใช่รึ”
โจวโหยวยิ้ม “อันดับหนึ่งเป็นเจ้าเขาสู่ซานแล้ว อันดับสองปกครองตำหนักนภาม่วง แล้วอันดับสามตอนนี้อยู่ที่ใด ชื่อแซ่อะไรนะ”
สวีจั้งแค่นยิ้ม ไม่พูดอีก
โจวโหยวมองสวีจั้ง ในที่สุดก็พูดจากใจจริง “สวีจั้ง เจ้าจะใช้การสังหารพิสูจน์มรรค แต่สิบปีมาแล้ว หรือเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าจะสังหารใครกัน ตระกูลเผยสิ้นแล้ว หญิงที่รักก็ตายจากไปแล้ว คนที่เจ้าจะฆ่า หรือจะเป็นมดปลวกที่ทำให้เจ้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนทุกวันจนพลังบำเพ็ญลดลงพวกนั้นรึ
ตอนนั้นบุกขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ เจ้าแค่ฆ่าคนที่ฆ่าได้ ฆ่าจนดาวชะตาตนเองรับภาระอย่างหนักจนแตกออก พลังบำเพ็ญร่วงลง” โจวโหยวเลิกคิ้วขึ้น พูดนิ่งๆ “วิถีแห่งกุศลสังหารไม่ใช่การฆ่าผู้บริสุทธิ์ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นอิสระ รู้แก่ใจว่าเหนือตนมีภูเขากดทับ เกรงกลัวกระบี่หักถึงเดินอ้อมไป หรือนี่จะเป็นการหลีกหนีอย่างหนึ่ง”
“พินิจเหมันต์วางอยู่สำนักเต๋ามาสิบปี ตอนนี้มันกลับไปอยู่ในมือเจ้าอีกครั้งแล้ว” โจวโหยวพูดเสียงเบา “สักวันข้ากับหญิงคนนั้นแห่งเขาสู่ซานต้องสู้กัน วันนั้นน่าจะอีกไม่นานแล้ว ข้าไม่กลัวตาย ก่อนหน้านั้น หากวันใดเจ้าชักกระบี่ ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จะเป็นราชวงศ์ต้าสุยหรือเขาศักดิ์สิทธิ์ใด เมื่อชักกระบี่แล้ว ตายไปข้าจะเก็บศพให้เจ้าเอง จากนั้นจะล้างแค้นให้เจ้า”
“ข้าจะไปที่ใด ฆ่าใคร ทำอะไร เรื่องพวกนี้…ไม่ต้องให้เจ้ามาเตือนข้า”
สวีจั้งชะงักไปก่อนพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “หากข้ารอดไปได้ล่ะ”
โจวโหยวยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดไปได้รึ”
สวีจั้งกอดพินิจเหมันต์ เอียงศีรษะพูด “ไม่ว่าอย่างไร คนนั้นจะต้องตาย ไม่ต้องให้เจ้ามาล้างแค้นแทนข้าหรอก”
โจวโหยวพูดอย่างอ่อนโยน “ขอให้เป็นเช่นนั้น”
นักพรตหนุ่มขึ้นหลังนก นกกระจอกแดงนั่นมาคลอเคลียหน้ารูปไข่ของเผยฝานอย่างสนิทสนม ก่อนจะคำรามเสียงดังแล้วกระพือปีกขึ้น หนิงอี้เห็นว่าในแววตาของนกกระจอกแดงนั่นมีแววตาของผู้รู้
โจวโหยวใต้ฟ้าไม่หันกลับมามอง
เผยฝานพูดปลงๆ “นี่ต่างหากภาพลักษณ์ของเทพเซียน ภาพลักษณ์ของผู้สูงส่ง…”
สวีจั้งพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เพิ่งจะเท่าไรเอง ก็ยกหางเข้าข้างคนอื่นแล้วรึ”
เด็กสาวพูดอุบอิบ “ก็เขาหล่อกว่าท่านจริงๆ นี่ และยังสง่ากว่าท่านอีก…”
สวีจั้งทำเสียงถุย ก่อนจะกอดพินิจเหมันต์เดินขากะเผลกไปข้างหน้า
เผยฝานบาดเจ็บตอนอารามโพธิ์ถล่มเล็กน้อย หนิงอี้เป็นห่วงจึงแบกนางขึ้น หลังลงถึงพื้นก็ยังปรับสภาพไม่ได้ เดินขากะเผลกตามไปเร็วๆ เช่นกัน
“ผู้อาวุโส สิบปีมานี้…”
สวีจั้งรู้ว่าสองคนข้างหลังมีคำถามเป็นกอง
เขาโบกมืออย่างรำคาญ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สิบปีรึ เหตุใดพวกเจ้าไม่ให้ข้าเริ่มเล่าตั้งแต่ต้าสุยสถาปนาอาณาจักร ต่อต้านเผ่าปีศาจที่แดนเหนือเลยล่ะ”
หนิงอี้หัวเราะแห้งๆ
บุรุษเดินเท้าหยุดชะงัก น้ำเสียงแหบแห้งนิดๆ
“เรื่องมันยาว”
………………………