ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 14 เรื่องมันยาว (2)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 14 เรื่องมันยาว (2)

“ตอนข้าหกขวบ เผยหมินพาข้ากลับจวนขุนพล ฮูหยินกับขุนพลดูแลข้าอย่างดี พวกเขาเลี้ยงข้าเป็นคนในครอบครัว สอนวิชากระบี่ให้ข้า ส่งข้าไปเขาสู่ซาน ในจวนขุนพลเผยหมินสอนวิชากระบี่ให้ข้า ขึ้นเขาสู่ซาน เจ้าหรุยสอนวิชาเต๋าให้ข้า”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ บุรุษเงียบลงชั่วอึดใจ “ข้าฝึกกระบี่ตอนหกขวบ ปีที่อายุสิบหกเข้าเขาสู่ซาน ติดตามเจ้าหรุยเข้ามรรคฝึกบำเพ็ญ ดารามากมายบนฟ้ามีนับล้านดวง ข้าไม่ถูกใจสักดวง ศาสตร์มรรคเขาสู่ซานตกตะกอนดั่งภูเขา ข้าไม่อยากท่องสักเล่ม พวกเขาจึงบอกว่าข้าขัดกับหลักทำนองคลองธรรม ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ ข้าคิดว่าพวกเขาไร้สาระเลยขี้เกียจสนใจมาตลอด”

“ในสายตาข้าไม่มีใคร และยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์” สวีจั้งเอ่ยเสียงเฉยชา “กระบี่ของข้าตรง หลักการก็ตรง เดินไปในโลกหล้า คุณธรรมความถูกต้องอยู่เหนือหัวข้า ขอบเขตดาราอยู่ใต้เท้าข้า คนพวกนั้นในบ้านหลังคาใบจากบนเขาสู่ซาน ข้าไม่ชอบหน้าเลย เห็นๆ อยู่ว่าไม่เข้าใจกลับบอกว่าเข้าใจ เห็นๆ อยู่ว่าเข้าใจแต่กลับแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ

ไม่ใช่นักเดินทางย่อมเดินทางไปตลอดไม่ได้ ตอนที่ข้าทะลวงสามขอบเขตแรกก็ใช้เวลาไปทั้งหมดสี่ปีเต็ม บางคนหัวเราะเยาะว่าข้าไม่มีพรสวรรค์ พวกจับกังในบ้านหลังคาใบจากย่อมไม่รู้ว่าวันแรกที่ได้วิชา ข้าก็เห็นผืนดารานั้นเหนือหัวแล้ว สี่ปีที่ไม่ทะลวงพลัง ข้าแค่กำลังเลือกดาราที่ถูกใจเท่านั้น

ก่อนเข้าเขาสู่ซาน เผยหมินมาส่งข้าด้วยตัวเอง บอกว่าข้าคือเซียนกระบี่ต้าสุยที่จะสืบทอดต่อจากเขา ทั้งเขาสู่ซานต่างเฝ้ารอคอย ให้ทรัพยากรที่ดีที่สุดกับข้า นอกจากเจ้าหรุยแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยว่าข้าเป็นคนแบบใด”

สวีจั้งพูดสบายๆ “สิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดคือเห็นปราชญ์พวกนั้นพูดถึงหลักการฟ้าใหญ่ดินใหญ่มารยาทใหญ่ที่สุดที่ตัวเองเขียนเองอ่านเองในตำรา ดังนั้นข้าจึงไม่อ่านวิชาและคัมภีร์ที่ตาแก่พวกนั้นในเขาสู่ซานให้มาเลย ข้าอ่านแค่คัมภีร์กระบี่…คัมภีร์นั้น ยังเขียนไม่ดีเท่าเผยหมินด้วยซ้ำ”

เขาปรายตามองหนิงอี้ทีหนึ่ง “นี่เป็นนิสัยแย่ๆ อย่าเอาอย่างข้า”

“จากนั้นข้าทะลวงสามขอบเขตแรก เจ้าหรุยยกพินิจเหมันต์ของเขาให้ข้า” สวีจั้งพูดถึงตรงนี้ก็เบนสายตาช้าๆ ไปมองท่อนผ้ายาวสีดำที่ห้อยอยู่ตรงหัวเตียงตัวเอง

แสงไฟวูบไหวภายในห้อง ประตูปิดสนิท ลมหนาวข้างนอกเหมือนดาบ เคาะดังก๊อกๆ

นี่คือโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งหนึ่งตรงชายแดนต้าสุย

“ต่อมาข้าอ่านคัมภีร์มรรคของเขาสู่ซานอีกครั้ง” สวีจั้งพูดปลง “ข้าพบว่าการเลือกไม่อ่านตำราในตอนนั้น…เป็นสิ่งที่ถูกต้องมาก ตำราพวกนั้นเขียนได้ห่วยและน่าเบื่อ ข้าทำตัวดีอ่านมาครึ่งปีเต็มก็เลือกที่ชอบมาได้เล่มเดียว นั่นคือคัมภีร์พลิกกลับที่เจ้าหรุยเขียน”

คัมภีร์พลิกกลับ…

หนิงอี้รู้สึกขำนิดๆ

สวีจั้งยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนท่าทาง เอาตัวพิงเตียงครึ่งหนึ่ง “จากนั้นเจ้าหรุยก็ตาย อายุขัยสิ้นหรืออาจจะบรรลุมรรคเป็นเซียน เขาเป็นนักพรตเต๋า คล้ายๆ กับโจวโหยวแต่เขาไม่ชอบฆ่าคน คัมภีร์พลิกกลับเล่มนั้นของเขาก็เขียนว่าเขาอยากมีชีวิต แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็น”

สวีจั้งหรี่ตาลง พูดเสียงเบา “จากนั้นข้าเลยใช้ชีวิตในสิ่งที่เขาอยากเป็นแทนเขา

หลังจากเจ้าหรุยตาย ข้าลงเขาสู่ซานไปต้าสุย เผยหมินเป็นปราชญ์กระบี่แห่งต้าสุย แต่ศิษย์ที่เขาแนะนำเป็นคนธรรมดา ไร้ความสามารถ สี่ปีเพิ่งทะลวงสามขอบเขตแรก คนเช่นนี้ลงเขาไปก็มีแต่ทำให้เขาสู่ซานขายหน้า ข้าขี้เกียจจะพูด ขี้เกียจจะเถียง บุตรศักดิ์สิทธิ์ของปีนั้นก็ต้องยกให้คนอื่น ชื่ออะไรสักอย่าง…ข้าจำไม่ได้ สุดท้ายคนนั้นก็ถูกข้าสังหารด้วยกระบี่เดียว

รายนามดาราของต้าสุยจัดข้าไปอยู่ในอันดับสาม ข้าไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอม แต่มีคนสนใจ สหายของเผยหมิน ศัตรูของเผยหมิน สหายของเขาสู่ซาน ศัตรูของเขาสู่ซาน…และยังมีเขาสู่ซานเอง หลังเข้าสู่ทางโลก ข้าถึงพบว่าที่แท้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนสนใจชื่อเสียงและผลประโยชน์สองคำนี้

มีคนมากมายคิดมาท้าประลองกับข้าทุกวัน และมีคนมากกว่าที่คิดจะฆ่าข้า” สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้นก่อนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าถือพินิจเหมันต์ก็นับเป็นปัญหาเช่นกัน

ด้วยอำนาจของเขาสู่ซานกับเผยหมิน คนที่มาท้าทายข้าได้แต่สู้กับข้าด้วยพลังบำเพ็ญเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลย…พวกมันแพ้ หลังจากแพ้แล้วก็เปลี่ยนจากความอับอายเป็นความแค้น คนที่คิดจะลงมือสังหาร พวกมันตายหมดแล้ว”

“โจวโหยวพูดไว้ไม่ผิด ข้าทำได้แค่สังหารคน” สวีจั้งมองหนิงอี้นิ่งๆ ก่อนพูดอย่างอ่อนแรง “เพราะตั้งแต่ข้าออกจากภูเขามาจนถึงตอนนี้ ทุกอย่างที่ทำมาตลอดคือการฆ่าคน สิ่งที่ข้าทำความจริงแล้วง่ายมาก ฆ่าคน สองคำนี้มากพอที่จะสรุปได้”

ไฟในเตาภายในห้องขยับไปมาช้าๆ

คำว่าฆ่าคนสองคำนี้ออกจากปากสวีจั้ง เหมือนดื่มชาดื่มเหล้า กินข้าวนอนหลับ เป็นธรรมชาติและตามสบาย

ตั้งแต่ที่เขาเหยียบยุทธภพก็มีคนทยอยกันมาไม่ขาดสาย ไม่ฆ่าเขาก็กำลังเดินบนเส้นทางฆ่าเขา

เพราะสวีจั้งน่าฆ่า

ต่อมาคนพวกนี้เริ่มหวาดกลัว พบว่าลูกพลับที่ดูบีบง่ายลูกนี้ แท้จริงแล้วเป็นตัวอ่อนสังหารที่ซ่อนในครรภ์กระบี่ ไม่ได้ฆ่าง่ายเหมือนที่คิดไว้

พวกเขาเลยเริ่มถอย แต่ก็ไม่ทันแล้ว

เพราะสวีจั้งน่าฆ่า

สวีจั้งพูดจบก็รู้สึกเหนื่อยล้า เขาฝืนตั้งแต่อารามเต๋าเทือกเขาประจิมจนมาถึงตอนนี้ รวมแสงดารา ทะลวงพลังใหม่ ตอนนี้จิตใจอ่อนล้า ความง่วงงุนจู่โจมเข้ามา

สวีจั้งโบกมือก่อนจะหาววอด “ก็ประมาณนี้ ยังมีอะไรจะถามอีกหรือไม่”

ในห้องมีสองเตียง หนิงอี้กับเผยฝานนั่งอีกเตียง ฟังสวีจั้งเล่าเรื่องอย่างว่าง่าย

หนิงอี้ขบคิดก่อนจะพูดตามความจริง “ความจริงพวกเราไม่ได้ห่วงเรื่องของท่าน”

สวีจั้งมองค้อน พูดด้วยความโกรธ “หุบปาก”

เผยฝานพูดเสียงเบา “พ่อข้าล่ะ”

สวีจั้งเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ตายแล้ว”

เผยฝานรอมานานมาก นางไม่ขัดคำพูดของสวีจั้งก็เพราะอยากฟังบทสรุปที่ตนรอมาตลอดในเรื่องราวที่สวีจั้งเล่า

แต่สวีจั้งกลับไม่ได้เอ่ยถึงตระกูลเผย

เผยฝานจึงถาม

ถามจบ เผยฝานขานรับอย่างว่านอนสอนง่าย บอกว่ารู้อยู่แล้ว จากนั้นปีนขึ้นเตียงด้วยท่าทางเฉยชา เป่าตะเกียงดับไฟเบาๆ

ภายในห้องมืดมิด

ดวงตาสวีจั้งมีความเงียบงันในเงามืด

เขาพูดต่อ “ข้าไม่อยากพูด”

“พวกเจ้าอายุแค่นี้ ไม่ควรจะแบกรับความแค้นบนบ่า หรืออะไรที่มันหนักกว่า” สวีจั้งหลุบตาลง พูดเย้ยเยาะตัวเอง “บางอย่างก็หนักเกินไป จะทำให้คนล้มเอาได้”

หนิงอี้นั่งบนเตียง เขารู้สึกได้ว่าเตียงสั่นไหวเบาๆ

เด็กสาวกอดตัวเป็นก้อนกลม กำลังสะอื้นไห้อย่างไร้เสียง

หนิงอี้ถอนหายใจเงียบๆ ในใจ “ตระกูลเผยสิ้นแล้ว เป็นฝีมือใคร”

นามของเผยหมินดังก้องไปทั้งสี่เขตแดนต้าสุย หนิงอี้พลาดยุคสมัยของเผยหมิน แต่เขารู้ว่าตอนนี้สี่ตระกูลใหญ่เฝ้ากำแพงเมืองสี่ชายแดนให้อาณาจักรต้าสุย เจ้าตระกูลทั้งสี่วัดกันที่ชื่อเสียงและศักยภาพ เกรงว่าคงเทียบกับ ‘ปราชญ์กระบี่เผยหมิน’ เมื่อสิบปีก่อนไม่ได้

เผยหมินทะลวงขอบเขตที่สิบตั้งแต่หนุ่มแล้ว นั่งอยู่จุดสูงสุดของราชสำนักต้าสุย คุณูปการใหญ่โต วิชากระบี่ถึงระดับน่าเหลือเชื่อ

สวีจั้งเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเผยหมิน สามารถรับตำแหน่งอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานที่มีชื่อเสียงระบือนามได้ก็เห็นได้ถึงความสำเร็จของเผยหมินบ้างแล้ว

แล้วคนที่ใช้พลังอำนาจทำลายล้างตระกูลเผยได้จะเป็นใครกัน

วิชาแห่งราชาจักรพรรดิ สังหารคนได้ตามใจปรารถนา

สวีจั้งเอ่ยนิ่งๆ “ทุกคนรู้ว่าเป็นใคร แต่เจ้าจะทำอะไรได้ เมืองหลวงต้าสุยใครจะกล้าบุก องครักษ์อยู่ข้างกายจักรพรรดิ หากถูกคนสังหารด้วยกระบี่เดียวได้ ต้าสุยแห่งนี้คงหายไปนานแล้ว”

บุรุษพิงผนังด้านหนึ่ง พูดเบาๆ “สิ่งที่ข้าทำได้คือตรวจสอบว่าใครรู้เห็นเป็นใจด้วยบ้าง ฆ่าได้ก็จะฆ่าให้หมด”

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก อดถามต่อไม่ได้ “มีใครบ้าง”

สวีจั้งตอบ “เยอะมาก เยอะมากๆ บรรพชนตระกูลจู้อย่างจู้อู่แห่งกำแพงเมืองแดนตะวันตกก็เป็นหนึ่งในนั้น”

เด็กสาวบนเตียงพลันปาดน้ำตา ลุกขึ้นนั่ง จ้องสวีจั้งเงียบๆ

สวีจั้งมองเด็กสาวพลางเอ่ยเนิบนาบ “การล่มสลายของตระกูลเผย ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง…เหตุผลหลักที่ทำให้ตระกูลเผยล่มสลายก็เป็นเพราะคุณูปการสูงจนสั่นคลอนเจ้านายของเผยหมิน และการเริ่มล้างบางตระกูลเผยก็เป็นเพราะป้ายคำสั่งของเขาลั่วเจีย”

“เผยหมินหยุดอยู่ที่ขอบเขตพลังสูงมาก หลังเยี่ยมเยือนเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ยังทะลวงพลังไม่ได้” สวีจั้งขมวดคิ้ว นึกไปถึงภาพต่างๆ ในความคิด “ตอนนั้นข้าตามหลังเขา พลังบำเพ็ญเขานั้น ต่อให้เป็นโจวโหยวในตอนนี้ก็ยังห่างชั้นกันหลายขุม ข้าจำได้แม่นว่าระหว่างที่ประมือกับเจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่เผยหมินจะใช้เพียงสามกระบวนท่าแล้วก็หยุด ตอนที่เขาพาข้ากลับ เจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นมีสีหน้าซับซ้อนและหวาดกลัว”

สวีจั้งยิ้ม “มดปลวกเยอะก็กัดคนตายได้ ประสบความสำเร็จพันปีหมื่นปีก็ไม่เคยปรากฏผู้เป็นอมตะ เขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นบอกว่าบรรพชนของตนเป็นผู้เป็นอมตะยุคโบราณ แต่ใครเคยเห็นผู้เป็นอมตะแท้จริงบ้าง ความกลัวคือยาเร่งที่ดีที่สุด สมดุลของต้าสุยรักษาไว้ดีมาก ไม่ต้องการสุดยอดอัจฉริยะใดปรากฏ ดังนั้น…พวกเขาจึงกลัวเผยหมินเดินก้าวนั้นได้”

เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย

“ดังนั้น…เผยหมินจึงตาย”

สวีจั้งมองเผยฝานพลางพูดอย่างจริงจัง “จักรพรรดิจัดการเรื่องงานแต่งให้เจ้า อยู่ที่เขาลั่วเจีย ป้ายคำสั่งนี่แท้จริงคือป้ายคำสั่งแต่งงาน ส่วนเรื่องของตระกูลเผย…เผยหมินฝ่าฝืนคำสั่ง เขาศักดิ์สิทธิ์ปราบปราม เป็นเรื่องราวง่ายๆ แค่นี้”

เผยฝานเงียบ

นางนำป้ายคำสั่งเขาลั่วเจียที่มองว่าเป็นสมบัติมาตลอดสิบปีออกมาเงียบๆ ก่อนปาลงพื้นดังปัง จากนั้นถ่มน้ำลายใส่

หนิงอี้อึ้งไปก่อน จากนั้นพูดด้วยความโกรธ “นี่มันบ้าอะไรกัน…เรื่องงานแต่งเฮงซวยอะไรนี่ ข้าไม่เห็นด้วย!”

สวีจั้งเห็นท่าทีโต้ตอบของสองคนแล้วก็กลั้นขำไว้ไม่ได้

เขาขยับตัวช้าๆ ก้มตัวยื่นมือมาหยิบป้ายคำสั่งนั้นขึ้นมา เอาแขนเสื้อเช็ดๆ แล้วพิจารณาอย่างละเอียด

สวีจั้งมองหนิงอี้ก่อนยิ้มเย้าหยอก “นี่เจ้าก็เชื่อด้วยรึ งานหมั้นเป็นความจริง แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาลั่วเจีย ตอนให้ป้ายคำสั่งงานแต่งมา เผยหมินก็บีบแตกไปแล้ว

คืนนั้นเมฆลมเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ เจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์มากันพร้อมหน้า นอกจากเจ้าเขาลั่วเจียกับเจ้าเขาสู่ซานแล้ว ขุมอำนาจอื่นแทบจะมากันครบ ป้ายคำสั่งลั่วเจียนี่คือป้ายคำสั่งศิษย์สายตรงที่เผยหมินให้ไว้กับบุตรสาว ตระกูลเผยยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะเผยหมินค่อยๆ เข้าใกล้เส้นตายของราชวงศ์ต้าสุยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นบอกว่าป้ายคำสั่งนี้เป็นตัวจุดชนวนสุดท้าย…ก็ใช่ว่าจะไม่เหมาะสม”

“ราชวงศ์ต้าสุยยอมให้ตระกูลเผยผูกสัมพันธ์กับเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อีก” สวีจั้งโยนป้ายคำสั่งกลับไป “ดังนั้นพวกเขาจึงลงมือ”

“ข้าพาเด็กหญิงหนีไป ป้ายคำสั่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งยืนยัน นางพกไว้ติดตัว ต่อให้ทำหายไป นางก็ไปที่เขาลั่วเจียได้ ฐานะศิษย์ของเจ้าภูเขาจะปกป้องชีวิตนางได้”

เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบ สวีจั้งก็พบว่าเด็กหนุ่มเหมือนจะไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อครู่เท่าไร

หนิงอี้นั่งในค่ำคืนที่มืดมิด นั่งตัวตรง จ้องสวีจั้ง

สวีจั้งย่อมรู้ว่าเด็กหนุ่มคิดอะไรในใจ

เขาหรี่ตาลง “ถ้าเจ้าทะลวงขอบเขตที่สิบ ข้าจะไประเบิดเมืองหลวงต้าสุยกับเจ้าเป็นอย่างไร ตอนนี้เจ้ายังไม่ทะลวงขอบเขตแรกด้วยซ้ำ จะแบกรับภาระหนักบนบ่าไหวได้อย่างไร”

หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “แล้วข้าต้องทำอย่างไร”

สวีจั้งพูดนิ่งๆ “ง่ายมาก ฝึกบำเพ็ญกับข้า เมื่อโอกาสมาถึง เจ้าจะรู้ทุกอย่างเอง”

หนิงอี้ถามอีก “รายละเอียดเป็นอย่างไร”

สวีจั้งตอบเบาๆ “เผยหมินบอกข้าว่าจงเป็นคนโอ้อวด แต่จงทำอะไรเงียบเข้าไว้ เจ้าหรุยบอกข้าว่าจงเป็นคนเงียบแต่ทำอะไรโอ้อวด ข้าคิดว่าพวกเขาสองคนพูดมีเหตุผล ดังนั้นข้าจึงเป็นคนโอ้อวด และทำอะไรก็โอ้อวดเช่นกัน”

หนิงอี้ขมวดคิ้ว “ดังนั้นพรุ่งนี้เราจะบอกทั้งต้าสุยว่าสวีจั้งกลับมาแล้วรึ”

“ไม่…ไม่ใช่แน่” สวีจั้งปวดหัวนิดๆ “ต่อมาข้าก็พบว่าคนพวกนั้นที่เป็นคนโอ้อวด ทำอะไรโอ้อวด นอกจากข้าสวีจั้งแล้วตายกันหมดเลย ดังนั้นนับจากนี้ไป เราจะเป็นคนเงียบๆ ทำอะไรก็เงียบเข้าไว้”

หนิงอี้เงียบ

……………………..