ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 15 ทำไหวกับทำไม่ไหว

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 15 ทำไหวกับทำไม่ไหว

“ต้าสุยคือเจ้าของแผ่นดินนี้ ไม่ว่าจะเขาวิญญาณแดนบูรพาหรือสำนักเต๋าเทือกเขาประจิม ไม่ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ใด เขาศักดิ์สิทธิ์ใด หยิบยกออกมามัดรวมกัน ในบางระดับก็ยังเป็นบริวารใต้บัญชาของต้าสุย

สำนักเต๋าและฝ่ายพุทธในดินแดนห่างไกล เพราะความทะเยอทะยานบางอย่างจึงไม่ค่อยถูกราชวงศ์ต้าสุยปกครองเท่าไร แต่ในเขตดินแดนกลาง…เขาศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ จะทำการใดไม่ได้มีอิสระขนาดนั้น” สวีจั้งพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปเล็กน้อย

“สังเกต ข้าพูดว่าไม่ได้มีอิสระขนาดนั้น แม้กฎหมายของราชวงศ์ต้าสุยจะสั่งหยุดฆ่าคนวางเพลิงอย่างชัดเจน ทั้งยังบอกว่าฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต…แต่ในโลกผู้บำเพ็ญ หากกระบี่เจ้าเร็วพอ หมัดแข็งพอ มีเบื้องหลังใหญ่พอ ฆ่าคนแล้วก็ไม่ต้องคิดเรื่องกฎหมาย”

สวีจั้งเอ่ยนิ่งๆ “อิสระในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอิสระของตัวบุคคล แต่เป็นอิสระของทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์ สำนักเต๋าช่วยคนธรรมดาในอาณาเขตเทือกเขาประจิมได้ ยกเขาขึ้นตำแหน่งสูงสุดได้ง่ายดายมาก กระทั่งตอนที่เข้าราชวงศ์ต้าสุยไปรับการชะล้าง ยังอยู่ระดับเดียวกับจักรพรรดิท่านนั้น เพียงแค่ก้มหัวลงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาศักดิ์สิทธิ์อื่นไม่มีอำนาจเช่นนี้”

ตั้งแต่ตื่นมา สวีจั้งเก็บของแล้ว นอกจากพินิจเหมันต์ที่มัดไว้อย่างดีแล้ว เขายังไปหาซื้อผ้าคลุมใหญ่สีดำตัวใหม่ที่ร้านค้า เช่าม้ามาสองตัว ตรงเส้นแบ่งเขตของเทือกเขาประจิมกับต้าสุยมีพายุทรายรุนแรงมาก ที่ราบกับทะเลทรายรกร้างตัดสลับกัน บางที่ขี่ม้ายาก สามคนต้องจูงม้าสองตัวเดินไปในทะเลทรายใหญ่อย่างยากลำบาก

สัมภาระของหนิงอี้อยู่บนม้า ผ้าดำสะท้อนแสงมันวาว เด็กหญิงเท้าบาดเจ็บเล็กน้อย เกาะบนหลังม้า สามคนมีสีหน้าตื่นเต้นในความเหนื่อยล้า…เหมือนพ่อค้าเดินเท้าที่ทำกำไรมหาศาล

“เทือกเขาประจิมนับถือสำนักเต๋าได้ แดนบูรพานับถือเขาวิญญาณได้” สวีจั้งพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ในดินแดนกลาง คนธรรมดาพวกนั้นก็ดี เขาศักดิ์สิทธิ์ก็ดี พวกเขาไม่มีความเชื่อไม่ได้ ขอเปลี่ยนคำ…พวกเขาได้แต่เชื่อเท่านั้น”

“จักรพรรดิ” หนิงอี้เติมคำที่อ่อนไหวบางอย่างลงไป เขาขมวดคิ้วขึ้น “จักรพรรดิไม่อนุญาตให้ในสายตาเขาปรากฏตัวแปรที่คุกคามถึงอำนาจจักรพรรดิเขาได้”

“ใช่…เพราะสำนักเต๋ากับเขาวิญญาณห่างไกลมาก พวกเขาถึงรอดมาได้” สวีจั้งพูดปลงเสียงเบา “นี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การขบคิด ข้าวิจารณ์อะไรเกินไปไม่ได้ ดังนั้นขอพูดไว้เท่านี้”

หนิงอี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เริ่มตั้งแต่กำแพงเมืองชายแดนประจิมของต้าสุย ลากเป็นเส้นตรงไปถึงแดนบูรพา ตระกูลขุนพลที่เฝ้าชายแดนสองตระกูล ตรงกลางห่างสามหมื่นหกพันลี้” สวีจั้งหันมามองเด็กหนุ่มที่กำลังจูงม้าและเกร็งไปทั้งครึ่งตัวบน พูดอย่างจริงจัง “ต้าสุยใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ”

“ตอนที่ปู่ทวดจักรพรรดิสถาปนาอาณาจักรขึ้น ได้กดดันเผ่าปีศาจไปถึงทะเลพลิกผันแดนเหนือ เขาถูกคิดว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับเทพเจ้า ควรจะเป็นอมตะไปชั่วนิรันดร์ ปกครองอาณาจักรนี้ไปตลอด”

ตอนที่สวีจั้งพูดถึงประวัติศาสตร์เก่าแก่ยังคิ้วขมวด “เหตุผลที่ไม่รู้นาม…อาจจะเป็นเพราะต้องเสริมความแกร่งของค่ายกลทะเลพลิกผันกระมัง ไม่ใช่แค่ปู่ทวด การคงอยู่แข็งแกร่งมากมายทยอยกันตายลง สายเลือดของราชวงศ์ต้าสุยแกร่งมาก จักรพรรดิองค์แรกถูกสงสัยว่าเป็นผู้บำเพ็ญระดับอมตะ สายเลือดแข็งแกร่งที่เขาฝากไว้ ทำให้พวกเขาปกครองแผ่นดินใหญ่นี้มาตลอด นับจากหลังไปข้างหน้า ไม่มีใครรู้ว่ากี่ปีมาแล้ว นับจากหน้าไปข้างหลัง…ข้ารู้สึกว่าอาจจะไม่ได้นานเท่าไร”

“เสริมความแกร่งของค่ายกลเลยตายรึ” หนิงอี้คิดว่าข้ออ้างเช่นนี้พบเห็นได้บ่อยในตำราจริงๆ ไม่ใช่แค่คุ้นตา แต่ยังไร้สาระ เขาจึงส่ายหน้า “ท่านบอกว่าจักรพรรดิองค์แรกแห่งต้าสุยเป็นอมตะ…อมตะคืออะไร”

“ข้าไม่เคยบอกว่าจักรพรรดิแห่งต้าสุยเป็นผู้บำเพ็ญที่บรรลุถึงระดับอมตะ ข้าแค่อยากบอกว่าเขาไม่ควรตายไปง่ายๆ เช่นนี้…แม้จักรพรรดิท่านนั้นจะสังหารผู้บำเพ็ญเผ่าปีศาจระดับอมตะสองตนด้วยตนเองตอนอยู่ทะเลพลิกผัน แต่ในบันทึกประวัติศาสตร์ จักรพรรดิองค์แรกบอกด้วยตนเองว่าเขาไม่เป็นอมตะ”

สวีจั้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ส่วนอมตะนั้นที่เจ้าจะถาม…เป็นขอบเขตพลังบำเพ็ญอย่างหนึ่ง ขอบเขตบำเพ็ญที่สูงที่สุด

การฝึกบำเพ็ญก็เพื่อให้คนกลายเป็นไม่ใช่คน มดปลวกเงยหน้าขึ้นมองผืนดาราข้างบน ดาราอมตะคงอยู่นิรันดร์ ใจมุ่งไปข้างหน้า ดังนั้นพวกเขาถึงอยากเป็นดาวหนึ่งในนั้น

ทุกคนต้องตาย แต่บางคนไม่อยากตาย ดังนั้นพวกเขาจึงอยากมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์

คนต้องตาย หากคนส่วนน้อยยิ่งสำเร็จบนเส้นทางอมตะ สุดท้ายพวกเขาจะยืนบนฟ้า เป็นดาวที่เด่นตาบางดวง ได้รับชีวิตนิรันดร์…พวกเขายังถือว่าเป็นคนหรือไม่ล่ะ”

หนิงอี้เม้มริมฝีปาก อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป

เขามีหลายคำถามอยากจะถาม แต่ก็อดกลั้นไว้

เขาเพียงแค่ตอบกลับอย่างกลัดกลุ้มใจ “คนที่ไม่ตายน่าจะไม่เรียกว่าคนแล้ว”

“แน่นอนว่าไม่ใช่คน แต่เป็นเทพ” สวีจั้งชำเลืองตามองเขาทีหนึ่ง ไม่ได้เกรงกลัวใดๆ เลย แต่กลับขานรับอย่างเกียจคร้าน “นี่…ก็คืออมตะ”

พายุทรายถาโถม เผยฝานที่เกาะบนหลังม้าตลอด เอาสองมือยันคาง ฟังอย่างออกรส นางถามมาตรงๆ

“เป็นดาวบนฟ้าแล้ว หรือว่าจะไม่ต้องตายกัน”

ถามคำถามแรกที่หนิงอี้จะถามออกมา

สวีจั้งจูงม้า ไม่หันกลับมา “ไม่”

เผยฝานถามต่อ “เช่นนั้นผู้เป็นอมตะที่ไม่ตายชั่วนิรันดร์นั่น ถูกปู่ทวดจักรพรรดิสังหารได้อย่างไร”

สวีจั้งตัวแข็งค้าง

นี่กลายเป็นเรื่องราวที่ขัดแย้งกัน

อมตะที่ไม่มีวันตายชั่วนิรันดร์ถูกจักรพรรดิองค์แรกสังหารได้อย่างไร

สวีจั้งจูงม้าอยู่ข้างหน้า เขายื่นมือมาข้างหนึ่ง รวบเส้นผมเทาที่สะบัดอยู่ตรงหน้าผากทัดไว้หลังหู จากนั้นพบว่าคำถามนี้…น่าสนใจมากจริงๆ

“บางทีอาจเป็นเพราะจักรพรรดิองค์แรกใช้กระบี่ ผู้บำเพ็ญที่ใช้กระบี่มักจะแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญอื่น” สวีจั้งตอบแบบขอไปที “อืม ต้องเป็นเช่นนี้แน่ หยุดถามเรื่องนี้ได้แล้ว”

หนิงอี้มองค้อน ใจนึกว่าการอมรมสั่งสอนของผู้อาวุโสคนนี้ตามใจตนเองจริงๆ

กลางทะเลทราย ทั้งสามคนไม่มีเรื่องที่จะพูดคุยแล้ว ได้แต่เดินหน้าต่อไปเงียบๆ

หนิงอี้จูงม้าสีน้ำตาลอ่อน รู้สึกถึงแรงต้านทานมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ ต่อให้กินไข่มุกตะวันคร้านห้าร้อยปีเข้าไป และยังมีโอสถม่วงเร้นพันเม็ดของโจวโหยวก็รู้สึกถึงความลี้ลับของการบำเพ็ญเสี้ยวหนึ่ง ไม่รู้ว่าห่างจากสามขอบเขตแรกเท่าไร

ทรายพัดผ่านเต็มฟ้า เดินไปราวสองสามชั่วยามแล้ว หนิงอี้มีนิสัยหนักแน่นมาก แต่ขาเริ่มไม่ฟังคำสั่ง สวีจั้งที่อยู่ข้างหน้ายังคงรักษาความเร็วไม่เปลี่ยน สันหลังเหยียดตรง ชุดคลุมตัวใหญ่สะบัดไปข้างหลัง ดูไม่เหมือนคนจะตายเลยสักนิด…นอกจากความถี่จังหวะก้าวแล้ว หนิงอี้รู้สึกว่าความเร็วในการเดินหน้านั้นเร็วมากจริงๆ

ลำคอเขาแห้งผาก เผยฝานจะให้หนิงอี้ขึ้นม้าหลายครั้ง ตนจะลงไปจูงเอง แต่ก็ถูกปฏิเสธ

ลำบากบนเส้นทางฝึกบำเพ็ญ รวมถึงความไม่ราบรื่นมากมายระหว่างทาง ก้นบึ้งหัวใจหนิงอี้มีความร้อนใจและกังวลเสี้ยวหนึ่ง เขามองชุดคลุมดำนั้นเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จึงกัดฟันจูงม้าสีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่เดินหน้าไป

“ผู้อาวุโส ข้าควรทะลวงขอบเขตพลังอย่างไรดี”

สวีจั้งตกใจเล็กน้อย เขามองเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาพลางพูดง่ายๆ “กิน”

เมื่อพูดจบ สวีจั้งก็เริ่มเร่งความเร็ว

ม้าใหญ่สีดำนั้นที่สวีจั้งจูงเหมือนตกใจ รู้สึกถึงทรายที่จมลงใต้เท้าเรื่อยๆ ร่างใหญ่ก้าวเท้าเร็วและสั้นด้วยท่าทางน่าอายตามสวีจั้งไป

“ผู้อาวุโส กินอะไร”

สวีจั้งหรี่ตาลง มองเด็กหนุ่มที่เดินหน้าไปพร้อมกับตน ม้าสีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่กับม้าดำตัวใหญ่ ม้างามที่ก้าวเร็วและสั้นสองตัวนี้มองหน้ากัน ก่อนจะเร่งฝีก้าวอย่างกระดากและไม่เสียธรรมเนียม

“ไข่มุกตะวันคร้านห้าร้อยปีไม่ไหว เช่นนั้นก็กินพันปี โอสถม่วงเร้นพันเม็ดไม่พอ เช่นนั้นก็กินสองพันเม็ด”

“ผู้อาวุโสพูดได้น่าฟังจริง…กินที่ใด กินของใคร”

สวีจั้งพลันหยุดเดิน

หนิงอี้หอบหายใจแรงพลางปล่อยมือที่จูงเชือกอยู่ ก้มตัวลง เอาสองมือกดตรงหัวเข่า ฝ่ามือโดนเชือกเสียดสีจนเป็นแผล ทรายละเอียดปะปนเข้าไป เลือดซึมออกมา เขาคว้าเชือกไว้อีกครั้ง อาศัยแรงพักผ่อน หัวเข่าทั้งสองข้างเป็นจุดสีแดง

เผยฝานเห็นเช่นนั้นก็เงียบ

“ไม่ใช่ของข้าแน่…ข้ายากจน เจ้ากินข้าทั้งตัวก็ยังทะลวงพลังไม่ได้” สวีจั้งปรายตามองคราบเลือดสีแดงทีหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “พักเถอะ”

เด็กหนุ่มแสยะปากหัวเราะเงียบๆ

สวีจั้งพลันเอ่ยขึ้น “อย่าสู้สุดชีวิตโดยไม่จำเป็น เหนื่อยก็บอก อยากพักก็พัก”

หนิงอี้ไม่ตอบ แต่เขย่งเท้าลูบศีรษะเผยฝานด้วยรอยยิ้ม

“รู้ว่าทำไม่ไหวก็ละทิ้ง” สวีจั้งมองหนิงอี้ “เขาเรียกฉลาด”

หนิงอี้ลูบศีรษะเผยฝานพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสพูดเล่นแล้ว…ต่อให้ผู้อาวุโสเร็วกว่านี้ เดินสองชั่วยาม ข้าก็ยังตามทัน”

สวีจั้งหรี่ตาลง พูดด้วยความโกรธนิดๆ “ข้าทำได้อยู่แล้ว แต่เจ้าอยากตายรึ”

หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้แค่ว่าจะโดนผู้อาวุโสทิ้งห่างไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็จะไม่ได้กิน และยังถูกคนอื่นกินได้ง่ายด้วย โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ข้าไม่อยากพลาด ส่วนเรื่องรู้ว่าทำไหวหรือทำไม่ไหว…ข้าไม่เคยคิด ในโลกของข้ามีแค่ทำได้กับทำไม่ได้”

ใช้ชีวิตอยู่ในอารามเทือกเขาประจิมมาสิบปี หนิงอี้อายุยังน้อยมากก็ไปรับจ้างให้คนอื่น มักจะยุ่งนู่นนี่ทั้งวันแต่ไม่ได้อะไรเลย เมืองไร้มลทินวุ่นวายมาก มาถึงช่วงท้ายก็ไม่มีใครจ้างเด็กกำพร้าอย่างหนิงอี้

หนิงอี้ได้แต่ไปขโมย

หากขโมยได้ของก็มีกิน

หากขโมยไม่ได้ก็ได้แต่หิว

การรับรู้ของเด็กหนุ่มจริงๆ แล้วง่ายมาก

หลังเอ่ยคำพูดนี้ออกไป หนิงอี้มองสวีจั้งด้วยความตึงเครียดนิดๆ ใบหน้าบุรุษเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน คิ้วกระบี่ยกขึ้น เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

พินิจเหมันต์ข้างหลังสวีจั้งเริ่มสั่นไหว

เขานึกถึงอดีตที่ไม่เด็ดขาดพอบางอย่าง นึกถึงบางคำพูดที่โจวโหยวพูดกับตนตอนแยกกัน

สุดท้ายสวีจั้งมองหนิงอี้ ยื่นมือมาข้างหนึ่ง วางบนศีรษะเด็กหนุ่ม

จากนั้นกดลงเบาๆ แล้วลูบ

“เจ้า…อืม ดีมาก”

………………………….