ตอนที่ 16 เกิดในความทุกข์ ตายในความสงบ
“เขาสู่ซานห่างจากเทือกเขาประจิมไม่ไกล สำนักเต๋ากับเราเป็นพันธมิตรกัน หากไล่ลึกลงไปก็อาจจะเป็นเหตุผลของเจตนารมณ์คนใหญ่คนโตทั้งสอง เล่าลือว่าเมื่อนานมาแล้ว สำนักเต๋ากับเขาสู่ซาน…มีความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่าง”
หลังออกจากทะเลทรายก็สบายขึ้นมาก
ในที่สุดหนิงอี้ก็ไม่ต้องจูงเชือก แต่ขึ้นบนหลังม้า เพราะเนื้อฝ่ามือแตก เผยฝานจึงกุมบังเหียนแทนเขา ขี่ม้าสีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่อย่างระมัดระวัง ขนาบข้างกับสวีจั้ง
ระหว่างทางนอนกลางดินกินกลางทราย หนิงอี้พลันรู้สึกว่า…ตอนนั้นที่ตนจะใช้เงินสี่ร้อยตำลึงพาเผยฝานข้ามเทือกเขาประจิมไปต้าสุย เป็นการกระทำที่ไร้ความรู้เลยไม่เกรงกลัว
ตามที่สวีจั้งบอก สี่ร้อยตำลึงเงิน…การจะข้ามกำแพงเมืองแดนตะวันตกก็เป็นเรื่องยากแล้ว เพราะตนเป็นประชากรของเทือกเขาประจิม การจะมาต้าสุยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเพราะเป้าหมายใด มาหาเงินหรือไม่ จะต้องผ่านการขูดรีดต่างๆ อย่างน้อยก็ต้องจ่ายไปสองร้อยตำลึงเงินเพื่อหาเส้นสาย
อาหารแห้งกับอาหารที่เตรียมในสัมภาระตน เพราะจู่ๆ ฝนตก ทั้งยังไม่มีที่บังฝน แค่สามวันก็ชื้นหมด เดินไปนอกป่า พักอยู่หกเจ็ดวัน แทบจะไม่เห็นเงาคน ยิ่งห่างจากเทือกเขาประจิม อารามที่ใช้ค้างแรมหลบฝนได้พวกนั้นก็ยิ่งน้อยลง ต้องเดินอ้อมเมืองห่างไกลผู้คนไปหลายเมือง
ลำบาก
ชีวิตที่วันทุกข์ผ่านไปวันสุขก็เข้ามาอยู่ ‘เมืองสันติ’ ที่หนิงอี้กับเผยฝานจะไปถึงในวันนั้น
“ใต้เขาสู่ซานมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง และยังมีเมืองเล็กมากมาย” สวีจั้งขี่ม้าหยุดอยู่ตรงปากทางเข้าเมือง ใบหน้าใต้ผ้าคลุมดำมีความเหนื่อยล้าสามส่วน เขาพูดเสียงเบา “ในระยะโดยรอบสามพันลี้อยู่ในพื้นที่ขุมอำนาจใต้การปกครองของเขาสู่ซาน ข้าสู้ไม่ไหว เดี๋ยวค่อยกลับมา พวกลูกน้องพวกนั้นรู้ว่ามันไม่ง่ายที่ข้าจะสังหารคนข้างนอก เลยช่วยข้าจับตามองคนใหญ่คนโตของเขาศักดิ์สิทธิ์”
หนิงอี้ตกใจเล็กน้อย ใจคิดอาจารย์อาท่านเป็นหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เดินในใต้หล้าไม่ใช่รึ หนีตายสิบปี เหตุใดสู้ไม่ไหวถึงยังมีฐานให้กลับไปพักอีกล่ะ นี่ต่างจากภาพลักษณ์ระเหเร่ร่อนไร้ที่พึ่งที่ท่านบอกมากเลยนะ!
สวีจั้งพูดเสียงเบา “ข้ากับเขาสู่ซานไม่มีความแค้นต่อกัน การทรยศออกจากเขาสู่ซาน…เพียงเพื่อตัดความสัมพันธ์กับเขาสู่ซาน เพื่อไม่ให้ศัตรูพวกนั้นมายุ่งเกี่ยว แล้วจะทำร้ายพวกอาจารย์ไปด้วย”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาสู่ซานที่ถูกท่านสังหารด้วยกระบี่เดียวนั่นล่ะ”
“เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวเท่านั้น” สวีจั้งโบกมือ “คนพวกนั้นในรุ่นเดียวกัน ใครที่คิดสังหารข้าถูกข้าฆ่าหมดแล้ว ส่วนศิษย์สู่ซานรุ่นเยาว์…หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวกเขามองข้าเป็นแบบอย่าง”
หนิงอี้สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย มองสวีจั้ง “เช่นนั้นความปลอดภัยของพวกเราตอนนี้ล่ะ”
“ไม่…เราอันตรายยิ่งกว่า”
สวีจั้งดึงสัมภาระเรียวยาวข้างหลังทีหนึ่ง มองเค้าโครงเมืองโบราณในความมืด พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ภาษิตว่าไว้ว่าเกิดในความทุกข์ ตายในความสงบ ถึงถิ่นฐานขุมอำนาจบ้านเกิดแล้ว…หากหลงลืมอยู่ข้างนอกจะถูกไล่เหมือนสุนัข เช่นนั้นสิ่งที่รอพวกเราก็มีเพียงความตายที่โหดร้าย”
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองสันติ หนิงอี้มองบุรุษที่กินจนอิ่ม ตั้งพินิจเหมันต์ไว้ด้านข้าง พิงเก้าอี้เรออย่างสบายใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหน้าโต๊ะใหญ่ จ่ายค่าอาหารไปห้าสิบทองแดงเงียบๆ ก่อนหันไปมองชามใหญ่เจ็ดแปดชามที่กองเหมือนภูเขาบนโต๊ะ บะหมี่และน้ำแกงในนั้นถูกสวีจั้งกินจนหมดเกลี้ยง
เผยฝานดื่มน้ำแกงไปครึ่งถ้วย กินอิ่มไปครึ่งท้อง จากนั้นผลักชามมาไว้หน้าหนิงอี้ที่นั่งลงอีกครั้ง มองสวีจั้งพลางพูดเสียงเบา
“นี่คือความรู้สึกที่ได้เติมเต็มกระเพาะอย่างมีความสุขรึ”
“อื้ม อร่อย…” หนิงอี้รับชามใหญ่จากเผยฝานมากินจนหมด กินไปพลางพูดปลงไปพลาง “เกิดในความทุกข์ ตายในความสงบสุข…มิน่าโจวโหยวถึงบอกว่าเขาใกล้จะตายแล้ว”
สวีจั้งไม่รู้เรื่องเลย เขาตบๆ ท้องก่อนพ่นลมหายใจยาว “ความรู้สึกนี้…เยี่ยมจริงๆ”
มือเขาถือตะเกียบเคาะโต๊ะเบาๆ มองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่กลับมาคึกคักแล้วก็พูดอย่างเฉยชา “อย่าเข้าใจผิด…นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้ากลับมาในขอบเขตขุมอำนาจเขาสู่ซานในรอบสิบปีนี้ ครั้งก่อนก็เมื่อสามปีก่อน ข้าช่วยเด็กหญิงงดงามจริงๆ ไว้คนหนึ่ง ส่งนางไปใต้เขาสู่ซาน”
ตอนสวีจั้งพูดประโยคนี้ สีหน้าเป็นธรรมชาติมาก
หนิงอี้นึกถึงคำที่ไม่จำเป็นในประโยคบางคำที่เจ้าคนบ้ากระบี่นี่พูดถึง ก่อนถามด้วยความแปลกใจ “แม่นาง…ที่งดงามจริงๆ คนหนึ่งรึ”
นึกถึงอายุของตนแล้ว หนิงอี้จึงเลือกใช้คำว่า ‘แม่นาง’
สวีจั้งตอบอืม “งดงามมาก กระทั่งสามปีมานี้ตอนที่ผ่านเขตนี้ ยังอดใจอยากไปหานางสักครั้งไม่ได้”
หนิงอี้กับเผยฝานมองหน้ากัน ต่างเห็นถึงความตกใจในแววตากัน
“ไม่ใช่ว่าจิตใจมรรคข้าไม่มั่นคง” สวีจั้งเลิกคิ้วพูด “รอพวกเจ้าไปเห็น…ก็จะเข้าใจเอง”
“ตอนนี้เราต้องทำอะไร” หนิงอี้นั่งบนโต๊ะ รู้สึกไม่ปลอดภัยนิดๆ เขากดเสียงต่ำลง “ข้าไม่สนใจแม่นางงดงามอะไรนั่น ตอนนี้ข้าแค่อยากทะลวงพลัง แล้วก็…ส่งเด็กนี่กลับไปอย่างปลอดภัย”
สวีจั้งพิงเก้าอี้มองเด็กหนุ่มพลางพูดยิ้มๆ “การทะลวงพลังใช่ว่าจะทะลวงเช้าเย็นได้? ใช้เวลาลับดาบไม่ทำให้งานตัดฟืนช้าลงหรอก ส่วนส่งเด็กนี่กลับเขาลั่วเจีย…มรดกของเผยหมินอยู่ที่นั่น ข้าย่อมส่งนางกลับไปอย่างปลอดภัย แต่ไม่ใช่ตอนนี้แน่”
สวีจั้งพลันเข้ามาใกล้ แววตาเคร่งขรึมและราบเรียบ
หนิงอี้เห็นรอยแผลเป็นกระบี่ที่ลากผ่านตรงสันจมูกบุรุษชัดเจน สะเก็ดแผลสีแดงคลุมบนรอยแผลกระบี่นั้น ดูท่าหลังจากตกสะเก็ดแล้วคงจะฉีกอีก ผ่านความเจ็บปวดมาไม่รู้กี่ครั้ง ถึงเกิดรอยแผลเป็นนี้
สวีจั้งพูดเสียงเบา “หัวใจดั่งสายน้ำหยุด รินไหลลับๆ ก่อนที่เจ้าจะฝึกบำเพ็ญ เจ้าต้องพยายามรู้จักมอง ฟังและแยกแยะ…จริงกับปลอม บางครั้งในสภาพแวดล้อมเงียบสงบก็ใช่ว่าจะปลอดภัย พวกเราเดินในเงามืด เวลาที่ปลอดภัยที่สุดกลับเป็นตอนที่อยู่ในแสงสว่าง”
บุรุษพลันลุกขึ้นยืน เป่าปากเสียงดังต่อหน้าทุกคนในโรงเตี๊ยม ควักห้าสิบตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วตบลงบนโต๊ะ ชี้หนิงอี้ก่อนหัวเราะเสียงดัง “ท่านนี้คือนายน้อยตระกูลหลี่เมืองหุบเขาฟางข้างๆ วันนี้มาขายสมุนไพรที่เมืองสันติ ร่ำรวยแล้วเลยจะเลี้ยงสุราทุกคน”
ภายในโรงเตี๊ยมเกิดเสียงดังคึกคัก ทุกคนหัวเราะเสียงดัง โห่ร้องมีความสุข เถ้าแก่รับตำลึงเงินไปแล้วก็ยกไหสุรามาให้ทุกโต๊ะ
หนิงอี้พลันสังเกตเห็นว่าบรรยากาศไม่ปลอดภัยนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง เขาหันไปมอง สายตาที่เดิมทีมีความสงสัยหายไปอย่างเป็นธรรมชาติ กลับกลายเป็นสายตาเป็นมิตรของแขกยุทธภพล้อมรอบเขาแทน มีคนยกแก้วสุราขึ้นชนกับหนิงอี้ห่างๆ
เด็กหนุ่มชูแก้วสุราขึ้นอย่างเก้อเขิน แสร้งทำท่าทางไปอย่างนั้น ก่อนจะพูดอย่างดุดัน “ข้าไม่ใช่นายน้อยตระกูลหลี่อะไรนั่น ถ้าโดนจับได้จะทำอย่างไร”
สวีจั้งยิ้มแป้น ห้าสิบตำลึงเงินซื้อสุราได้เยอะมาก ของที่เหลือหลังจากให้ทุกโต๊ะแล้วถูกส่งมาใต้โต๊ะหนิงอี้ เขาหิ้วไหสุราขึ้นมาด้วยท่าทางอาจหาญ ดื่มหมดในทีเดียว จากนั้นมองหนิงอี้อย่างไม่รีบร้อน “ใครจะสนใจว่าเจ้าเป็นนายน้อยตระกูลหลี่ ตระกูลหวังหรือตระกูลเฉินกัน เจ้ายินดีจ่ายห้าสิบตำลึงเลี้ยงสุราพวกเขา จ่ายเงิน เช่นนั้นเจ้าคือคนมีเงิน นี่ก็พอแล้ว”
“ท่านเคยมาที่นี่…เมืองสันติมีตระกูลหลี่ที่ร่ำรวยและขายสมุนไพรเช่นนี้จริงๆ รึ”
“มีสิ” สวีจั้งมองหนิงอี้ด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เมืองสันติ ทั้งโลกหล้า ทั้งต้าสุย ล้วนมีตระกูลหลี่ที่ขายสมุนไพร เพียงแต่ตระกูลหลี่นี่แม้จะร่ำรวย แต่ไม่ได้แค่ขายสมุนไพร…เพราะทั้งโลกหล้าเป็นของพวกเขา”
หนิงอี้เงียบ
“เมืองสันติเป็นเมืองเล็กกันดาร ฆ่าคน ปล้นชิง ชีวิตที่สวยงามไม่มีให้เห็นหรอก” สวีจั้งมองหนิงอี้ “ตั้งแต่ที่เจ้าเข้าเมืองมาก็มีคนจับตามองเจ้าแล้ว รู้หรือไม่”
หนิงอี้พลันเข้าใจถึงสาเหตุของสายตาพวกนั้นแล้ว
“เจ้าหิ้วสัมภาระนั่นเหมือนเป็นสมบัติ ดูสิ ไม่ว่าสายตาจะเปลี่ยนไปอย่างไร สุดท้ายก็ยังมองกลับมา” สวีจั้งเอ่ยนิ่งๆ “สัมภาระชื้นเพราะฝน แห้งไม่ทัน เปื้อนดินโคลน นั่นหมายความว่าเจ้าเดินทางไกล เดินเท้ามา ปฏิบัติตัวเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้…ในสัมภาระนั่นจะต้องมีของมีค่ามากอยู่แน่นอน”
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “ในสัมภาระนั่นมีเงิน”
สวีจั้งยิ้ม “เช่นนั้นยิ่งดีไปใหญ่ พวกเขาไม่สนใจชีวิตเจ้า พวกเขาแค่อยากได้เงิน”
หนิงอี้เงียบไปครู่หนึ่ง “พวกเราเข้าโรงเตี๊ยม สั่งแค่บะหมี่…นั่นหมายความว่าเราไม่มีเงินเท่าไรแล้ว”
“ใช่…นี่ทำให้พวกเขาแปลกใจยิ่งกว่าเดิม หากเป็นคนจน ต่อให้กินบะหมี่ ก็คงทำใจกินเยอะขนาดนี้ไม่ได้” สวีจั้งชี้ชามใหญ่เจ็ดแปดชามที่วางตรงหน้าตน
“ดังนั้นข้าเลยเลี้ยงข้าวทุกคน บอกทุกคนว่าเจ้าเป็นนายน้อยตระกูลหลี่ สายตาสงสัยพวกนั้นหายไปทันที ทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี”
หนิงอี้เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง เขามองสวีจั้งก่อนถาม “ท่านทำเช่นนี้เพื่อคลายความสงสัย บอกพวกเขาว่าพวกเรามีเงินรึ”
สวีจั้งพยักหน้า “ไม่ใช่แค่มีเงิน แต่ยังร่ำรวยอู้ฟู้”
หนิงอี้ก้มหน้าลงพูด “หากไม่ทำเช่นนี้ พวกเขา…จะปล้นพวกเรารึ”
สวีจั้งยิ้ม “อาจจะไม่ใช่แค่ปล้น แต่จะฆ่าเลยมากกว่า”
เผยฝานเข้าใจนิดๆ แล้ว “พวกเขาเป็นโจรหรือ เลือกลูกพลับนิ่มบีบ ตอนนี้พวกเขารู้ว่าเราเป็นคนตระกูลใหญ่ พวกเราเลยลดปัญหาลงไปได้อย่างนั้นหรือ”
สวีจั้งหิ้วพินิจเหมันต์ขึ้น ชั่งน้ำหนักมือ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ตามหลักแล้ว…เป็นเช่นนั้น แต่เจ้าอาจจะประเมินระดับความโหดของโจรพวกนี้ต่ำไป พวกเขาขี้เกียจจะลงมือกับพวกปลาซิวปลาสร้อย ถึงอย่างไรเรื่องการฆ่าคนปล้นชิงพวกนี้ก็เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง หรือจะต้องสนใจเบื้องหลังของอีกฝ่ายกันล่ะ”
สวีจั้งกอดพินิจเหมันต์ หลับตาลงพักผ่อน “หนิงอี้ กินเยอะๆ หน่อย กินอิ่มจะได้มีแรงทำงาน”
หนิงอี้มองสวีจั้ง พลันนึกถึงคำถามสำคัญ จึงถามอย่างจริงจัง “ท่านเอาตำลึงเงินมาจากที่ใด”
สวีจั้งตอบด้วยความสัตย์จริง “เจ้าคือนายน้อยผู้ร่ำรวยของตระกูลหลี่ เจ้าเลี้ยงข้าวเลี้ยงสุราทุกคน ห้าสิบตำลึงเงิน…แน่นอนว่าเจ้าเป็นคนออก”
หนิงอี้ทนไม่ไหวแล้ว เขาพูดด้วยความโกรธ “ผู้อาวุโส…ท่านมันคนไร้ยางอายจริงๆ!”
สวีจั้งยิ้ม “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”
……………………..