ตอนที่ 14 ตัวต้นแบบและห้องพยาบาล
ดูเหมือนว่าวันนี้ฉันจะต้องแปลงร่างเพื่อเก็บข้อมูลอะไรสักอย่าง
พอถูกเรมะเรียกมาที่สนามฝึกใต้ดิน เขาก็ติดโปรโตเชนเจอร์ไว้ที่แขนของฉัน
คู่หูที่คอยต่อสู้ร่วมกันฉันมากว่า 2 ปี
『เอาล่ะ คัตสึมิคุง เดี๋ยวจะขอเก็บข้อมูลสูทโปรโตต่อนะ ติดเครื่องแปลงร่างไว้ที่แขนแล้วใช่ไหม』
「ตัวแปลงร่างอันนี้ปรับแต่งใหม่เหรอ? 」
『แน่นอนสิ ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ด้ายยยย ถึงจะต่างไปจากเดิมหน่อยแต่ไม่ต้องกังวล เอ้าลองดูสิ』
ฉันกดปุ่มที่อยู่ตรงเครื่องแปลงร่าง 3 ครั้งเหมือนที่เคยทำ
ดูเหมือนกระบวนการแปลงร่างจะไม่ค่อยเหมือนกับของจัสติสครูเซเดอร์เท่าไหร่เพราะพวกเธอต้องทำการตรวจสอบสิทธิ์เพื่อยืนยันในการแปลงร่างเพิ่มอีก 2 ขั้นตอนซึ่งหากไม่ใช่เจ้าตัวมาใช้คงไม่มีทางแปลงร่างได้
ต่างกับของฉันที่ไม่ว่าใครก็สามารถนำไปใช้แปลงร่างได้
『CHANGE——PROTO TYPE ZERO0……』
พอสิ้นเสียง ฉันก็แปลงร่างเสร็จแล้ว
ตอนแรกก็คิดว่ามันไม่ต่างจากสูทเดิมนัก แต่ชิ้นส่วนยิบย่อยเหมือนจะถูกใส่เข้ามา
「แขน ขา คอ เหมือนมีท่อไอเสียของรถมาติดเลยวุ้ย」
ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับของใหม่ที่ได้
『มันคือระบบที่คอยปล่อยพลังงานส่วนเกินที่สูทเก่าจะใช้ได้น่ะ』
「พลังงานส่วนเกิน? 」
『พลังงานที่นายปลดปล่อยออกมาตอนที่บดขยี้ศัตรูมันค่อนข้างหนักไปหน่อยนะ แล้วมันมีส่วนที่ไม่ได้ใช้อยู่เยอะจนน่าเสียดาย ก็เลยต้องหาทางทำให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดแทน』
เอาง่ายๆ ก็คือพลังงานที่สูญเปล่าจากสูทจะถูกเอาไปใช้อย่างอื่นแทน
ถ้านี่เป็นตัวต้นแบบไว้ใช้ทดสอบก็แปลงว่าสูทตัวถัดไปก็น่าจะติดเอาไว้เหมือนกันหรือเปล่านะ
『แม้ว่านายจะมีความเข้ากันได้กับโปรโตสูทเป็นอย่างมาก แต่สูทตัวนี้มันไม่ได้สร้างมาเพื่อนายโดยเฉพาะสำหรับคนที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้เสมอแบบนาย ฉันตั้งใจจะสร้างฟังก์ชั่นและอาวุธที่เหมาะสมกับนายมากกว่านี้』
「นี่นายหมายความว่ายังไง? 」
『ก็ตามที่พูด ฉันจะสร้างสูทที่มีแต่นายเท่านั้นใช้ได้ขึ้นมา』
ฉันไม่นึกไม่ฝันจริงๆ ว่าจะมีสูทเฉพาะเป็นของตัวเอง
แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรฉันคงต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้
『งั้นมาเริ่มการทดสอบกันเลย』
「รับทราบ」
『หากมีความเสี่ยง พวกฉันจะยกเลิกการแปลงร่างกันทัน』
การเคลื่อนไหว ไม่ติดอะไร
ในขณะที่ฉันเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น กลไกที่ติดอยู่กับ แขน ขา คอ ก็เริ่มทำงาน กลุ่มพลังงานสีขาวได้ถูกปล่อยออกมาคล้ายกับหาง
「โห!」
『เยส อย่างที่คิด! เอาละทีนี้ก็ขอให้ใส่สุดเลย ปล่อยใจให้สบายแล้วปลดปล่อยออกมาซะ!』
ฉันพุ่งจากจุดที่ยืนอยู่และวิ่งสุดแรง
โดยปกติแล้วมันจะเกิดเรื่องเฉื่อนขึ้นเมื่อความเร็วพุ่งในชั่วขณะ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรมาหยุดได้เลย
ไม่ว่าจะวิ่งบนพื้น ไต่กำแพง วิ่งบนเพดาน ความเร็วในการเคลื่อนที่ของฉันก็ยังอยู่ในระดับสูงสุดราวกับพื้นที่ไม่ได้มีผลอะไร
「ความเร็วนี้มัน……!」
ฟูววววว!! หางสีขาวที่ออกมาจากท่อเหมือนจะมีส่วนเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว
『เอาละ ต่อไปก็ลองซ้อมมือเบาๆ ละกัน』
หุ่นยนต์ร่างมนุษย์โผล่ออกมาจากพื้น
จากการทดสอบเท่าที่ฉันรู้สึก ตอนที่เตะหัวหุ่นให้หลุดปกติมันจะมีจังหวะหน่วงนิดหน่อย แต่ของใหม่มันทำให้ฉันกำจัดทุกตัวที่โผล่ออกมาได้อย่างลื่นไหล
หลังจากเก็บมันหมดแล้ว ฉันก็หยุดอยู่กับที่
『ผลเป็นยังไงบ้าง? 』
『ศัตรูจำลองทั้งหมดถูกกำจัดภายใน 2.31 วินาที….สุดยอดไปเลยค่ะ』
「เอาเรื่องวุ้ย」
ชิ้นส่วนเพิ่มเติมที่ติดอยู่บริเวณลำตัวปล่อยควันอกมาราวกับกำลังกระจายความร้อน ก่อนที่มันจะร่วงลงสู่พื้น
「อ๊ะ เดี๋ยวนะ อย่าบอกว่าพังแล้ว!? 」
『ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันปลดมันออกเอง ดูเหมือนว่ามันจะทนพลังของมันไม่ได้เฉยๆ น่ะ』
「เข้าใจแล้ว…ค่อยโล่งหน่อย……」
คงจะแย่น่าดูหากทำมันพัง…..
แน่ใจเหรอว่านี่แค่ตัวต้นแบบ? ฉันคิดว่ามันทำงานได้ค่อนข้างดีเลยนะ
『ของที่ติดมาเพิ่มยังไม่เสร็จน่ะ ยังขาดๆ เกินๆ จากที่หวังไว้ไปประมาณ 30% นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันอยากจะเก็บข้อมูลเพื่อสร้างผลงานชิ้นเอกยังไงล่ะ สิ่งที่เหนือกว่าจินตนาการรออยู่ตรงหน้าแล้ว』
เอาจริงๆ จำเป็นต้องทำขนาดนั้นด้วยเหรอ
ส่วนตัวฉันก็พอเข้าใจหรอกว่าการต่อสู้ยังไม่จบ แต่ท่าทางของเรมะเหมือนจะรีบร้อนเกินไปหน่อย
『จริงสิ ฉันเตรียมปรับแต่งสูทของจัสติสครูเซเดอร์ด้วย โดยรวมเอาผลการทดลองของนายมาด้วย ทั้งหมดก็เพื่อสันติภาพของโลกใบนี้』
เรมะพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
พอได้ยินเสียงของพวกนักวิจัยที่อยู่ข้างหลังเรมะด้วย ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าหมอนี่เป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ได้คนนึง
『เอาละ ไปขั้นถัดไปดีกว่า เจ้าหน้าที่เทคนิคพิเศษโอโมริคุง จัดการได้เลย เอาไอ้นั่นติดไปด้วยนะ』
『ไอ้บ้าเอฟเฟคพิเศษ! ไม่เอาย่ะ! เอ่อ อัศวินดำคุง เดี๋ยวฉันจะส่งอุปกรณ์ต้นแบบอันถัดไปให้นะ』
「ครับ เข้าใจแล้ว…จริงสิ ขอบคุณสำหรับวาราบิโมจิที่ให้ผมเมื่อ 3 วันก่อนนะครับ」
『! มะมะไม่เป็นไรหรอก ขอแค่นายชอบฉันก็ดีใจแล้ว』
ขณะที่ขอบคุณคุณโอโมริ ฉันก็หยิบกล่องที่ผุดออกมาจากกำแพง
พอวางมันลงพื้นแล้วกดปุ่มเกิด ภายในนั้นก็ปล่อยควันออกมาก่อนจะปรากฏอุปกรณ์ต้นแบบชิ้นใหม่
『……….สักวันเธอคุงได้โดนผู้ชายไร้ประโยชน์เกาะกินเอาแน่』
『ใครมันจะไปยอมโดนคนแบบนั้นหลอกกันยะ ที่ให้ไปก็เพราะรู้สึกขอบคุณเขาเท่านั้นเอง』
ฉันเอาอาวุธในกล่องออกมา
ถุงมือ? แล้วก็หมวกที่คล้ายกับหน้ากากอเมริกันฟุตบอลติดมาด้วย นี่อาวุธฉันเหรอ
『ด้วยออร่าแปลกๆ ที่ปล่อยออกมาจากดวงตา บวกกับอายุ 25 แล้วก็ยังโสด――』
『หัวหน้า อยากให้ช่วยเย็บปากนั้นไหมคะ? 』
『ขอโทษครับ……』
จากนั้นก็มีอีกหลายอย่างให้ฉันได้ลอง
เนื่องจากว่าพวกเรด เยลโล่ บลูยังอยู่ที่โรงเรียนฉันก็เลยได้ทดสอบอาวุธของพวกเธอด้วย รู้สึกเหมือนกับว่าได้ช่วยให้พวกเธอแกร่งขึ้นเลย
หลังจากทดลองอาวุธต้นแบบเสร็จ ฉันก็ไปห้องพยาบาลที่มีฮาคัว ชิราคาวะรออยู่ตามที่เรมะบอก
ท่าทางเธอจะอายุพอๆ กับฉัน ในขณะที่เธอเขียนอะไรสักอย่างในกระดาษ เธอก็เริ่มถามคำถามกับผม
「เอาละ คัตซึนเมื่อคืนหลับสบายไหม? 」
「สบายดี」
「กินอาหารล่ะ? 」
「ฉันว่าก็เยอะนะ」
「ได้ออกกำลังกายหรือเปล่า? 」
「ประมาณ 3 ชั่วโมงทุกวัน」
「———」
คำถามเดิมๆ ที่เจอประจำ
รู้สึกเหนื่อยใจแปลกๆ แต่ฉันก็ตอบไปตามตรง จากนั้นเธอก็วางแฟ้มลงบนโต๊ะก่อนถอนหายใจแบบโล่งอกออกมา
「อาการปกติดี สภาพจิตใจก็มั่นคงขึ้น หากจะออกไปข้างนอกก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วจริงๆ 」
「ใช่ว่าฉันอยากจะออกไปไหนสักหน่อย」
「ออกไปข้างนอกน่ะดีออก คัตซึนจะทำตัวเฉยเมยแบบนี้ไม่ได้นะ」
เฉยเมย…อะไรคือเฉยเมยฟะ?
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ข้างนอกมันมีอะไรให้น่าดึงดูดนักหรือไงนะ
หากไม่ได้ใส่สูทออกไปข้างนอกฉันก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะไปทำอะไรดี
「นายรู้สึกกลัวการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนขนาดเลยเหรอ? 」
「ก็ไม่เชิง……」
「นั่นสินะ งั้นนายรู้สึกกลัวที่จะต้องรู้สึกกับอีกฝ่ายใช่หรือเปล่า หากไปทำให้พวกเขาเจ็บปวดขึ้นมา」
「……」
รู้สึกหงุดหงิดเฉย
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของชิราคาวะที่จ้องมองอยู่
「ในตอนนั้นนายเลยตั้งใจจะตายสินะ」
「! ไม่ใช่ ฉันน่ะ―――」
「จะบอกว่าที่ทำไปก็เพราะอยากตายเพื่อคนอื่นเหรอ? 」
ฉันไม่สามารถพูดปฏิเสธออกไปได้ ฉันเป็นบ้าอะไรเนี่ย ใครมันจะอยากไปตายเพื่อคนอื่นกัน ทว่าฉันกลับพูดอะไรไม่ออกซะงั้น
「ฉันไม่รู้ว่านายรู้สึกตัวไหม…แต่สาเหตุที่จิตใจของนายเป็นแบบนี้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่สิมันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น」
「……」
「อย่างน้อยก็หลังจากที่สู้กับโอเมก้าเสร็จ ท่าทางของนายดูผิดปกติเป็นอย่างมาก สำหรับคนที่แข็งแกร่งแบบนายแค่พ่ายแพ้ตรงนั้นที่เดียว ถึงกับตั้งใจจะตายเลยเหรอ」
หลังจากงัดกับโอเมก้าเสร็จ ฉันก็ไปสู้กับจัสติสครูเซเดอร์ต่อ
ในตอนนั้นร่างกายจิตใจฉันเหนื่อยล้ามาก ก็เลยจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ค่อยได้
แต่ถ้าให้เดาฉันคงจะแพ้และเกิดอาการสับสนจนโพล่งอะไรไร้สาระออกไป
「มีบางอย่างที่เป็นตัวจุดชนวนใช่ไหม? 」
「ไม่รู้สิ…ฉันจำไม่ได้เหมือนกัน」
「เข้าใจแล้วจ้า ขอโทษที่ถามแปลกๆ ละกัน อ๊ะนั่นสินะ ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งเกินเส้นที่นายขีดไว้ แต่เอาเป็นว่าพัฒนาการทางจิตใจของนายก็เริ่มถูกทางละแหละ」
ชิราคาวะสางผมขณะพูดพอโทษฉัน
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องต้องให้ขอโทษสักหน่อย ฉันไม่ได้โกรธอะไรด้วย
เอาเป็นว่าตอนนั้นฉันคงสูญเสียความเป็นตัวเองไปจริงๆ
「ถึงอาจจะดูเหมือนฉันยุ่งมากไปหน่อย แต่ฉันคิดว่านายควรจะเปิดใจรับสิ่งที่สำคัญเข้ามาให้มากกว่านี้หน่อยนา 」
「……จะเก็บไปคิดละกัน」
「ถ้าพยักหน้ารับคงน่ารักน่าดู เอาละ คัตซึนมากินขนมฆ่าเวลากันดีกว่า」
ชิราคาวะพูดขณะหยิบบางอย่างออกมาจากตู้ที่อยู่ตรงเท้าของเธอ
ระหว่างนั้นประตูห้องพยาบาลก็ถูกเปิดขึ้น
「โอ๊ โอ….หืมมม หายากนะเนี่ยที่นายจะมาโผล่ที่นี่」
「ฉันอยากจะคุยกับเขา…ขอยืมใช้ห้องหน่อยละกัน ว่าแต่ทำไมเธอถึงเอาขนมกลับไปเก็บที่เดิมหลังฉันเข้ามาละเห้ย? 」
คนที่เข้ามาคือเรมะ
ทำไมชายผมบลอนด์ร่างผอมนิสัยแปลกนิดหน่อย แต่ก็ดูเป็นคนดีแบบเขามาที่นี่นะ?
หลังชิราคาวะเอาขนมที่เหมือนกับเค้กให้ฉัน เธอก็ออกจากห้องไปแล้วทางเรมะก็นั่งตรงเก้าอี้ที่เธอเคยนั่งอยู่แทน
「คัตสึมิคุงอันที่จริงฉันมีเรื่องที่ปกปิดนายเอาไว้อยู่」
「เรื่องที่เป็นมนุษย์ต่างดาวเหรอ? 」
「ไม่ใช่เรื่องนั้นเฟ้ย!!…ฟังนะ ที่จริงแล้วฉันคือผู้บัญชาการของจัสติสครูเซเดอร์และเป็นประธานบริษัทคันนะซากิ รวมไปถึงหัวหน้าฝ่ายพัฒนาที่สร้างสูทให้กับนายและสาวๆ ด้วย」
……。
「อ้อ」
「หืม ไม่โกรธเหรอ? 」
「ไม่นี่ ทางฉันต่างหากที่ต้องถูกโกรธเพราะไปขโมยสูทต้นแบบ นอกจากนี้เรมะก็ปฏิบัติตัวกับฉันเป็นอย่างดีด้วย จะโกรธได้ยังไง」
「อะเฮื้อ บริสุทธิ์เกินไปหรือเปล่า!? 」
「เรมะ!? 」
หลังเรมะพุ่งกระเด็นตกโต๊ะหมุนไปสามสลบเขาก็คลานขึ้นมาอีกครั้งและลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าด้วยความพึงพอใจ
「ขอโทษทีนะ เล่นเกินเบอร์ไปหน่อย」
「โอะ โอ้……」
เป็นวิธีรับมุกใหม่งั้นเหรอ
ดูท่าทางเรมะจะทำท่าแปลกๆ ฉันเลยตั้งใจจะเปิดประเด็นกับเขาต่อ
「นั่นสินะ」
「หือ? 」
「นายบอกว่าจะทำสูทใหม่ให้ฉันใช่ไหม? แล้วโปรโตสูทที่ฉันเคยใช้ล่ะ จะทิ้งมันหรือเปล่า? 」
เรมะดูตกใจไปพักหนึ่งกับคำถามของฉัน
ไม่นานนักเขาก็ยิ้มและส่ายหัวไปมา
「ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก อันที่จริงแกนพลังงานหลักของโปรโตสูทที่นายใช้จะถูกส่งต่อไปยังสูทตัวใหม่น่ะ」
「แกนพลังงาน? 」
「มันคือแกนพลังของสูทที่นายและพวกสาวๆ ใช้ หากขาดมันไปสูทจะไม่สามารถใช้งานได้」
ก็คือศูนย์กลางของสูทสินะ
ฉันก็รู้อยู่ว่ามันสร้างมาจากวัสดุพิเศษอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะดูล้ำเกินกว่าที่หนังไซไฟที่ฉันเคยดูขนาดนี้
「แกนพลังงานจะถูกกระตุ้นขึ้นได้จากมนุษย์ที่ใช้งานสูท ยิ่งเป็นโปรโตสูทที่นายใช้หากไม่ใช่นายคงไม่มีทางทำงานได้หรอก ไม่สิหากไม่ใช่แกนพลังงานของโปรโตสูทก็คงสร้างสูทใหม่ให้กับนายไม่ได้เหมือนกัน」
「แบบนี้นี่เอง……」
「ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลไป」
……ก็ดีไป
ส่วนตัวฉันชอบโปรโตสูทเป็นอย่างมาก เลยแอบรู้สึกดีที่แกนพลังงานของมันจะถูกนำมาใส่ในสูทใหม่
「….เอาละ ภาพจากกล้องตัดไปได้สักที เรามาเข้าประเด็นหลักดีกว่า」
เรมะมองไปยังนาฬิกา ก่อนจะหยิบเอกสารบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
เขาจ้องมองมันสักพัก แล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
「คัตสึมิคุง สิ่งที่ฉันจะคุยกับนายต่อจากนี้หวังว่าจะไม่ทำให้นายโกรธนะ」
「อะ อื้ม」
แอบสงสัยละสิว่าคืออะไร
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเรมะฉันจึงเตรียมใจแล้วว่าต้องเจอเรื่องสำคัญ
สิ่งแรกที่เขาให้ฉันดูคือรูปถ่ายของสถานที่แห่งหนึ่ง
「ในขณะที่จัสติสครูเซเดอร์กำลังต่อสู้ที่อื่น นายก็รับมืออยู่กับบางสิ่งที่ไม่ใช่พวกสัตว์ประหลาด….」
「……? หมายความว่ายังไงกัน? 」
「……คงจะลืมไปแล้วสินะ คงต้องรื้อฟื้นสักหน่อย」
ฉันเพ่งไปยังภาพถ่าย
ภายในนั้นมีเครื่องจักรที่รูปร่างคล้ายกับมนุษย์ถูกบดขยี้อยู่
ของเหลวสีน้ำเงินภายในของมันซึ่งเหมือนกับเลือด และชิ้นส่วนต่างๆ กระจายเต็มไปหมดโดยบริเวณใกล้เคียงมีเสื้อคลุมกับหมวกที่ขาดวิ่นอยู่ด้วย
「แด่ความชั่วร้ายที่มาจากโลกแห่งห้วงลึก และการพิพากษาจากต่างดาว」
「คำพูดนั้นมัน……」
คำที่ฉันเคยได้ยินจากคนในชุดคลุมสีดำตรงตรอกไม่ใช่เหรอ
ทำไมถึงมาโผล่เอาตอนนี้กันล่ะ?
「พวกมันคือกลุ่มชุดดำที่เดินทางมาจากนอกโลก….ซึ่งนายเอาชนะพวกมันลงได้」
「……หา ฉันไม่ได้เอาชนะมันนะ สิ่งที่ฉันทำคือเมินมันแล้วก็จากไปเฉยๆ 」
「ไม่เป็นไร นายไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ แค่ถามเพื่อยืนยันน่ะ」
เรมะวางมือบนไหล่ของฉัน
「ฉันรู้ว่านายคือผู้ถูกเลือกของอัลฟ่า」
「……หะ!? 」
「นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉันแปลกใจมากเมื่อรู้ว่านายฆ่าเธอไปแล้ว ทว่ากลับไม่มีใครบนโลกจำชื่อหรือตัวตนของเธอได้เลยสักคน!!」
เขารู้จากแบบทดสอบที่ฉันทำเหรอ?
ไม่สิดูจากคำพูดเขารู้มานานแล้วสินะ
「ที่ฉันเผยแพร่แบบทดสอบนั่นก็เพื่อเช็คว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ไหมและตรวจสอบท่าทีของคนทั่วไปหลังอ่านสิ่งนั้น ผลที่ได้คือฉันเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แน่นอนในที่ไหนสักแห่ง」
คำพูดของเรมะทำให้ความเจ็บปวดค่อยๆ แล่นเข้ามาในหัวฉัน
ให้ตายสิอะไรกัน? ทำไมถึงนึกไม่ออก…!
「……ฉันชนะอัลฟ่าแล้วก็จัดการกับเธอได้ แค่นั้นแหละ……」
「อ้า สิ่งที่นายทำไม่ใช่เรื่องผิดหรอก! เพราะมันคือสิ่งที่เธอต้องการ! แต่ว่าหากเธออยู่ที่นี่ก็ช่วยบอกฉันหน่อยสิ อัลฟ่า!!」
สายตาของเรมะจ้องมองไปทางอื่น ราวกับกำลังค้นหาสิ่งที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้
「การพิพากษาจากต่างดาวจะมาถึงเมื่อไหร่กัน?! ฉันมีเวลาอยู่ใช่ไหม?! ฉันสามารถช่วยโลกใบนี้ให้พ้นจากชะตากรรมแห่งความพินาศหรือเปล่า?!」
「เข้าใจแล้ว」
「จะบอกให้เอง」
「แต่ว่าก่อนอื่น ปล่อยเขาไปซะ」
***
「ประธาน ฉันว่ามันได้ก็เวลาแล้วนะที่จะกลับ…เอ่อ….」
「ประธาน ฉันว่ามันได้ก็เวลาแล้วนะที่จะกลับ…เอ่อ….」
เหมือนชิราคาวะจะกลับมาแล้ว
เรมะที่สังเกตเห็นเธอกลับมา ก็ปั้นหน้ายิ้มให้
「เอ้า ยินดีต้อนรับนะ ชิราคาวะคุง เป็นยังไงบ้าง อ๊ะ พอดีว่ากำลังคุยเรื่องหนังกับคัตสึมิคุงเพลินๆ เลย เธอสบายดีหรือเปล่า อ๊ะ ที่คุยกันคือหนังเอเลี่ยนนะ ถึงจะยังฝอยไม่ไกลเท่าไหร่นัก――」
「ฉันไม่อยากจะคุ้ยอะไรมากหรอกนะ…แต่กำลังพูดเรื่องสำคัญอยู่ใช่ไหม? 」
「แล้วหนังมันไม่สำคัญตรงหนายยย」
เรมะแสดงสีหน้าบึ้งตึงออกมา ชิราคาวะก็ปั้นหน้ายากหันมาหาฉัน
「คัตซึนนั่นจริงเหรอ? 」
「โอ้ พวกเราคุยกับเรื่องสูทกับหนังน่ะ」
「……แบบนี้นี่เอง」
เธอสงสัยที่พวกเราคุยกันเหรอ
ฉันเอียงหัวสงสัยก่อนที่เรมะจะลุกจากเก้าอี้
「อ้าว? จะไปแล้วเหรอเรมะ? 」
「อ้า ดีใจจริงๆ ที่ได้คุยกันนะมันมีความหมายกับฉันมาก แต่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้วสิฝากด้วยนะ ดร.ชิราคาวะ!」
「รีบๆ ออกไปเลยย่ะ เจ้าโรคจิตนี่」
「ทำไมต้องโหดร้ายกับฉันจังน้า……? 」
เรมะเดินไหล่ตกออกไป ส่วนชิราคาวะก็มานั่งแทน
「มีอะไรหรือเปล่า? 」
「ก็ไม่เชิง…ว่าแต่นายโอเคใช่ไหม? 」
「อื้อ ไม่มีอะไรผิดปกติ ฉันสบายดี」
「……เฮ้อ ถ้าคัตซึนว่างั้นก็แล้วไป」
ชิราคาวะเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ปล่อยผ่านไปแทน
ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องอะไร แต่เรมะก็ไม่ได้แสดงท่าทีแปลกๆ ออกมาด้วยสิ
เฮ้อ อยากจะคุยเรื่องหนังกันต่ออีกสักหน่อยจังน้า