เซี่ยเจิงรู้สึกละอายใจ

 

        ถึงขนาดมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเกลียดตัวเองที่ยืนอยู่ต่อหน้าของโจวเจ๋อหยวนเช่นนี้แต่ไม่มีแรงที่จะตอบโต้กลับไปได้ ในความหมายที่แฝงไว้นั้น โจวเจ๋อหยวนพูดได้อย่างถูกต้อง ในช่วงเวลาหนึ่งเด็กผู้ชายรอบข้างที่อยู่วัยเดียวกันก็เริ่มคุยกันแล้วว่าผู้หญิงในชั้นเรียนคนไหนสวย ใครมีรูปร่างดีที่สุด แต่เซี่ยเจิงกลับไม่เคยร่วมวงสนทนากับหัวข้อเหล่านี้เลย เขาค้นพบแล้วว่าตัวเองนั้นแตกต่าง คือไม่ได้รู้สึกสนใจผู้หญิง ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกสนใจในเพศเดียวกันมากกว่า สิ่งนี้ทำให้เขายากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้นึกถึงช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ที่น่าทุเรศนั่น ในตอนที่โจวเจ๋อหยวนดึงเขาเข้ามาใกล้ๆแล้วพูดว่า “พี่ชอบนาย”

 

        แน่นอนว่าเมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น เซี่ยเจิงก็เริ่มที่จะตรงไปตรงมากับความชอบในเรื่องเพศของตัวเองมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นการเข้ามาวุ่นวายของโจวเจ๋อหยวนก็ไม่ได้หยุดลง เซี่ยเจิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า “ความหน้าด้านไร้ยางอาย” คำแบบนี้ในวันหนึ่งจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพี่เสี่ยวหยวน แต่ในความเป็นจริงโจวเจ๋อหยวนไม่เพียงแต่เข้ามาวุ่นวายกับเขาเท่านั้น ยังเข้ามาคุกคามเขาอีกด้วย

 

        “เสี่ยวเจิง ถ้าแม่ของนายรู้ว่านายชอบผู้ชายนะ นายว่าแม่นายจะเป็นยังไง? นายทำให้แม่เสียใจอีกไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะว่าแม่นายไม่สามารถรับเรื่องที่สะเทือนอารมณ์ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”

 

        ประโยคที่บอกว่า “พี่ชอบนาย” ของโจวเจ๋อหยวนแท้จริงแล้วเป็นเพียงเสื้อโค้ทจอมปลอมที่เอาไว้ปกปิดความปรารถนาอันไร้ยางอายของเขาก็เท่านั้น

 

        “งั้นก็ได้” โจวเจ๋อหยวนเลียริมฝีปากตัวเอง ราวกับว่าเขายังกินเหยื่อตรงหน้าได้ไม่สาแก่ใจ “เสี่ยวเจิง ได้เจอนายพี่ก็ดีใจมากแล้ว แต่ว่านิสัยของนายนับวันก็ยิ่งไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นะ ครั้งหน้าก็อย่าทำแบบนี้อีกล่ะ”

 

        เงาของโจวเจ๋อหยวนหายวับไปจากปากตรอกอย่างรวดเร็ว เซี่ยเจิงมองไปยังความมืดที่อยู่ด้านหน้าแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า

 

 

 

        “ลูก! ชวีเสี่ยวปอ! ลงมานี่!”

 

        ที่จริงแล้วเวินลี่ตะโกนอยู่ด้านล่างมาหลายรอบแล้ว ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอเอาแต่ขังตัวเองไว้อยู่แต่ในห้อง ถีบขาไปมา และแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เหตุผลที่ไม่ยอมออกมานั้นง่ายมาก นั่นก็คือชวีอี้เจี๋ยมา

 

        ชวีเสี่ยวปอที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงเวินลี่วิ่งขึ้นวิ่งลง จึงรู้ได้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ช่วงนี้ชวีอี้เจี๋ยก็ขยันมาซะเหลือเกิน ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่ค่อยจะมีอิสระสักเท่าไหร่ ถ้าหากเวินลี่รู้ความคิดของเขาละก็ คงจะด่าเขายกใหญ่ว่าไม่มีหัวใจ ยังไงซะบ้าน รถ เงินที่จ้างคุณป้าแม่บ้านล้วนแล้วแต่เป็นของชวีอี้เจี๋ย แต่สำหรับชวีเสี่ยวปอการมีเวินลี่ตัวเป็นๆ อยู่ตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนชวีอี้เจี๋ยและที่เหลือให้ใส่เครื่องหมายและอื่นๆ เอาไว้

 

        “ออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เวินลี่รีบวิ่งขึ้นมาเคาะประตู ชวีเสี่ยวปอรู้ว่าถ้าเขายังไม่ออกไปละก็ เวินลี่ก็จะเคาะจนกว่าเขาจะเปิดประตูนั้นล่ะ ตอนนี้เขาถึงได้พลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง เดินลากรองเท้าทั้งยังแกล้งทำเป็นหาวอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเปิดประตูออกมา : “มีอะไรครับแม่ ผมยังง่วงอยู่เลย”

 

        “บรรพบุรุษตัวน้อยลูกดูสิว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว? ยังจะนอนอยู่อีก?” น้ำเสียงของเวินลี่ยังถือว่าไม่ค่อยดูจะติเตียนสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามดูจะตามใจซะมากกว่า “รีบไปล้างหน้าล้างตาได้แล้ว พ่อของลูกมาน่ะ”

 

        “อืม ผมรู้แล้วครับ” ชวีเสี่ยวปอตอบรับ แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำไป

 

        ชวีเสี่ยวปอล้างหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก แล้วเขาก็เปิดก๊อกน้ำให้น้ำไหลออกมาน้อยที่สุดและปล่อยให้น้ำไหลไปอย่างช้าๆ แต่ตัวเขาเองกลับไปนั่งอยู่บนชักโครกที่ปิดฝาลง และเริ่มเหม่อลอย

 

        เวินลี่มีความสุขมาก แม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะนั่งเหม่ออยู่ในห้องน้ำบนชั้นสอง แต่ก็ยังได้ยินเสียงแม่ของเขาพูดคุยกับชวีอี้เจี๋ยอย่างมีความสุข ในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอเริ่มรู้สึกว่าความจริงแล้วที่เหลือที่ว่านี้ ก็คือตัวเขาเอง

 

        ก็แค่นั่งอยู่ในห้องน้ำราวๆ สิบห้านาทีเอง ในที่สุดเวินลี่จึงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง : “ชวีเสี่ยวปอลูกตกชักโครกไปแล้วหรือไง? ” และแล้วชวีเสี่ยวปอจึงยอมลุกขึ้นมา แกล้งทำเป็นกดชักโครก และตะโกนไปว่า “มาแล้วๆ !”

 

        “เด็กก็เป็นแบบนี้แหละ ชวีจิ่งก็เป็น เล่นมือถือในห้องน้ำเล่นได้เป็นชั่วโมง” ขณะที่ชวีเสี่ยวปอเดินลงมาก็ได้ยินที่ชวีอี้เจี๋ยพูดเข้าพอดี

 

        “คุณพ่อครับ” คุณป้าแม่บ้านเตรียมอาหารกลางวันไว้เรียบร้อยแล้ว กำลังยกมาเสิร์ฟทีละอย่างๆ แล้วชวีเสี่ยวปอก็เดินไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับชวีอี้เจี๋ย

 

        “อืม” ชวีอี้เจี๋ยพยักหน้า “เมื่อคืนนอนดึกเหรอ? ใต้ตาดูคล้ำมากเลย”

 

        “เล่นเกมนิดหน่อยครับ” ชวีเสี่ยวปอหยิบแตงกวาเข้าปากแล้วเคี้ยวเสียงดังกรอบแกรบอย่างไม่สนใจใคร

 

        “ทำไมคุณสนใจแต่ลูก ไม่สนใจฉันบ้างเลย? ” เวินลี่ยกซี่โครงจานหนึ่งออกมาจากห้องครัว แล้ววางลงตรงหน้าของชวีอี้เจี๋ยแสร้งทำเป็นโกรธ “ใต้ตาฉันก็คล้ำเหมือนกัน”

 

        ชวีเสี่ยวปออึ้งไปเลย หลายปีมาแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าแม่ของเขาคงความรู้สึกเขินอายราวกับเด็กสาวเช่นนี้ไว้ตลอดเมื่ออยู่ต่อหน้าชวีอี้เจี๋ยได้อย่างไร อาจจะเป็นเพราะเวินลี่คงจะชอบเขาจริงๆ

 

        “สนใจสิครับๆ” ชวีอี้เจี๋ยยกน้ำชาขึ้นมาจิบ “สร้อยคอที่คุณบอกว่าชอบเมื่อสองวันก่อนผมก็ซื้อให้คุณแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ที่ตาคล้ำเนี่ยเป็นเพราะเมื่อวานคุณเล่นไพ่นกกระจอกไม่ใช่เหรอครับ? ”

 

        “ไอ้คนบ้า !” (// ∇ //)

 

        ชวีเสี่ยวปอทำได้เพียงก้มหน้ากินต่อไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามที่จะจบมื้ออาหารที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกนี้ให้ไวที่สุด สุดท้ายเขาก็วางตะเกียบลง แล้วพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ผมกินเสร็จครับ พวกคุณทานกันต่อให้อร่อยนะครับ” แต่แล้วเวินลี่ก็เรียกเขาให้หยุดอยู่ตรงนั้น

 

        “รอเดี๋ยวก่อนสิลูก”

 

        “อ๋า? ” ก้นของชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันได้ลุกจากที่นั่งเลยด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

 

        “พ่อของลูกอยู่ตรงนี้พอดี งั้นพวกเราคุยกันเรื่องลูกที่จะเลือกสายวิทย์หรือสายศิลป์กันดีกว่า” เวินลี่วางตะเกียบลงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า : “ตอนที่พูดครั้งที่แล้วลูกดูไม่ตั้งใจ เรื่องแบบนี้จะเลือกมั่วๆ ได้ยังไงกัน”

 

        เวินลี่ยื่นมือออกไปบีบที่แขนของชวีอี้เจี๋ยหนึ่งที “อี้เจี๋ยคุณพูดอะไรบ้างสิ”

 

        ชวีอี้เจี๋ยขมวดคิ้ว เขายอมพยักหน้าอย่างจำใจและทำตามที่เวินลี่บอก “คุณลองฟังความเห็นของลูกดูก่อน”

 

        “ผมไม่มีความเห็นครับ” ชวีเสี่ยวปอยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง แล้วพูดออกไปอย่างไม่ยี่หระ

 

        “ไม่มีความเห็นงั้นเหรอ? ” เวินลี่ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที “ไม่มีความเห็นอย่างงั้นเหรอ? ทำไมลูกถึงไม่มีความเห็นล่ะ? ”

 

        “ผมไม่ความเห็นจริงๆ ครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดอย่างตรงไปตรงมา “แม่ครับ แม่คงจะเห็นคะแนนสอบครั้งที่แล้วของผมใช่ไหมครับ คะแนนเท่านั้นผมยังจะมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ? ” ไม่ว่าจะเลือกสายวิทย์หรือสายศิลป์ผลลัพธ์ก็เหมือนกันคือ ไม่ผ่าน

 

        “ไอ้ลูกนี่ !” เวินลี่รีบลุกขึ้นยืน “ก็ลูกไม่ตั้งใจเรียนไง !”

 

        “คุณนั่งลงก่อน” ชวีอี้เจี๋ยลูบไปที่หลังของเวินลี่ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณบอกให้เขาอย่าโมโห แล้วหันไปพูดกับชวีเสี่ยวปอว่า : “สักวิชาก็ไม่ผ่านเลยเหรอ? ”

 

        “ไม่ได้สอบวิชาภาษาจีนครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดอย่างหงุดหงิดและอารมณ์ไม่ค่อยดีว่า “ถ้าไม่ได้เลือกสอบวิชาภาษาจีน น่าจะได้ใช่ไหมครับ”

 

        “ลูกยังจะเลือกสอบอีกหรือไง? ” เวินลี่ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก ตอนที่ชี้มือไปยังชวีเสี่ยวปอเธอโกรธจนตัวสั่น “แม่ก็ว่าอยู่ว่าคะแนนภาษาจีนของลูกทำไมสอบได้ศูนย์ !”

 

        “พอแล้วๆ ช่างมันเถอะ แค่สอบครั้งเดียวเอง ไม่ถึงกับต้องทำขนาดนั้นหรอก” ชวีอี้เจี๋ยรีบเข้ามาปลอบราวกับเข้ามาไกล่เกลี่ยประนีประนอม แล้วบอกกับชวีเสี่ยวปอว่า : “ลูกขึ้นข้างบนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อคุยกับแม่เขาเอง”

 

        แล้วชวีเสี่ยวปอก็รีบเดินขึ้นชั้นบนไป

 

        แน่นอนว่าเวินลี่ยังคงระบายความทุกข์ให้ชวีอี้เจี๋ยฟัง ส่วนเนื้อหาที่พูดนั้นชวีเสี่ยวปอไม่เพียงแต่ท่องออกมาได้ ยังสามารถเขียนเรียงออกมาเป็นข้อหนึ่งสองสามได้อีกด้วย เริ่มด้วยการโทษตัวเองที่สอนลูกได้ไม่ดี แล้วก็ตามด้วยโทษชวีอี้เจี๋ยว่าทำไมไม่มาหาบ่อยๆ อย่างน้อยก็มาช่วยอบรมสั่งสอนลูก หลังจากนั้นก็จะเริ่มตำหนิชวีเสี่ยวปอว่าไม่เชื่อฟัง แต่ในตอนท้ายก็โทษตัวเองว่ายอมลูกจนเคยตัว และสุดท้ายก็ต้องร้องไห้และตัดพ้อไปด้วยว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้หญิงที่โชคร้าย ไม่ได้อยู่กินกับชวีอี้เจี๋ย ทั้งยังไม่ได้รับความยุติธรรมจากสวรรค์ต้องมาเลี้ยงลูกชายให้เขาอีก

 

        ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของชวีอี้เจี๋ย

 

        ทั้งหมดมันเป็นความผิดผมเอง ! ชวีเสี่ยวปอล้มตัวลงนอนบนเตียง แล้วหยิบหมอนมาปิดที่ศีรษะของเขาไว้