ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ด้านล่างก็ค่อยๆ เงียบสงบลง ชวีอี้เจี๋ยไม่ได้ขึ้นมาคุยกับชวีเสี่ยวปอตามอย่างที่เขาพูดไว้ จนกระทั่งนอกหน้าต่างมีเสียงบีบแตรดังขึ้นสองครั้ง ชวีเสี่ยวปอจึงได้โผล่หน้าออกมาพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ

 

        “ลูก” ไม่นานนักเวินลี่ก็เดินมาเคาะประตู “ให้แม่เข้าไปได้ไหม? ”

 

        “ครับ” ชวีเสี่ยวปอไม่สามารถปฏิเสธออกไปได้ เสียงของเวินลี่ฟังดูแล้วเหนื่อยล้ามากราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา ชวีเสี่ยวปอรีบปรับท่าทางของตัวเองให้เป็นเหมือนเมื่อครู่นี้ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น แต่ก็พอจะรู้สึกได้ว่าเวินลี่กำลังเดินเข้ามาทีละก้าวๆ จนกระทั่งค่อยๆ นั่งลงมาที่ข้างเตียง เธอกำลังลังเลอยากที่ลองหยั่งเชิงดูก่อน แต่ในที่สุดก็ยื่นมือออกไปลูบที่หลังของเขาดี

 

        ซึ่งมันเป็นวิธีการปลอบที่ผู้ใหญ่มักจะใช้ปลอบเด็ก

 

        “ลูก” เวินลี่พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เมื่อครู่นี้กินข้าวน้อยไปหน่อยนะ วัยกำลังโตกินน้อยขนาดนั้น อิ่มเหรอลูก? ”

 

        “……” ชวีเสี่ยวปอไม่อยากที่จะเปล่งเสียงพูดออกมา วิธีการนี้เป็นวิธีง้อที่เวินลี่ชอบใช้

 

        “ลูก” เวินลี่ใช้แรงดันไหล่ของชวีเสี่ยวปอ พยายามให้เขาหันหน้ามาหาตัวเอง “ลูกก็รู้ว่าแม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

 

        “แล้วหมายความว่าแบบไหน” ชวีเสี่ยวปอโดนเวินลี่ดันจนเจ็บแขน เขาจึงขยับปากพูดในที่สุด

 

        “แม่ไม่ได้คิดว่าลูกไม่ดีเลยนะ ในใจของแม่ลูกยอดเยี่ยมที่สุดมาตลอด”

 

        “แม่ทุกคนก็คิดว่าลูกตัวเองเก่งที่สุดหมดนั่นแหละ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นนั่งโดยที่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ แล้วเถียงกลับไปอย่างไม่เกรงใจว่า “แต่ความจริงแล้ว ผมไม่ใช่”

 

        “……” เวินลี่ถูกลูกชายถอนหายใจใส่ ทั้งสองคนจึงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเวินลี่ก็ขยับปากพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “พ่อของลูกแนะนำให้ลูกเลือกสายวิทย์ และแม่ก็เห็นว่าชวีจิ่งเด็กคนนั้นก็เรียนสายวิทย์เหมือนกัน อนาคตของสายวิทย์มันดีกว่า”

 

        “แม่ไม่ต้องเอาผมไปเปรียบเทียบกับชวีจิ่งตลอดหรอก !”

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอได้ยินชื่อนี้ออกมาจากปากของเวินลี่ เขาจึงไม่อาจที่จะคุยกับแม่ของเขาได้อย่างใจเย็นอีกต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบ เวินลี่ก็มักจะเปรียบเทียบ เปรียบเทียบเขากับทางฝั่งนั้นมาโดยตลอด เธอผลักความหวังทั้งหมดไว้ที่ชวีเสี่ยวปอ อยากให้ลูกของตัวเองยอดเยี่ยม และยอดเยี่ยมยิ่งกว่าชวีจิ่ง เช่นนั้นเธอถึงจะภูมิใจและสามารถเชิดหน้าชูตาได้อย่างแท้จริง

 

        “ไม่ใช่เรื่องของการเปรียบเทียบ” เวินลี่ผงะไปครู่หนึ่ง “แม่อยากให้ลูกได้ดี อีกอย่างเก่งกว่าชวีจิ่งไม่ดีหรือไง? พ่อของลูกก็มาหาพวกเราน้อยครั้งอยู่แล้วนะ ถ้าหากลูกสามารถ…”

 

        “ถ้าแม่อยากให้ผมได้ดีจริงๆ ละก็” ชวีเสี่ยวหยวนพูดแทรกเวินลี่ขึ้นมา มองไปที่ตาของเขาและพูดเน้นออกไปทีละคำว่า “ก็ไม่ควรที่จะอยู่กินกับชวีอี้เจี๋ยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

 

        “ลูกพูดอะไรของลูกเนี่ย !” เวินลี่เบิกตาโพลงขึ้นมา ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเมื่อสักครู่นี้จะออกมาจากปากของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเอง “ที่แม่ทำแบบนี้ล้วนทำเพราะใครกัน? ตอนที่แม่คลอดลูกออกมาแล้วแม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดไหนลูกรู้ไหม? ตอนนั้นลูกยังเด็กมากจำอะไรไม่ได้หรอก หรือว่าจะให้แม่อุ้มลูกไปขอทานอย่างนั้นเหรอ? ลูกอยากจะโดนคนอื่นเรียกว่าเด็กไม่มีพ่อใช่ไหม? ”

 

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าหัวใจของเขาราวกับมีสำลีที่เปียกชุ่มมาอุดเอาไว้ และมันกำลังค่อยๆ ปล่อยน้ำออกมาทีละหยด เพียงแต่ขณะที่น้ำทุกหยดหยดลงมานั้นมันกลับกลายเปลี่ยนเป็นตะปูที่แหลมคมที่ทิ่มแทงลงมาอย่างแรงทั่วไปทั้งหัวใจของเขา จนเกิดเป็นรอยแผลผุพรุนมากมาย ซึ่งต่อให้มียอดฝีมือที่เก่งกาจมาซ่อมแซมก็ไม่อาจจะทำสำเร็จได้

 

        เวินลี่ยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตนและเริ่มสะอื้นไห้

 

        ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็ถูกความรู้สึกผิดโจมตีขึ้นมาอย่างรุนแรง ความเย็นชาของเขาจึงหายไป เขาลุกขึ้นแล้วโอบไหล่ของเวินลี่ไว้ ทำเหมือนกับที่แม่ปลอบเขาเมื่อครู่นี้ พลางพูดออกไปเสียงเบาๆ ว่า “แม่ครับ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”

 

 

        วันหยุดช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนผ่านไปในชั่วพริบตา

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่กล้าที่จะพูดว่าตัวเขายังเล่นสนุกไม่พอเลยด้วยซ้ำ ถึงยังไงซะตลอดทั้งช่วงปิดเทอมนอกจากเขาจะขลุกตัวอยู่แต่กับซือจวิ้นแล้ว ก็มีเล่นเกมบ้าง แต่แบบทดสอบต่างๆ มากมายที่เขาได้มาเป็นการบ้านในช่วงปิดเทอม เขาไม่เคยที่จะเอาออกจากกระเป๋าหนังสือเลย ตอนนี้ก็แบกกลับไปโรงเรียนทั้งๆ ที่มันยังคงเป็นเหมือนเดิม

 

        ชวีเสี่ยวปอเลือกเรียนสายศิลป์

 

        ส่วนเหตุผลก็แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตั้งใจจะประชดเวินลี่และชวีอี้เจี๋ย ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้เป็นคนที่แย่ขนาดนั้น ที่จริงแล้วส่วนหนึ่งก็ฟังมาจากคำแนะนำของเหลาหม่า และชวีเสี่ยวปอเองก็เป็นคนที่ค่อนไปทางสายศิลป์อยู่แล้วด้วย และถึงยังไงซะเขาเองที่เคยสอบวิชาฟิสิกส์ได้เพียงแค่เจ็ดคะแนน ถ้าหากเขาเลือกเรียนสายวิทย์แล้วละก็ จะผ่านได้หรือเปล่านี่สิเป็นปัญหาใหญ่

 

        ซื่อจวิ้นก็เลือกเรียนสายศิลป์เหมือนกัน

 

        และที่บังเอิญไปกว่านั้นก็คือ ทั้งสองคนถูกแบ่งให้ไปอยู่ห้องเดียวกัน ดังนั้นในตอนที่ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปรายงานตัวที่ชั้นเรียนใหม่ อารมณ์ของชวีเสี่ยวปอจึงดีเป็นพิเศษ

 

        เมื่อถึงหน้าประตู ก็เห็นว่านักเรียนส่วนใหญ่มากันแล้วเกินครึ่งห้อง และหน้าชั้นเรียนก็มีคุณครูผู้หญิงที่ดูวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังยืนพลิกสมุดรายชื่ออยู่ ซือจวิ้นตะโกนออกไปเสียงใสว่า “รายงานตัวครับ”

 

        คุณครูสาวหันมามองที่หน้าประตู พลางโบกมือไปด้วย ส่งสัญญาณให้เขาทั้งคนเข้ามาได้

 

        “ชื่ออะไรกันบ้าง? ”

 

        “ซือจวิ้นครับ”

 

        “ชวีเสี่ยวปอครับ”

 

        “ซือจวิ้น ชวีเสี่ยวปอ” คุณครูสาวเห็นรายชื่อทั้งสองคนบนสมุดรายชื่อจึงขานเรียกซ้ำออกไปอีกหนึ่งที พลางพยักหน้าไปด้วย “ก่อนหน้านี้พวกเธอทั้งคู่เรียนอยู่ชั้นเรียนของคุณครูเฝิงใช่ไหม? โอเค ไปหาที่นั่งของตัวเองนั่งเถอะ บนโต๊ะจะมีป้ายชื่อของพวกเธอติดเอาไว้อยู่”

 

        ทั้งสองคนเดินเข้าห้องเรียนไปคนหนึ่งเดินข้างหน้า คนหนึ่งเดินข้างหลัง ชวีเสี่ยวปอหาที่นั่งของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาก็ยังไม่มาด้วย ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปยังชื่อของอีกฝ่าย ชื่อเซวียเหมียวเมี่ยว คิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิง

 

        “ปอเอ๋อร์ !” ซือจวิ้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามทางเดินเรียกเขาด้วยเสียงเบาๆ

 

        “พูดมา” ชวีเสี่ยวปอหันไปแค่ครึ่งตัว

 

        “เมื่อก่อนทำไมไม่เห็นเคยเจอคุณครูคนนี้เลยอะ สวยมากจริงๆ”

 

        “มาใหม่แหละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอเดาออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย

 

        ในห้องเรียนส่งเสียงดังลั่น โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่รู้จักกันมาก่อนแล้วกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน ส่วนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็กำลังสร้างความสัมพันธ์ ถ้าเป็นเหลาหม่าในเมื่อก่อนนะ เขาก็จะใช้สองมือของเขาตบไปที่โพเดียมแล้วตะโกนเสียงดังสนั่นออกมาว่า “ถ้าไม่รู้มาก่อนครูคงคิดว่าที่นี่คือตลาดสด! ขึ้นมอห้าแล้วทำไมยังไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรบ้างฮะ! ” เพียงแค่นึกถึงเหลาหม่า ภายในใจของชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกใจหายขึ้นมา เมื่อมองไปยังคุณครูสาวที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็หาวขึ้นมา เตรียมที่จะหลับตานอน

 

        แต่เพียงแค่ห้าวินาทีเท่านั้น

 

        ม้านั่งยาวของชวีเสี่ยวปอก็ถูกถีบออกอย่างแรง เขาตกใจจนเกือบจะด่าด้วยคำหบายออกไป แต่พอเมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าซือจวิ้นที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้ตัวเอง

 

        “ผ่านไปแค่แป๊บเดียวเองหน้านายก็เป็นตะคริวแล้วเหรอ? ชีวิตมอปลายมันมีความกดดันเยอะแหละ” ชวีเสี่ยวปอขำให้กับมุกของตัวเอง

 

        “เซี่ยเจิง !”  ซือจวิ้นกดเสียงต่ำลง

 

        “อะไรกันเนี่ย? ” แรงทำลายล้างของสองคำนี้รุนแรงกว่าหน้าที่บิดเบี้ยวของซือจวิ้นเมื่อสักครู่นี้มาก ชวีเสี่ยวปอจึงรีบหันไปดูทันที แล้วก็เห็นเข้ากับเงาอันคุ้นเคยกำลังยืนคุยกับคุณครูอยู่ที่ข้างโพเดียมหน้าชั้นเรียน

 

        “ไอ้บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอเหยียดตัวลงไปกับโต๊ะ “นายนั่นเลือกสายศิลป์? ! เขาเลือกสายศิลป์จริงเหรอเนี่ย? ” ถ้าหากเขาจำไม่ผิดละก็ เซี่ยเจิงเหมือนจะเรียนดีมากเลยนะ นายนั่นที่เป็นประเภทนักเรียนคนสำคัญน่าจะเลือกสายวิทย์ไปแล้วไม่ใช่หรือไง?

 

        “ขอบคุณครับ” หลังจากเซี่ยเจิงรายงานตัวเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเดินเข้ามาในห้องเรียน

 

        “เดี๋ยว นายรอก่อน” คุณครูสาวเรียกเขาไว้ แล้วก็มองไปยังรอบๆ ห้องเรียน หลังจากนั้นจึงพูดออกมาว่า : “ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้นสิ”

 

        ภายให้ห้องเรียนที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงดังสนั่น แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ เงียบลงและหันมองไปยังทั้งสองคนนั้น ราวกับว่ารอดูว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

 

        “คะ…ครับ” ชวีเสี่ยวปอที่เพิ่งถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหันยกมือขึ้นอย่างไม่ทราบเหตุผล เซี่ยเจิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน จังหวะนั้นจึงทำให้ดวงตาทั้งสี่ดวงนั้นประสานเข้าด้วยกัน และความรู้สึกนี้ก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

 

        “เซี่ยเจิง นายเปลี่ยนไปนั่งข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ”