ตอนที่ 14 ความลับของผู้กล้าคนก่อน

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

ดาบศักดิ์สิทธิ์ . . .

 

ผมได้กำมันแน่นในมือขวาของผม

มันคือสิ่งย้ำเตือนในความผิดพลาดของผมได้เป็นอย่างดี. . 

เพราะความคิดที่ไร้เดียงสาของผม 

เหตุการณ์แบบนี้จึงเกิดขึ้น. . 

ถ้าหากผมไม่พาลิลลิรูริมาด้วย

เธอก็จะได้ไม่ต้องสลบแบบนี้

และมันควรจะดีกว่านี้ 

ถ้าผมเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาตั้งแต่เริ่มแรก

ใช่แล้ว 

ถ้าผมใช้มัน 

ทุกอย่างมันก็จะจบลงโดยที่ทรีซังจะไม่ต้องหวาดกลัว

ไม่สิถ้าผมไม่รับภารกิจบาซิลิสก์นั้นตั้งแต่แรก 

พวกเราก็จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

แม้ผมจะรู้ว่าผมกำลังคิดไปทางที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ 

แต่ผมก็หยุดคิดมันไม่ได้ . . 

 

 

หลังจากลงมาจากศพบาซิลิสก์ ผมได้เอาชุดของผมออกมาจากกระเป๋า 4 มิติที่เอว

ดูเหมือนว่ามันจะรอดอย่างหวุดหวิดจากการถูกทำลายตอนที่ผมกลายเป็นหิน. . 

 

[มันเพราะผมไม่ยอมสู้แบบเอาจริงตั้งแต่แรก  มันเลยทำให้คุณรู้สึกกลัว ขอโทษด้วยครับ]

 

ผมคลุมเสื้อแจ็คเก็ตของผมให้ทรีซัง 

ผู้ที่พยายามปกป้องลิลลิรูริโดยการกอดเธอไว้แน่น. .

 

[  . .อึก . . ชั้น . . ชั้นไม่เป็นไร ขอบคุณเธอมาก ยูยะ ที่ทำให้พวกเรารอด . . แม้ตอนนั้น . มันจะ น่ากลัวนิดหน่อยก็เถอะ  . . .อ้าาา ]

 

หลังจากพูดแบบนั้น 

ทรีซังได้เขามากอดผมแน่น 

พร้อมกับหยดน้ำตาที่เธอร้องไห้ออกมา . .

ไอ้บาซิลิสก์สีแดงนั้น มันเกินมาตรฐานไปหน่อย

เพราะไอ้ตัวสีแดงนั้นมันไม่ธรรมดา มันเลยส่งพวกลูกน้องมันออกมาในตอนแรก

ที่จริงด้วยพลังของทรีซังก็สามารถเอาชนะบาซิลิสก์ได้ถ้าหากสู้กัน 1 ต่อ 1 

ต่อให้เสียการรับรู้และการมองเห็น เธอก็สามารถใช้สัญชาตญาณเอาชนะได้

แต่เมื่อความมั่นใจของเธอถูกทำลายลง 

เธอจึงเปิดเผยด้านอ่อนแอของเธอต่อหน้าผู้ชายอย่างผม

จิตใจของเธอเสียหายอย่างหนัก และนั้นทำให้เธอได้ผ่อนคลายลงหลังจากตกอยู่ภายใต้ความกลัว

เพราะมันน่ากลัว 

หน้าตกใจ 

และน่าอาย 

ถึงเธอจะพูดว่าไม่เป็นอะไรก็เถอะ

แต่เธอก็ร้องไห้ออกมาในอ้อมแขนผม . . 

ในอ้อมแขนของผมน่ะหรอ ? 

พักเรื่องลามกไว้ก่อนเถอะ 

ตอนนี้ผมไม่ตลกด้วยหรอกนะ

นอกจากความละอายใจแล้ว 

มันก็มีแต่ความรู้สึกโกรธต่อตัวเองเท่านั้นที่มากขึ้น . .

และทันใดนั้น 

ผมได้ยิงเสียงเธอ 

เสียงของลิลลิรูริ…

 

[ อืม . .อ่า ยู ]

[ ลิลลิรูริ !!! ]

 

ลิลลิรูริตื่นขึ้นในอ้อมแขนของทรีซัง

 

[ ขอโทษนะ ลิลลิรูริ ถ้าผมเอาจริงตั้งแต่แรก เธอก็จะไม่ต้องเป็นแบบนี้ ]

[ อ่าา ]

 

แม้ผมพยายามจะขอโทษเธอ แต่เธอกับไม่สนใจมัน 

เพราะเธอมัวแต่มองแขนขวาของผม . . .

ไม่สิเธอมองดาบศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือขวาของผม  . . .

 

[ แสงนี่มัน . . เหมือนกับตอนนั้นเลย ]

 

เธอจับที่ดาบศักดิ์สิทธิ์ของผมอย่างนุ่มนวล 

เสมือนกับว่ามันเปราะบางเอามากๆ

และเธอได้ยิ้มออกมา . .

 

[ คุณช่วยฉันไว้ . .อีกครั้ง ]

 

ถึงจะผ่านเรื่องหน้าเศร้ามา  . .

 แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกชื่นใจขึ้น

รอยยิ้มของเด็กสาวเอลฟ์นั้น . . .

 

[ ฮึด ฮึด . .มันเหมือน. .กลิ่นฉี่ ? ]

 

และนั้น 

มันทำให้เธอถูกปล่อยก้นกระแทกพื้น . . .

 

[ !? อะไรนะ . .เอ่อไม่ . .ไม่มีอะไร ]

 

ทรีซังตอนนี้หน้าได้กลายเป็นสีแดง 

พร้อมเอะอะออกมาอย่างร้อนลน

 

[ ฉันเข้าใจ , บางครั้งก็เป็นเหมือนกัน , ดังนั้น ,ไม่เป็นไร ]

[ อย่าเอาชั้นไปรวมกับพวกบ้านะ!! ]

 

ลิลลิรูริพยายามจะทำให้ทรีซังสบายใจ 

แต่เอ่อ เข้าใจสถานการณ์ของอีกฝ่ายบ้างสิเห้ย!!

อ่า .เดียวนะ ไม่สิ ลิลลิรูริ เธอกำลังแอบหัวเราะอยู่

แต่เดียวนะ  . . .

ฉี่หรอ , หือออ ขณะที่อยู่ในชุดอีโรติก

มันกำลังไหลออกมาจากบริเวณก้นของเธอ . . .

น้ำสีทองนั้น . . .

 

[ นายยิ้มอะไรของนาย ยูยะ ]

[ อ่า ปล่าวๆ . . .เพราะว่า ชุดคุณน่ารักยังไงล่ะ พูดเล่นนะ ]

 

เจ้าแม่อีโรติกอย่างทรีซัง 

ตอนนี้เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

ที่กำลังกังวลเกี่ยวกับน้ำที่ไหลออกมาบริเวณต้นขาของเธอ

บอกได้แค่ว่า . . . 

บาซิลิสก์ Good Job!

 

[ เอาล่ะมาพูดเรื่องจริงๆจังๆสักที นายจะทำอะไร? ไม่สินายจะมองมันไปอีกนานมั้ยห๊ะ!! ]

[ ถ้า-.ถ้าต้องการเงินล่ะก็ ผมจะจ่ายให้ เพราะงั้นขายชุดนั้นให้ผมด้วย ได้โปรดเถอะครับ !! ]

 

ผมตอนนี้กำลังหมอบคลานเข้าหา ทรีซัง

และแน่นอนทรีซังถอยห่างอย่างรวดเร็ว  . . 

แต่มันช้าไปแล้ว!!! 

เพราะว่า . . 

ผมตัดสินใจจะสู้ไปแล้ว 

สู้อย่างจริงจัง 

ด้วยพลังทั้งหมดของผม!!

เพื่อจุดหมายนั้น(ชุดของทรีซัง) 

ใจในไฟของผมมันลุกโชน

และตอนนั้นเองอยู่ๆน้ำหนักที่ใหล่ของผมกับเพิ่มขึ้น !!

รึว่ามันเป็น!!!

 

[ เรื่องลามก . . ไม่ดี ]

 

มันเป็นลิลลิรูรินั้นเอง ผู้ที่เกลียดเรื่องลามกทุกอย่าง

ตอนนี้มือซ้ายขอเธอจับอยู่ที่หูของผม ส่วนมือขวาอยุ่บนผมของผม

หลังจากจากเตรียมพร้อมเสร็จสิ้น เธอก็เริ่มดึงมันด้วยพลังทั้งหมดของเธอ . . 

 

[ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!! ]

 

หูและผม ของผม 

ผมกำลังได้รับความเสียงหายจากทั้ง 2 ที่ในเวลาเดียวกัน

ผมถึงกรี๊ดร้องออกมา แต่ . . .

 

“ กรึก กรึก กรึก กรึก”

 

หูของผมได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากไกลๆ

ผมได้หันหน้าไปในทิศทางของเสียงนั้นในทันที . . . 

ยังก่อน เพื่อความไม่ประมาทจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อตะกี้นี้

ผมมุ่งความสนใจไปที่เสียงนั้นเต็มที่และหวังว่ามันจะเป็นเรื่องดี   . .

แม้ว่า ลิลลิรูริตอนนี้กำลังดึงหูและผมของผมอยู่ก็เถอะนะ แต่จริงๆแล้ว มันก็ไม่เจ็บขนาดจนทำให้ผมร้องออกมาได้หรอก กับความเจ็บแค่นี้ ผมคุ้นเคยกับความเจ็บปวดมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้

เพราะงั้นแค่นี้สบายมาก

 

[ โอ้ยย มันเจ็บนะลิลลิรุริ ผมจะไม่ทำเรื่องลามกอีกแล้วครับลิลลิรูริ ได้โปรดยกโทษให้ผมที ]

[ ถ้านายเข้าใจแล้วล่ะก็ ตกลง ]

 

จากประสบการณ์จากการได้รับความโกรธของลิลลิรูริมา 

ดูเหมือนว่าเธอจะเย็นลงเมื่อเธอได้ลงโทษผมเสร็จ

เอ่อ. . 

ผมขอสาบานกับตัวเองเลยว่าผมไม่ได้ชอบถูกลิลลิรูริดึงหูบ่อยๆหรอกนะ

 

[ ?…………อะไรบางอย่าง .. กำลังมา? ]

 

หูของลิลลิรูริเธอกระตุกนิดๆ 

เหมือนเธอจะได้ยินเสียงที่กำลังมาจากระยะใกลได้แล้ว . .

 

[ มันเป็น . .  รถ? รึปล่าว ]

 

ทรีซังได้ลุกยืนหลังจากรอดพ้นจากการตกเป็นเป้าหมาย(จากยูยะ) 

แม้ว่ามองจากตรงนี้มันจะดูเล็กมาก

แต่หลังจากเธอพูด พวกเราก็เห็นรถนั้นกำลังมาทางนี้

ท่าทางกระวนกระวายของทรีซัง มันช่างอีโรติกจริงๆ

 

[ หือ? ]

[ ขะ ขอโทษครับ ]

 

ลิลลิรูริดูเหมือนเธอจะรับรู้ได้ และเธอได้ใช้มือของเธอจับบางอย่างบนหัวผม

มันเหมือนเป็นการขู่ว่า . . 

ฉันจะดึงแล้วนะรู้มั้ย

และนั้น ผมขอโทษไปเลยดีกว่า

2 -3 นาทีหลังจากนั้น มีรถ 3 คันได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเรา

แต่จริงๆ 1 ใน 3 คันนั้น มันควรจะเรียกว่ารถจริงๆ หรอ

มันถูกดึงโดย ม้า 6 ตัว . .  

มันเป็นพาหนะที่มีล้อไม้ขนาดใหญ่ 6 ล้อ

ขนาดของมันใหญ่จนสามารถเอามอนเตอร์ตัวใหญ่ใส่เข้าไปได้ทั้งตัวเลย

 

[ ขอบคุณที่รอค่ะ ท่านผู้กล้า ]

 

สาวสวยโนตมผู้สวมชุดมิโกะ 

ลงมาจากรถขนาดใหญ่นั้น แล้วตอนนี้กำลังโค่งตัวลงอยู่ตรงหน้าผม

 

[ ผู้กล้า . .? ]

 

ผมเข้าใจความรู้สึกของทรีซังนะตอนนี้ เธอพึ่งจะรู้ว่าคนอย่างผมเป็นผู้กล้า 

โดยปกติแล้ว ตอนนี้ความคิดในหัวคงวิ่งกันวุ่น

แต่เรื่องสำคัญจริงๆตอนนี้ . . 

 

[ พวกเธอทั้งหมดมาที่นี่เพื่อที่จะชวนให้พวกเราขึ้นรถ?. และในเมื่อเธอเรียกผมว่าท่านผู้กล้า แสดงว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของหัวหน้าของเธอใช่มั้ย คุณพนักงานต้อนรับ ]

 

เป็นเธอเอง โนตมจัง พนักงานต้อนรับของกิลด์ที่ผมได้พบเมื่อได้ไปที่กิลด์ครั้งแรก . . .

ในตอนแรกที่พบกันนั้นผมไม่ทันสังเกต 

อาจเป็นเพราะตอนนี้เธอไม่ได้เป็นพนักงานต้อนรับอีกแล้ว

ความรู้สึกน่ารักของเธอตอนนี้กับไม่มีอยู่เลย และตอนนั้นเองเหล่ามิโกะ ที่ปรากฎออกมาจากรถก็มีลักษณะเดียวกันคือ เหมือนคนไร้หัวใจ . . 

 

[ ค่ะ พวกเราได้รับคำสั่งจากท่านหัวหน้ากิลด์ ให้ออกมาพบกับคุณและมอบหมายภารกิจปราบบาซิลิสก์ให้ค่ะ ท่านผู้กล้าและท่านลิลลิรูริ กรุณาตามมาทางนี้ด้วยค่ะ ส่วนท่านทรี กรุณาเชิญทางนี้เพื่อเปลี่ยนชุดด้วยค่ะ ]

[ ทะ . .ทำไมเธอถึงรู้เรื่องนั้นกัน!! ]

 

โนตมจังพาทรีซังไปขึ้นรถคันที่ 2

พวกเขาโผล่มาทันทีหลังจากผมจัดการบาซิลิสก์เสร็จสิ้น 

และยังรู้ด้วยว่าทรีซังท่อรั่ว . . 

จากเหตุการณ์พวกนี้แสดงว่า พวกเขาสามารถอ่านอนาคตได้

ถ้าผมเดาไม่ผิด มีอยู่คนเดียวที่สามารถทำได้แบบนี้ . . 

 

[ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือ “ยายแก่” แน่นอน เธอต้องรู้แน่นอนว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ เห้อแต่ก็นะ ความผิดอีกครึ่งหนึ่งก็มาจากผมเองนี่แหละ . .  ]

[ ? ]

 

ขณะที่ลิลลิรูริกำลังทำหน้างงสุดๆอยู่นั้น ผมก็ได้เดินขึ้นไปที่รถคันแรก . . .

 

———————-

 

มันควรจะบอกได้ว่าเป็นการผสมกันอย่างลงตัวระหว่างเสื้อผ้าญี่ปุ่นกับตะวันตก

แต่ถึงมันก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะมันต้องถูกสวมโดยชาวเอลฟ์สินะถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์

มันบอกได้ว่าเป็นสุดยอดไอเทมที่สร้างมาเพื่อให้ชาวเอลฟ์จริงๆ พอพวกเอลฟ์ใส่เสื้อผ้าสไตล์ญี่ปุ่นแล้วแล้วมันช่างเป็นการผสมที่ลงตัว

แต่เมื่อร่างของเธอที่กำลังสวมชุดที่ดูเหมือนยูกาตะ 

ทรีซังช่างเหมือนนางฟ้าจริงๆ . . .

ผิวของเธอช่างดูเข้าสีชุด และจุดเด่นของทรีซังนั้น นั้นคือน่าอกของเธอที่มีมากจนเกินไปจนแทบจะทะลักชุดออกมาทำให้เผยส่วนโค้งว้าวได้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยเรียวขาสีน้ำตาลคู่นั้น มันชั่งกระตุ้นราคะในตัวผมได้ดีเอามากๆ . . 

 

[ มันไม่- มันไม่กระตุ้นเลยสักนิดครับ ได้โปรดอย่างดึงหัวผมครับ!! ]

 

ลิลลิรูริกำลังดึงผมของผม ผู้ซึ่งถูกทรีซังครอบงำไปแล้ว

 

[  . .ฉัน . .ฉันก็ด้วย . ชุดเดียวกัน ]

[ หือ? ]

 

สงสัยเธอจะคิดว่าจะโดนเมินสินะ 

เลยดึงหัวผมเนี้ย

อาจเพราะชุดที่ถูกสร้างมาจากเอลฟ์เพื่อให้เอลฟ์ด้วยกันใส่ 

ชุดมันจึงพอดีกับตัวลิลลิรูริได้พอดี

 

[ กรุณาสวมมันอีกครั้ง หลังจากผ่านไปอีก 10 ปีนะครับ ]

[ ทำไมมีแค่ทรีซัง. .ที่ยั่วนายได้!! ]

[ อ อย่าเอาชั้นไปเหมารวมกับคนแบบพวกนั้นสิ!! ]

 

ลิลลิรูริกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ 

พร้อมกับทรีซังที่กำลังหน้ากลายเป็นสีแดง

หลังจากตอนนั้น มันก็ผ่านมา 3 วันแล้ว 

ที่เรานั่งโยกอยู่ในรถของเหล่ามิโกะสาวจนมาถึงที่เมืองหลวง

และได้เข้าพักที่แมนชั่นในเมือง 1 คืน เช้าวันต่อมา วันนี้พวกเราถูกเชิญให้ไปที่ ที่พักของท่านหัวหน้ากิลด์

ที่จริงที่พักที่พวกเราพักนั้นมันดูเหมือนคฤหาสน์มากกว่า

เมื่อพวกเรามาถึงที่พักของท่านหัวหน้ากิลด์ อาจจะฟังดูโม้นะ แต่มันใหญ่กว่าคฤหาสน์ที่เราพัก 2-3 เท่าเลยทีเดียว พวกเขาไม่อธิบายอะไรพวกเราเลย ให้พวกเราเปลี่ยนชุด และได้นำพวกเรามาที่หน้าประตูห้องๆหนึ่ง

แม้ผมจะไม่ได้เปลี่ยนชุดอะไรมากนัก แต่ ลิลลิรูริ กับ ทรีซังนั้นเปลี่ยนมาใส่ชุด เดรสของชาวเอลฟ์

แม้ระหว่างทาง ผมพยายามจะถามอะไรหลายๆอยู่กับคุณมิโกะซัง แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีกฎต้องห้ามไม่ให้คุยกับเพศตรงข้าม ในความหมายนั้นก็คือ ห้ามคุยกับผู้ชาย 

และนั้นทำให้ผมถูกโนตมจังเตือนมาว่า “กรุณาอย่าพูดกับพวกเราเกินจำเป็นด้วยค่ะ”

โนตมจังที่กำลังสวมชุดมิโกะได้ยืนอยู่หน้าพวกเราและได้เคาะประตู

 

[ เข้ามาได้ ]

 

เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจากด้านในโนตมจังได้เปิดประตูให้พวกเราเข้าไป

ประตูไม้ได้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเวลาถูกเปิดออก 

โดยปกติแล้วถ้าคุณเปิดประตูและเข้าไป คุณจะเห็นสิ่งของต่างๆภายในห้อง

แต่สำหรับห้องนี้แล้วเฟอร์นิเจอร์เพียงหนึ่งเดียวในห้องคือเตียงขนาดใหญ่ที่มีกระโจมติดอยู่กับเตียง

เตียงขนาดใหญ่นั้นอยู่ตรงกลางของห้องพอดี

และที่เตียงขนาดใหญ่นั้น มีอักขะเวทย์ มันเขียนอยู่ล้อมรอบที่พื้น

ภาษาที่ใช้เขียนนั้นมันเหมือนเป็นภาษาที่ใช้เริ่มแรกของภาษาอิสเรียวโบราณ หรือไม่บางทีภาษานั้นก็ไม่มีเชื่อเรียกจริงๆ   เพราะเพียงอักขะเดียวในวงแหวนเวทย์นั้น ก็มีพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมามากกว่า 10 รูปแบบ โดยธรรมดาแล้ว 1อักขระควรจะปล่อยพลังเวทย์ออกมาแค่ 1 แบบเท่านั้น

ก็เพราะถ้าหากคุณพยายามจะให้มันมีพลังเป็น 2-3 แบบใน 1 อักขระแล้วล่ะก็ พลังเหล่านั้นจะขัดแย่งกันแล้วทำให้พลังถูกลดลงครึ่งหนึ่งหรือไม่ก็ไม่แสดงผลอะไรตั้งแต่แรกเริ่ม

และนั้น การที่จะสร้างอักขระที่มีเป็น 10 รูปแบบได้นั้นมันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก 

และมีเพียงคนเดียวที่ผมรู้จักและนึกออกตอนนี้ที่สามารถวาดมันขึ้นมาได้ 

รู้สึกว่าผมจะคิดถูกด้วยแหะ

ในกระโจมที่มีผ้าบางๆแขวนอยู่นั้น ก็เผยให้เห็นเงาผู้ที่อยู่ในกระโจม

 

[ มันนานขนาดใหนแล้วนะ ลูกศิษย์ข้า ยาชิโระ ]

 

เสียงของเงาที่กำลังเคลื่อนไหวนั้นเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง

 

[ มานี่เถอะ เข้ามาใกล้ๆ อยู่ไกลๆกับมันคุยกันยากนะรู้มั้ย ไอ้ลูกศิษย์ ]

 

ผมได้ทำตามเงาที่กำลังกวักมือเรียกนั้น ผมได้มายืนอยู่ข้างหน้าผ้าที่แขวนขวางระหว่างเราอยู่

 

[ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ไกล ]

[ คิคิ ที่จริงข้าก็เพิ่งจะรู้เมื่อได้ยินเสียงเธอตะกี้นี่แหละ ]

 

เด็กสาวที่อยู่หลังผ้านั้นดูเหมือนจะหัวเราะอย่างมีความสุข

 

[ ใช่แล้ว  มันก็ผ่านมานานมากแล้วครับ ยายแก่ ]

 

เมื่อผมพูดไปอย่างงั้น 

เด็กสาวที่อยู่หลังผ้านั้นได้ยื่นมือออกมาจากช่องว่างระหว่างผ้าเผยให้เห็นผิวสีขาวเนียน

 

[ แกมันเป็นศิษย์ปัญญาอ่อนรึยังไงกันนะ ข้าเคยบอกแกไปแล้วใช่มั้ยให้เรียกข้าว่า นอร์น !! ]

 

แขนสีขาวเนียนนั้นได้เปิดผ้าที่กั้นพวกเราอยู่ออกในระหว่างนี้เธอกำลังด่าผม

และนั้นหลังผ้าบางๆนั้นเผยให้เห็นเด็กสาวหน้าตาสระสวยผู้มีผิวขาวบริสุทธิ์ 

และมีดวงตาสีแดงราวกับเลือด

ผมสีขาวจนแทบจะโปร่งใสของเธอ ยาวจนถึงพื้น

หูของเธอยาวโผล่ออกมาจากผมสีขาวยาวสลวยนั้นทำให้รู้ได้ว่าเธอเป็นเอลฟ์

 

 

อย่างที่เธอพูดนั้นแหละ เมื่อ 3 ปีก่อน ผมได้เรียนรู้วิธีการใช้พลังของผมกับเธอคนนี้

เธอเป็นหัวหน้าองค์รักษ์หลวงของอาณาจักรลีซาเรี่ยน นอร์น 

แต่เธอมีอีกชื่อหนึ่งเฉพาะคนที่เธออนุญาตเท่านั้นจะเรียกได้

 

[ แม่มดแห่งกาลเวลา ท่านนอร์น ต้องการให้ผมเรียกแบบนี้ใช่มั้ยครับ ]

 

แม่มดแห่งกาลเวลา

ใช่แล้ว

หญิงวายร้ายคนนี้ 

ผู้ที่สามารถโกงเวลาได้

และตามความหมายของชื่อเธอเลย 

นอร์นเธอได้หยุดช่วงเวลาของตัวเองเพื่อไม่ให้ตัวเองโตขึ้น

ไม่เพียงแค่เธอจะสามารถโกงเวลาของตัวเองได้ เธอยังสามารถรู้อนาคต  มันควรจะเรียกว่ารู้สึกถึงบางอย่างในอนาคตมากกว่า และนั้นการที่เธอส่งรถมารับพวกเราหลังจากที่ผมจัดการบาซิลิสก์ทันทีนั้นก็คือความสามารถของเธอ

และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น มันถูกจัดฉากโดยผู้หญิงคนนี้ ดังนั้น นี่และคือทุกสิ่งที่ผมคิดออกทั้งหมด

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เธอเห็นอนาคตได้ไกลแค่ไหนกันแน่? 

 

[ คุณต้องการที่จะเอาผมเข้าร่วมสงครามถูกต้องมั้ย? และนั้น คุณเห็นประโยชน์ที่เกิดจากความโชคร้ายของผมในขณะการเดินทางเพื่อหนีไปสู่ความสงบสุข ในตอนนั้นเควสปราบปรามบาซิลิสก์ คุณก็เห็นอนาคตว่ามันจะมาโจมตีที่ภูเขาโดยที่ยังไม่มีใครรู้ คุณจึงส่งผมไปที่นั้น แถมคุณยังอนุญาตให้ทรีซังเดินทางไปกับผมด้วย แสดงว่าคุณตั้งใจจะให้ทรีซังเข้ามาส่วนในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และเมื่อพวกเราผ่านมันมาได้ คุณคงเห็นว่ามันเป็น”อนาคตที่ดีที่สุด” เป็นการยิงนก2ตัวด้วยธนูลูกเดียวจริงๆ มีอะไรขาดตกบกพร่องอีกมั้ยครับ คุณนี่มันสุดยอดจริงๆ ]

 

เมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น เธอถึงกับเผยรอยยิ้มที่เป็นสุขนั้นออกมา

 

[ ถูกต้องแล้ว ข้าต้องการให้ผลมันเป็นแบบนั้น ศิษย์รัก รู้มั้ย การที่ข้าให้เธอตายครั้งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยนะ มันก็เหมือนวันเก่าๆนั้นแหละ นายมันไม่เคยจำอะไรได้เลยสักอย่างเดียว เพราะอย่างงั้นเลยต้องสอนนายเรียนรู้ความเจ็บปวดจากร่างกายแทน ]

 

ใช่แล้ว

ในตอนนั้น 

ผมตายไปแล้วครั้งหนึ่ง 

มันไม่ใช่คำเปรียบเทียบหรอก

ถูกสาปเป็นหิน โดยทำลาย แล้วก็ตายมันก็แค่นั้น

ผมตาย . .

แต่เหตุผลบางอย่าง ผมได้ฟื้นกลับมาในทันที

เพราะตอนผมตายนั้น

มันทำให้ทรีซังและลิลลิรูริต้องตกอยู่ในอันตราย

เพราะอย่างงั้นมันเลยทำให้ผมโกรธ

. . .บ้าเอ้ย ผู้กล้าคนก่อนอะไรกัน 

น่าสังเวชโดยแท้

ขณะที่ผมกำลังโทษตัวเองอยู่นั้น ลิลลิรูริได้จับมาที่ข้อมือผม พร้อมมาอยู่ด้านหน้าผม

 

[ คุณ . .ตาย? ]

 

เราทั้ง 2 จ้องตากัน . . 

 

[ หือ? อะไรกัน นายยังไม่ได้บอกพวกเขาหรอกหรอว่านายเป็นผู้กล้าคนก่อน ? ]

[ อืม เรื่องนั้นผมบอกพวกเขาแล้ว ]

 

ใช่แล้ว 3วันระหว่างที่เรากำลังเดินทางมาเมืองหลวง 

ผมได้บอกเรื่องนี้กับพวกเธอว่าผมเป็นผู้กล้า

ที่จริงมันเป็นเพราะโนตมจังใบ้พวกเธอเยอะเกินไป

ลิลลิรูริดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรมากนัก 

แต่เมื่อผมบอกกับทรีซัง เธอก็ทำหน้าตกใจแล้วพูดออกมาว่า “นี่สินะเหตุผลของความแข็งแกร็งนั้น”

แต่ . . 

ผมบอกพวกเธอแค่ว่าผมเป็นผู้กล้า

ผมไม่ได้บอกพวกเธอว่าผมตายไป 1 ครั้ง ทรีซังดูเหมือนว่าเธอต้องการที่จะถามเกี่ยวกับมัน แต่ดูจากบรรยากาศตอนนี้แล้ว เธอเลยได้แต่เงียบ

เอาล่ะ ผมจะตอบคำถามเธอ

 

[ ทรีซังครับ ผมถูกทำให้เป็นหินและถูกทุบโดยบาซิลิสก์ ถูกต้องมั้ยครับ ]

[ …ใช่ ]

 

ทรีซังพงักหน้าเล็กๆ หลังจากผมถามไปอย่างงั้น

 

[ ในตอนนั้น ผมได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ถึงอย่างกระนั้น ผมที่เป็นผู้กล้า ก็สามารถฟื้นได้ทันที ]

[ ยู . . .นาย  . .ไม่เป็นไรนะ ]

 

ลิลลิรุริมองที่ผมด้วยใบหน้าที่พร้อมจะร้องให้ตลอดเวลา . . 

 

[ ไม่เป็นไรครับ ถึงผมจะถูกทำให้กลายเป็นหินในตอนนั้น แต่มันเลยไม่รู้สึกเจ็บตอนถูกทุบ  อย่างน้อยก็โชคดีนะที่กลายเป็นหินซะก่อน ]

 

ผมตอบคำถามพร้อมกับลูบหัวเธอเบาๆ ทรีซังได้เดินเข้ามาข้างๆผม

 

[ แสดงว่า ผู้กล้าเป็นอมตะใช่มั้ย ]

[ จะคิดอย่างงั้นก็ได้นะ แต่ผมไม่ใช่ผู้กล้า ]

 

เมื่อผมตอบไปอย่างงั้น 

ทรีซังทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดออกมา . . .

 

[ คิคิคิคิ จะเป็นคนอื่นไปได้ยังไงนอกจากนาย ไอ้หนู นายไม่อยากเป็นอะไรที่เหมือนกับสัตวประหลาดอมตะสินะ ? ]

 

นอร์นหัวเราะออกมา 

มันเป็นอย่างที่เธอพูดนั้นแหละ 

เพราะอย่างงั้นผมจึงไม่ได้บอกรายละเอียดกับพวกเธอมากนั้น 

เพราะมันจะทำให้ดูเหมือนผมยังเป็นผู้กล้า

 

[ ผู้กล้าโดยทั่วๆไปแล้วคือคนที่แบกความหวังของผู้คนและเปลี่ยนมันเป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม”ดาบศักดิ์สิทธิ์ Alto Vreede ” และผู้กล้าเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองมันได้ไงล่ะจ้ะ ศิษย์รัก ]

[ ดาบศักดิ์สิทธิ์? ]

 

ผมเข้าใจว่าทำไมทรีซังถึงมีเครื่องหมายคำถามบนหัวเธอ เพราะความพยายามขององค์หญิงลำดับที่สองและยายแก่ ถึงชื่อของผู้กล้าจะปรากฎบนโลกใบนี้ แต่ดูเหมือนว่าชื่อจริงๆของผมนั้นจะถูกปกปิดไว้

เจ้าหญิงแห่งลัคซีเรียจึงทราบเรื่องนี้ดี

เพราะการอัญเชิญผู้กล้าที่ครอบครองดาบศักดิ์สิทธ์จะต้องใช้ “รหัส” ซึ่งรหัสในการเรียกก็คือ “Alto Vreede” นั้นคือชื่อที่ถูกต้อง

 

[ ในระหว่างการปราบจอมมาร ดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นจะไม่ยอมให้ผู้ถือครองตายได้ ดังนั้น ในระหว่างที่ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผู้ครอบครองจะกลายเป็นอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์ จนกว่าเขาจะฆ่าจอมมารลงได้เท่านั้น ]

 

ดาบศักดิ์สิทธิที่เปรียบเสมือนความหวังของผู้คน 

เกิดจากการภาวนาของผู้คน 

ในขณะเดียวกัน

จอมมารเปรียบเสมือนความเกลียดชังของผู้คน

เกิดจากการรวมตัวกันของความริษยาของผู้คน

เพราะอย่างงั้นผู้ที่ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ คือศัตรูของจอมมารอย่างแท้จริง ถึงแม้จะมีฝั่งใหนถูกจัดการก็เถอะ พวกเขาก็จะไม่ตายจริงๆหรอก

นั้นเป็นเหตุผมว่าทำไมพวกเราจึงเลือกที่จะผนึกจอมมารไว้ เพราะว่ามันไม่สามารถที่จะตายได้เช่นเดียวกับผม จอมมารสามารถจะคืนชีพกี่ครั้งก็ได้แม้เขาจะพ่ายแพ้ไปแล้วก็ตาม และเพราะอย่างงั้น มันก็จะกลายเป็นการต่อสู้แบบนี้ไม่มีวันสิ้นสุด ถึงแม้มันจะจำเป็นต้องทำก็ตาม . . .

เหตุนี้ ทำให้เราสูญเสียคนสำคัญไปหลายคนเลยทีเดียว . . .  .  . —–

 

[ ก็ตามที่พูดนั้นแหละ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไป หลานสาวผู้มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เขาจะไม่มีทางตายแม้เขาอยากจะตายแค่ไหนก็ตาม ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ]

 

แม่มดแห่งกาลเวลาได้หัวเราะออกมา. . .