อินกองพูดอธิบายให้คารัคฟังในระหว่างที่เดินทางกลับจากกระโจมของเคทลิน

 

 คารัคพยักหน้าเหมือนกับว่ามันคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว

 

“สรุปสั้นๆก็คือ เป็นอีกหนึ่งภารกิจลาดตระเวณ”

 

“อาจจะดูกระทันหันไปหน่อย แต่ภารกิจจะเริ่มวันนี้ ยังไงก็ช่วยปิดเป็นความลับให้มากที่สุดด้วย”

 

 ข้อมูลเรื่องถ้ำต้องให้คนรู้น้อยที่สุด ด้วยเผ่าสายฟ้าชาดจะเป็นเผ่าออร์ค ทำให้มันไม่น่าจะใช้วิธีที่แยบคายอย่างการใช้สายลับสืบข้อมูล แต่ก็ป้องกันเผื่อไว้ก่อนดีที่สุด

 

 ยิ่งเส้นทางภายในถ้ำถูกสำรวจเสร็จไวเท่าไร ก็ยิ่งดี เพราะแนวทางการรบในอนาคตอาจจะเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับว่าตำแหน่งของเส้นทางนั้นนี้จะไปโผล่ที่ไหน

 

 คารัคพยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไรทั้งสิ้น

 

“เอ้อ ระหว่างที่องค์ชายไม่อยู่ วันนี้ข้าได้ไปเกณฑ์กำลังรบมาเพิ่มนิดหน่อย”

 

“เกณฑ์กำลังรบ?”

 

 คารัคหัวเราะให้กับข้อสงสัยของอินกอง

 

“ทหารเราบาดเจ็บไปเยอะอยู่”

 

 ในการต่อสู้กับไคชินนั้น สถานการณ์ฝั่งของอินกองตกเป็นรองตลอด จนกระทั้งคารัคสังหารไคชินได้ นั่นทำให้มีทหารบาดเจ็บหลายตน บ้างก็ล้มตาย

 

 อินกองไม่คิดว่าเขาจะสูญเสียไปเยอะขนาดนี้ ในขณะที่เขามัวเป็นกังวลกับลมปราณ เขากลับลืมคิดถึงกำลังออร์คที่เขาสูญเสียไปอย่างสนิทใจ

 

‘อินกอง แกไม่ได้เล่นเกมอยู่นะ นี่มันฆ่าตายกันของจริง’

 

 ปริมาณทหารในเกมเป็นเพียงแค่ตัวเลข ถ้าเขามีทรัพยากรเพียงพอ จะสร้างเพิ่มเท่าไรก็ได้

 

 แต่นี่ไม่ใช้เกม ทหารแต่ละตนก็ล้วนมีชีวิต

 

 อินกองสูดหายใจเข้าลึกๆหลังจากคิดอะไรอยู่นาน เขาไม่สามารถให้สิทธิพิเศษกับทหารทุกนายได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรคิดว่าทหารเหล่านี้เป็นสิ่งของแบบที่เขาทำ ถ้าเขาคิดนับชีวิตแค่ด้วยตัวเลข เขาก็ไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์

 

 อินกองเตรียมใจแล้วหันหน้าไปถามคารัค ‘แกคิดอะไรอีกละรอบนี้?’ สายตาของมันบ่งบอกได้ถึงความสงสัย

 

 อินกองยักไหล่

 

“แล้วได้ผลว่าไง พวกนั้นจะมาเข้าร่วมไหม?”

 

“ก็เดิมที่พวกเรามีทหาร 30 นาย ตอนนี้เรามีเพิ่มขึ้นมาเป็น 50 แต่เพราะที่นี่อยู่ค่อนข้างไกล พวกทหารที่มาเพิ่มก็เลยพักอยู่ที่ค่ายขององค์ชายคริสต์ในตอนนี้”

 

“หืม?”

 

 เหมือนจำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว?

 

“นั่นก็เพราะผลงานขององค์ชาย”

 

 คารัคพูดอย่างอารมณ์ดี อันที่จริง อินกองก็พอคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้

 

 ทุกความสำเร็จจะมีรางวัลอยู่ นั่นคือหลักการพื้นฐานในบทกวีแห่งผู้กล้า

 

 อินกองประกาศศักดาตนเองจากการสังหารไคชินและไคดุม นอกจากนี้ยังค้นพบเส้นทางลับอีก มันก็เป็นธรรมดาที่ทางวังหลวงจะตบรางวัลให้

 

‘อันที่จริง ที่ฉัตรมีทหารแค่ ออร์ค 30 ตน นั่นก็เพราะว่าไม่มีผลงานอะไรเลยในอดีต’

 

 ทั้งที่เป็นลูกจอมมารเหมือนกัน เคทลินกับคริสต์กลับได้รับกำลังมากกว่าที่ฉัตรได้รับเยอะ ยังไม่นับทหารไลแคนโทรปส่วนตัวของทั้งคู่อีก

 

 เหตุผลมันก็ง่ายมาก

 

 ทั้งคู่มีผลงานมากพอ คู่ควรกับชื่อ องค์หญิง องค์ชาย

 

‘ต่อจากนี้ เราก็จะเริ่มสร้างผลงานละนะ’

 

 ด้วยพลังแห่งการคิดบวก เขาจะทำมันให้เป็นจริง

 

 อินกองกำมือแสดงความมุ่งมั่นออกมาแล้วถามคารัค

 

“แล้วนายได้รับรางวัลอะไรส่วนตัวต่างหากหรือเปล่า?”

 

 ถึงจะถือเป็นความชอบของอินกอง แต่ผลงานจริงๆเป็นฝีมือของคารัค มันหัวเราะออกมาเสียงดังพลางทุบหน้าอกตัวเอง

 

“ข้าได้รางวัลจากองค์ชายมาเรียบร้อยแล้ว”

 

 คารัคชูขวานดวอฟที่ได้รับจากอินกองขึ้นมาอย่างภาคภูมิ

 

“ผมดีใจนะ ที่นายชอบมัน”

 

‘เรายังมีอุปกรณ์ในช่องเก็บของอีกเยอะ เราเอาเกราะออกมาให้คารัคเพิ่มจะดีไหมนะ?’

 

 เขาตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับคารัค ฉะนั้นการลงทุนทุกอย่างที่ทำให้คารัคแข็งแกร่งขึ้น ย่อมเป็นผลดีกับตัวเขาเองด้วย

 

 หลังจากกลับถึงกระโจมเรียบร้อย อินกองเตรียมตัวออกเดินทางทำภารกิจลาดตระเวณอีกครั้ง

 

&

 

 เส้นทางไปยังถ้ำไม่มีอุปสรรคอันใด อันที่จริง ตัวถ้ำก็อยู่ไม่ไกลจากค่ายของอินกองมากนัก และจากการตายของไคชิน ทำให้ตัวถ้ำก็อยู่ในขอบเขตดูแลของคริสต์และเคทลินด้วย

 

‘ปกติเจ้าชายมันต้องขี่ม้าอย่างโอ่อ่าไม่ใช่เหรอวะ’

 

 เหมือนกับการเดินทางครั้งที่แล้ว อินกองเดินเท้าตามหลังคารัค

 

‘จะว่าไป ทั้งคริสต์และเคทลินก็เหมือนจะเดินเท้าตลอด หรือว่าเพราะสองคนนั้นเป็นไลแคนโทรป?’

 

 ตอนที่เล่นเป็นแซเฟียร์ เขาไปไหนมาไหนบนหลังม้าตลอด แล้วก็ไม่ใช้ม้าธรรมดา แต่เป็น อัศวไร้เงา ม้าวิญญาณที่สามารถกระทั่งบินในอากาศ

 

‘เดี๋ยวเราต้องหามาใช้สักตัว’

 

 อินกองที่มัวจมปลักอยู่กับเกียรติยศในอดีต(?)หยุดเดิน เบื้องหน้าเขามีบุคคลในชุดคลุมสีดำยืนขวางถนนอยู่ 2 คน

 

“เคทลินนูนะ?”

 

“ชู่!”

 

 เคทลินชูนิ้วขึ้นแตะปากแล้วส่งสัญญาณบอกให้เขาเข้าใกล้ อินกองเดินเข้าไปหาเธอ คารัคไม่มีอาการตกใจใดใดทั้งสิ้น นั่นเพราะเขาจำทั้งคู่ได้ บุคคลในชุดคลุมอีกคนก็คือ เซร่า  องครักษ์ประจำตัวของเคทลินที่เขาได้เจอที่ค่ายเมื่อวันก่อน

 

 อินกองพยักหน้ารับการคุกเข่าตามราชพิธีการของเซร่า แล้วหันไปถามเคทลิน

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมนูนะใส่ชุดคลุมมาที่นี่?”

 

 ชุดปกติของเคทลินไม่ได้มิดชิดมาก ต่างกับชุดคลุมที่นางสวมอยู่ในขณะนี้ เคทลินตอบกลับมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา

 

“ฉันจะตามเธอไปเงียบๆในภารกิจครั้งนี้ เผื่อเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น”

 

 เขาพอจะเข้าใจความคิดของเธอ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดูเป็นความลับ อินกองเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความสงสัย,

 

“เอ่อ นูนะก็เลยแอบมา?”

 

 ถึงเธอจะมาช่วยอินกองทำภารกิจ แต่ก็ไม่ได้มาอย่างเป็นทางการ หรือก็คือให้คิดซะว่าเธอไม่มีตัวตน

 

 เคทลินพยักหน้า

 

“ฉันจะลงมือก็ต่อเมื่อมันดูอันตราย เพราะว่านี่ควรจะเป็นผลงานของเธอ”

 

 อินกองเริ่มที่จะเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเคทลิน

 

 พวกเขาไม่รู้ว่าเผ่าสายฟ้าชาดมีข้อมูลเกี่ยวกับถ้ำนี่มากน้อยเพียงไร เคทลินจึงตามมาสมทบ

 

 ทว่าหากเคทลินเข้ามามีส่วมร่วม ความดีความชอบก็จะเป็นของทั้งคู่ นางจึงได้แอบมาอย่างไม่เป็นทางการ

 

‘นี่เป็นเพราะทางวังหลวงมุ่งจะดูแต่ผลลัพท์ละนะ อะไรๆก็เลยยุ่งยาก’

 

 ถึงแม้การปฏิบัติของคนรอบข้างจะขึ้นกับชื่อเสียงก็จริง แต่มันก็สร้างความกดดันให้กับเด็กๆ

 

‘เธออยากจะช่วยผลักดันเราสินะ?’

 

 แต่มันก็สามารถมองได้จากหลายมุม ถ้าฉัตรมีผลงานเยอะขึ้น เขาก็จะมีประโยชน์มากขึ้น หรือบางทีเธอก็อาจจะต้องการเพียงผูกมิตรกับเขา

 

‘คริสต์ไม่น่าจะรู้เห็นกับเรื่องนี้’

 

 ดูเหมือนว่าเธอจะตั้งใจมาช่วยเขาโดยไม่มีอะไรแอบแฝง

 

‘นี่เราจะมองโลกแง่ร้ายไปตลอดเลยหรือไง? ไม่ใช่ทุกคนซะหน่อย ที่จะวางแผนอะไรตลอดเวลา’

 

 หลังจากที่เขาปักใจเชื่อ เขาก็หันมายิ้มให้กับเคทลิน

 

“เข้าใจแล้วครับนูนะ ขอบคุณนะครับ”

 

“อื้ม”

 

 เคทลินปลดชุดคลุมของเธอลงมาบริเวณไหล่ เธอเดินนำไปที่กองทหารโดยมีเซร่าเดินตามข้างหลัง แน่นอนว่าเซร่าไม่ได้ชอบใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก

 

‘ก็สมควรละนะ’

 

 มันเป็นสถานการณ์ที่เจ้านายของเธอไปช่วยคนอื่นโดยไม่ได้อะไรตอบแทน มันไม่ใช่อะไรที่คนเคร่งจัดอย่างเธอจะพอใจได้เลย

 

 หลังจากที่อินกองกลับมาประจำที่ของเขา คารัคก็หันมาถาม

 

“องค์หญิงมาด้วย จะไม่เป็นอะไรแน่นะ?”

 

“เอ่อ คิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วทำภารกิจของเราต่อไป”

 

 เคทลินเดินตามอย่างเงียบเชียบ คารัคจึงเริ่มไม่สนใจเธอ

 

 เวลาผ่านไปเท่าไรกันนะ?

 

 อินกองเจอเส้นทางเล็กๆที่เขาได้บอกคริสต์กับเคทลินไป

 

 สิ่งที่ต่างจากทางเดิมก็คือ มันแยกออกไปคนละทิศทาง อินกองตรวจดูตามห้องที่พบระหว่างทาง แต่ก็ได้เพียงถอนหายใจ

 

“ไม่เหลืออะไรเลยยยยย”

 

 เขาคาดว่าจะพบอะไรเก่าแก่จนฝุ่นเกาะบ้าง แต่กลับไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งกระดาษเอกสาร

 

 ทว่า คารัคกลับพูดขึ้นมาโดยไม่มีอาการประหลาดใจแต่อย่างใด

 

“เราขนของมีค่าไปด้วยเวลาเราย้ายที่อยู่ เพราะงั้น พวกดวอฟก็น่าจะขนของไปหมดตอนอพยพ”

 

“แล้วอาวุธเมื่อวานจะว่ายังไง?”

 

“บางทีมันอาจจะไม่ได้มีค่ามากมาย?”

 

 อินกองพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่จ้องมองคารัค

 

‘ปกติออร์คมันคิดอะไรแบบนี้ได้ด้วยหรอวะ?’

 

 เขารู้สึกแปลกใจ แต่ถ้าลูกน้องของเขาฉลาดมันก็เป็นผลดีกับตัวเขา คิดได้ดังนั้น อินกองก็หันไปมองเคทลินที่ตามมาด้านหลัง ด้วยชุดคลุมสีดำของเธอ ทำให้เขาหาตัวเธอได้ยาก

 

‘ครั้งหน้าเราขอให้เธออัดด้วยเวทมนตร์ซักอย่างท่าจะดี’

 

 พอเขาเห็นเคทลิน เขาก็นึกถึงเรื่องลมปราณ แล้วทันใดนั้นเขาก็คิดถึงเวทมนตร์กับรัศมีเทพขึ้นมา

 

 เธอจะเรียกเราว่าไอ้โรคจิตอีกไหมนะ? ถ้าเราขอให้เธอใช้เวทมนตร์อัดเรา’

 

 อินกองหัวเราะแห้งๆหลังจากที่นึกถึงการตอบสนองของเคทลินขึ้นมาในหัว

 

‘นี่ถ้าเราโดนอัดด้วยเวทมนตร์มันจะเกิดอะไรขึ้นนะ? เราจะเรียนมันได้เหมือนลมปราณหรือเปล่า? หรือว่าจะเจ็บตัวฟรี?’

 

 เขาอยากทดลองอะไรอีกหลายอย่าง หลังจากภารกิจลาดตระเวณนี้จบลง เขาต้องขอให้เธออัดเขาด้วยพลังต่างๆที่เธอมีให้ได้

 

‘หึหึหึ! เวทมนตร์ เวทมนตร์!’

 

 อินกองยิ้มอย่างมีความสุข ในขณะที่เขาจินตนาการภาพที่ตัวเองกำลังถูกเคทลินอัด

 แกมันไอ้โรคจิตตตตตต

 

 ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วพลางมองไปข้างหน้า คารัคที่อยู่ข้างๆก็มีอาการเดียวกัน

 

“องค์ชาย”

 

 คารัคยกขวานของเขาขึ้นประจำที่ พลางส่งเสียงเตือนอินกองเบาๆ อินกองหรี่ตามองไปข้างหน้า

 

 ในแผนที่ย่อของเขาเต็มไปด้วยจุดสีแดง