ตอนที่ 12 ไม่เคยเจอคนหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 12 ไม่เคยเจอคนหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน

ขั้นตอนทะลวงเส้นลมปราณนั้นค่อนข้างเชื่องช้า โดยพื้นฐานแล้วเส้นลมปราณที่ในเวลานี้ยังไม่เคยผ่านการใช้งานอย่างเป็นทางการมาก่อนจะมีความอ่อนแอบอบบาง ไม่อาจฝืนทำการชะล้างอย่างรุนแรงได้ จำเป็นต้องมีกระบวนการปรับตัว ในจุดนี้ก็เหมือนกับท่อน้ำคุณภาพต่ำเส้นหนึ่ง การที่จู่ๆ ต้องมารองรับแรงดันน้ำสูงจะทำให้ระเบิดได้ง่ายๆ

และเส้นลมปราณที่ใช้สำหรับเดินลมปราณภายในร่างกายก็คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการฝึกฝนปราณแท้ ในการบำเพ็ญเพียรมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สร้างรากฐาน’ อยู่ อันที่จริงสิ่งที่เรียกว่าสร้างรากฐานก็คือการทำให้เส้นลมปราณสำหรับโคจรลมปราณที่เป็นเหมือนตาข่ายภายในร่างกายผืนนั้นมีความแข็งแกร่ง ทำให้ช่องทางสำหรับไหลเวียนปราณแท้ภายในร่างกายสามารถทนรับแรงดันสูงและสามารถรับแรงกระแทกด้วยความเร็วสูงได้ เมื่อวางรากฐานให้ดีแล้ว หรือก็คือบรรลุถึงสภาวะที่เรียกว่า ‘สร้างรากฐาน’ แล้ว เมื่อนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าเส้นลมปราณจะมีปัญหาอีก แต่แน่นอน การสร้างรากฐานมันก็ยังมีการแบ่งแยกว่าสร้างได้ดีกับสร้างได้ไม่ดีอยู่ รากฐานยิ่งดีเท่าไร ความสามารถในการรับแรงกดดันก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้เขาเพิ่งจะก้าวเดินไปในขอบเขตของการฝึกลมปราณได้ไม่นาน ยังอยู่ห่างไกลจากสภาวะขั้นสร้างรากฐานอยู่มากนัก

การทะลวงเส้นลมปราณมิใช่สิ่งที่จะทำให้สำเร็จได้ในวันสองวัน นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นช่วงกลางวันเขายังต้องออกไปเสนอหน้าแสร้งทำตัวว่านอนสอนง่ายอีก

ทันทีที่แสงอรุณปรากฏ เขาก็เก็บลมปราณทันที ปราณแท้สายหนึ่งถูกเก็บไว้ในจุดตันเถียน เสมือนกระบี่ล้ำค่าตั้งตระหง่านลองล่อยพร้อมประจัญบาน กระแสปราณเต็มเปี่ยม

หนิวโหย่วเต้าอาบน้ำล้างหน้า ขจัดกลิ่นคาวเลือดทั้งตัวจนหมด ยืนอยู่กลางลานเรือนอ้าสองแขนรับแสงตะวันแรกของวัน เมื่อฝึกฝนจนเกิดปราณแท้ เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าสบายตัวที่ห่างหายไปนาน

กลางวันรับมือกับสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่ว พอตกกลางคืนก็ละวางการฝึกฝนอื่นๆ ไว้ชั่วคราว เข้าสู่สภาวะทะลวงเส้นลมปราณทันที

วันเวลาเช่นนี้ผ่านพ้นไปทีละวันๆ คล้ายจะไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับตัวเขาเลย เขาเกิดความรู้สึกเหมือนตนถูกหลงลืมไว้ในซอกมุมหนึ่ง

กลับเป็นซ่งเหยี่ยนชิงที่ระลึกถึงตนอยู่เสมอ แวะเวียนมาหาทุกสองวันสามวัน ถามว่าเขานึกบทกลอนของอาจารย์ออกหรือไม่ หนิวโหย่วเต้าย่อมบ่ายเบี่ยงไปอย่างนุ่มนวล ไม่เห็นหมูย่อมไม่ยื่นแมว

หลายวันผ่านไป ผู้อาวุโสหลัวหยวนกงมาเยือน คนผู้นี้คือผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ท่าทางองอาจภูมิฐานยิ่ง หนวดเครายาวสามเส้นดำดุจน้ำหมึก ให้ความรู้สึกขึงขังทรงอำนาจ เมื่อเทียบกันแล้ว ภาพลักษณ์ของผู้อาวุโสซูพั่วในความทรงจำของศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดูจะเงียบขรึมสงวนวาจา ส่วนผู้อาวุโสถังซู่ซู่ดูค่อนข้างเฉียบแหลม ไม่ทราบว่าเพราะเป็นสตรีหรือไม่

ซ่งเหยี่ยนชิงก็ตามมาด้วย ที่พวกเขามาเยือนครั้งนี้มิใช่เพราะเรื่องอื่นใด หากแต่มาเพื่อถ่ายทอดวิชาให้แก่หนิวโหย่วเต้าอย่างเป็นทางการ การที่หลัวหยวนกงมาด้วยตัวเองก็เพื่อจะทำให้ขั้นตอนนี้ดูเป็นทางการขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น

มาตรว่าเป็นเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้ายังคงเลื่อมใสในความสามารถของซ่งเหยี่ยนชิงเป็นอย่างยิ่ง การที่สามารถรบเร้าให้หลัวหยวนกงมาที่นี่ได้ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่ตระกูลซ่งมีต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

ภายในโถงดอกท้อมีรูปปั้นบรรพจารย์ตั้งอยู่ หลังจากคารวะบรรพจารย์เสร็จเรียบร้อย หลัวหยวนกงก็สั่งให้ศิษย์ผู้ติดตามนำเอาตำราสองสามเล่มมอบให้แก่หนิวโหย่วเต้า จากนั้นสั่งให้หนิวโหย่วเต้าคุกเข่ากล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าบรรพจารย์ สาบานว่าจะไม่แพร่งพรายวิชาต่อคนนอก

พิธีการเสร็จเรียบร้อย ความจริงสีหน้าที่หลัวหยวนกงมองดูหนิวโหย่วเต้าเองก็ค่อนข้างสับสนอยู่เช่นกัน เนื่องจากตนรู้อยู่แก่ใจดี จะเรียกว่าละอายใจก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้ารูปปั้นบรรพจารย์ เขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ หลังละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็โอนอ่อนลง เอ่ยกำชับหนิวโหย่วเต้าด้วยท่าทีอ่อนโยนว่า “ศิษย์พี่ของข้าก็นับว่าฉลาดหลักแหลม ศิษย์หลายคนที่เขารับไว้ต่างเป็นอัจฉริยะในหมู่คน อาจารย์ของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น นับว่าเป็นยอดคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่มีอยู่น้อยนิดในช่วงหลายปีมานี้ หวังว่าเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร อย่าให้ผิดต่อความหวังสุดท้ายของอาจารย์เจ้า มุ่งสร้างคุณูปการประสบความสำเร็จ แล้วก็เพื่อเป็นกำลังส่วนหนึ่งให้แก่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราในอนาคต”

“ขอรับ ศิษย์จะจดจำไว้!” หนิวโหย่วเต้าประคองม้วนตำราด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม ทว่าภายในใจปิติจนแทบคลั่ง แทบทนรอพลิกอ่านตำราในมือให้หนำใจไม่ไหวแล้ว

หลัวหยวนกงหันไปเอ่ยกับซ่งเหยี่ยนชิง “เป็นศิษย์ร่วมสำนักก็สมควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อาจารย์ลุงตงกัวของเจ้าสิ้นบุญไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าไร้ผู้ถ่ายทอดวิชา เรื่องชี้แนะแนวทางและไขข้อสงสัยในการบำเพ็ญเพียรก็ขอมอบให้เป็นหน้าที่เจ้าก็แล้วกัน มีข้อโต้แย้งหรือไม่?”

ซ่งเหยี่ยนชิงประสานมือกล่าวตอบทันที “ไม่มีข้อโต้แย้งขอรับ ศิษย์จะพยายามอย่างเต็มที่!”

หลัวหยวนกงพยักหน้า จากนั้นเดินเล่นในสวนดอกท้อรอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสะเทือนใจที่ตงกัวเฮ่าหรานด่วนจากไปหรือไม่ จึงถอนหายใจอยู่หลายครา ก่อนเดินจากไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงรีบอ่านตำราเหล่านั้นอย่างหิวกระหายทันที สองตาส่องประกาย ฟันฝ่าอุปสรรคยากเข็ญมาถึงที่นี่ มิใช่เพื่อสิ่งนี้หรอกหรือ

เล่มหนึ่งคือ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ นี่คือเคล็ดวิชาดั้งเดิมของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

อีกเล่มหนึ่งคือ ‘บันทึกเสริมสวรรค์พิสุทธิ์’ โดยในนั้นมีเนื้อหาอยู่เยอะแยะมากมาย แบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายบท เช่นบทที่ว่าด้วยสมุนไพร บทที่ว่าด้วยโอสถ บทที่ว่าด้วยสัตว์สารพัน บทที่ว่าด้วยโลกภายนอกเป็นต้น อันบทว่าที่ด้วยโลกภายนอกล้วนเป็นบันทึกเรื่องราวของบุคคลบางส่วนในโลกบำเพ็ญเพียร หนิวโหย่วเต้าอ่านดูเล็กน้อย มองจากวันเวลาที่จดบันทึกจะเห็นได้ว่ามีการปรับเสริมเพิ่มเติมอยู่ตลอด

‘บันทึกเสริมสวรรค์พิสุทธิ์’ คือสิ่งที่หนิวโหย่วเต้าจำเป็นต้องใช้ มันมีส่วนช่วยให้เขาเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างมาก แต่หลังจากอ่านไปอ่านมาอยู่ครู่หนึ่งก็โยนไปกองไว้ด้านข้าง ความสนใจหลักๆ ยังคงอยู่ที่ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ นี่คือสิ่งที่เขาร้อนใจอยากจะรีบเปิดดู

ทันทีที่ได้อ่าน เขาก็อ่านอย่างดื่มด่ำเมามัว เมื่อครั้งที่ฝึกเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ในชาติก่อน ไม่รู้ว่าเขาพลิกอ่านตำราโบราณไปมากแค่ไหน ไปรบกวนผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยอธิบายมากน้อยเท่าไร ถึงได้แตกฉานในเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ สิ่งที่เก็บสั่งสมเอาไว้ได้แสดงประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ในตอนนี้แล้ว เขาอ่านทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ซ้ำยังได้อรรถรสอีกด้วย

เขารู้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมีวิชาบางส่วนที่ไม่ได้มอบให้ตนอยู่เป็นแน่ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบทุกอย่างให้เขาในคราวเดียว เขาไม่มีอะไรให้ต่อว่า ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น หลักการที่ว่าอย่าทำเรื่องเกินตัวเขายังคงเข้าใจดี แค่เพียงสิ่งที่อยู่ในมือก็เพียงพอให้เขาได้ใช้งานไปอีกนาน

วันต่อมา ซ่งเหยี่ยนชิงมาเยือนอีกครา มาหาเขาเพราะต้องการบทกลอน ส่วนคำพูดที่รับปากหลัวหยวนกงไว้ก็เสมือนผายลมมิมีผิด หนิวโหย่วเต้าถือตำรา ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ไว้ในมือ ถามถึงจุดหนึ่งว่ามีความหมายอย่างไร ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีความอดทนที่จะอธิบายให้เขาฟังเลย สรุปแล้วก็คือเรื่องที่รับปากเจ้าไว้ข้าทำให้เจ้าแล้ว เรื่องที่เจ้ารับปากข้าไว้ก็ต้องทำให้ข้าเช่นกัน!

ตัวบัดซบ! หนิวโหย่วเต้าด่าเขาในใจสามคำ ก่อนจะฝนหมึกหยิบพู่กันเขียนกลอนให้เขาบทหนึ่ง

หลังจากซ่งเหยี่ยนชิงหยิบไปอ่านก็ปรีดานัก หันมากล่าวอย่างเบิกบานว่า “มีอีกหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าสีหน้าขมขื่น กล่าวว่า “ตอนนี้นึกออกแค่บทเดียว!” เขาจะมอบทั้งหมดให้อีกฝ่ายโดยไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ตนได้อย่างไร

“แค่บทเดียว?” ใบหน้าซ่งเหยี่ยนชิงคร่ำเคร่งขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ศิษย์พี่ ความจำข้าไม่ค่อยดี ให้เวลาข้าค่อยๆ คิดเถอะ! ว่าแต่จุดนี้หมายความว่าอย่างไร?” พลางนำ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ มาขอคำชี้แนะอีกครั้ง

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “จุดไหนที่ไม่เข้าใจก็ไปถามสวี่อี่เทียนกับเฉินกุยซั่วซะ ส่วนเรื่องสำคัญที่ข้าให้เจ้าจัดการก็อย่าได้โอ้เอ้ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” พูดจาข่มขู่เสร็จก็สะบัดหน้าเดินหนีไป

หนิวโหย่วเต้าทำตามที่เขาบอก ไม่เข้าใจจุดไหนใน ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ก็ไปขอคำชี้แนะจากสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่ว นั่นมิใช่เพราะว่าสิ่งที่เขาเคยเข้าใจจากชาติก่อนไม่มีประโยชน์ หากแต่เป็นเพราะสถานการณ์ของทั้งสองโลกมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง มีบางจุดที่ยังคงผิดแผกแปลกแยกกัน ข้อสงสัยในบางเรื่องนั้นจำเป็นต้องขอคำชี้แนะถึงจะกระจ่างได้

วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ ตอนกลางวันเขาศึกษาตำรา ตกกลางคืนตั้งใจฝึกฝน ทะลวงเส้นลมปราณของตนต่อไป

แต่ในขณะที่ทำการจัดระเบียบเส้นลมปราณ เขาก็ค้นพบปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง มันคือปัญหาที่ตงกัวเฮ่าหรานทิ้งเอาไว้ในร่างของเขา ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่อีกฝ่ายซัดเข้าไปในจุดลมปราณของเขากลับยึดกุมภายในจุดลมปราณประหนึ่งใยแมงมุม อาศัยสภาวะของเขาในเวลานี้ยากจะกำจัดทิ้งไปได้ หากลองฝืนกำจัดทิ้งก็จะถูกยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่เชื่อมโยงกับเลือดลมของเขาเสมือนข่ายพลังขนาดใหญ่ดีดสะท้อนกลับมา ปราณแท้เอกะวิถีของเขาอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย จึงถูกดีดสะท้อนกลับมา

เมื่อมียันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายยึดกุมอยู่เช่นนี้ การโคจรปราณแท้ของเขาจึงได้รับผลกระทบอยู่พอสมควร ยามนี้เขาฝึกฝนจนก่อกำเนิดปราณแท้ จริงอยู่ที่สามารถกระตุ้นปลดปล่อยยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายออกมาได้ แต่พอนึกถึงว่าเจ้าสิ่งนี้มีพลังที่สามารถปกป้องตัวเขาได้ คิดๆ ดูแล้วจึงไม่ได้ปลดปล่อยมันทิ้งไป เก็บเอาไว้ป้องกันตัวก็ไม่มีอะไรเสียหาย

…….

“หากผันผ่านห้วงคำนึง ย่อมรู้ซึ้งข้าโศกหมอง คะนึงนานพาลผูกเจ็บ คะนึงสั้นไร้สิ้นสูญ…”

ภายในลานเรือนเงียบสงัด ถังอี๋ที่ถืองานเขียนของซ่งเหยี่ยนชิงค่อยๆ เดินเยื้องย่าง กล่าวท่องเสียงแผ่วเบา ยามรู้สึกซาบซึ้งกินใจ ก็อดไม่ได้ที่จะกอดไว้ในอ้อมอกดื่มด่ำอยู่เนิ่นนาน

นางให้คนไปสืบความเคลื่อนไหวของทางซ่งเหยี่ยนชิงอีกครั้ง แต่ยังคงไม่พบร่องรอยว่าซ่งเหยี่ยนชิงได้รับจดหมายจากโลกภายนอก หากแต่ไปยังสวนดอกท้ออีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าหมกมุ่นกับการบำเพ็ญเพียร ซ่งเหยี่ยนชิงมารบกวนเขาทุกสามวันห้าวัน ฝ่ายถังอี๋ก็ได้รับผลงานของซ่งเหยี่ยนชิงทุกสามวันห้าวัน

“ถามไถ่โลกหล้ารักเป็นฉันใด มาตรเป็นตายยังอยู่คู่เคียง…” ถังอี๋เดินเล่นในสวน

“พานพบชางไห่สมุทรอื่นใดมิเทียมทาน เมฆงามนอกอูซานย่อมมิอาจเรียกเมฆา…” ถังอี๋นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

“จีจิวขานเรียกคู่ เกาะอยู่แก่งกลางสายชล ยอดพธูงามเด่น เป็นที่หมายปองของชายชาญ…” ถังอี๋เอนกายพิงขอบหน้าต่าง

“บุปผาโรยราเป็นอิสระ หยาดฝนโปรยปรายนางแอ่นโผเคียงคู่…” ถังอี๋ยืนอยู่ในศาลา ค่อยๆ วางกระดาษในมือลง ดวงเนตรใสกระจ่างทอดมองสวนดอกท้อที่อยู่บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม

หากมิเป็นเพราะทราบดีว่าซ่งเหยี่ยนชิงเป็นคนอย่างไร นางคงถูกซ่งเหยี่ยนชิงทำให้สับสน ส่งกลอนดีบทหนึ่งมาทุกสามวันห้าวัน ทั้งหมดล้วนเป็นกลอนรักทั้งสิ้น ช่างลึกซึ้งกินใจเสียเหลือเกิน เพียงพอที่จะทำให้ใจคนหวั่นไหวได้ ทำเอาหัวใจของนางเต้นแรง แทบจะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่

นางมองออกแล้ว ขอเพียงซ่งเหยี่ยนชิงไปเยือนสวนดอกท้อ เขาก็จะต้องมีกลอนดีมาส่งให้แน่นอน

แล้วผู้ใดอยู่ในสวนดอกท้อกันเล่า? สวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน มักจะคลาดกับซ่งเหยี่ยนชิงที่ไปเยือนที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นก็เหลือแค่คนที่ถูกกักบริเวณอยู่ในนั้นเพียงคนเดียวแล้ว

แต่นางคิดไม่ออกเลยว่าเด็กหนุ่มบ้านป่าคนหนึ่ง ต่อให้เคยอ่านเขียนมาจนสามารถเขียนโคลงกลอนได้ แต่เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกันเชียว เหตุใดจึงสามารถแต่งกลอนรักเหล่านี้ได้?

หากมิใช่เขา เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดที่แต่งกลอนเหล่านี้? ตัวซ่งเหยี่ยนชิงหรือ? เป็นไปไม่ได้ ถ้ามีความสามารถเช่นนี้จริง ไหนเลยจะเก็บงำไว้แล้วค่อยมาเผยเอาตอนนี้

นางแอบสงสัยอยู่รางๆ หรือหนิวโหย่วเต้าจะไปได้ยินมาจากไหน แต่หากได้ยินมาจากที่อื่นจริง เช่นนั้นก็เค้นสมองเขียนทั้งหมดออกมาในคราวเดียวไม่ดีกว่าหรือ ไยต้องให้ซ่งเหยี่ยนชิงแวะเวียนไปหาทุกสามวันห้าวันด้วย?

มีข้อสงสัยอยู่เยอะแยะมากมายจริงๆ เรื่องนี้ทำให้นางเสมือนอยู่ท่ามกลางม่านหมอก…

……..

“ศิษย์พี่ซ่งเดินระวังด้วย!”

หนิวโหย่วเต้าประสานมือน้อมส่ง หลังจากส่งซ่งเหยี่ยนชิงออกจากเรือนไป เขาก็ด่าพึมพำขึ้นมาว่า “เคยเจอคนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเจอคนหน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่จบไม่สิ้นเสียที…เอ่อ ศิษย์พี่เฉิน!” เฉินกุยซั่วเดินหัวเราะหึหึเข้ามา

เฉินกุยซั่วเห็นกล่องสำรับที่วางอยู่ด้านข้าง ร้องจุ๊ๆ เอ่ยว่า “ระยะนี้ศิษย์พี่ซ่งดีต่อศิษย์น้องเล็กเสียจริง มาส่งสำรับอาหารด้วยตัวเองทุกวัน”

หนิวโหย่วเต้าทั้งฉุนทั้งขบขัน ซ่งเหยี่ยนชิงเอาใจใส่เช่นนี้ คาดว่าคงเอาใจถังอี๋ได้เป็นแน่

เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ หนิวโหย่วเต้าทำตามที่ตกลงไว้ เปิดกล่องสำรับ แบ่งปันกับเฉินกุยซั่ว ทั้งสองดื่มกินพูดคุย สนิทสนมกันยิ่ง

สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว ตอนนี้เรื่องอื่นใดล้วนไม่สำคัญ เส้นลมปราณในร่างถูกทะลวงจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เขาค้นพบว่าคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียรของตนนับว่าไม่เลวทีเดียว จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เวลาทั้งหมดล้วนทุ่มเทให้กับการฝึกฝน ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’

แต่ฝึกไปฝึกมา เขาก็ค้นพบปัญหาอีกข้อหนึ่ง ไม่รู้ว่าตนทำพลาดตรงไหนหรือเปล่า เหตุใดประสิทธิภาพของวิชา ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ที่ตนพยายามทุกวิถีทางกว่าจะหามาฝึกได้กลับก้าวหน้าได้ช้ากว่าเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นมิได้ช้ากว่าแค่เพียงเล็กน้อยด้วย

………………………………………………………….