ตอนที่ 13 ไขปริศนาคันฉ่อง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 13 ไขปริศนาคันฉ่อง

ยิ่งไปกว่านั้น วิชาของสวรรค์พิสุทธิ์ยังยากจะสั่นคลอนปราณแท้เอกะวิถีสายนั้นได้ ชาติก่อนใช่ว่าเขาจะไม่เคยฝึกฝนวิชาอื่น หากแต่เคยลองมาแล้ว นี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ที่ตนเฝ้าปรารถนายังมิอาจเทียบ ‘เอกะวิถี’ ได้

สภาวะของตงกัวเฮ่าหรานที่อยู่ในความทรงจำทำให้เขาตะลึงประหนึ่งพบเทพสวรรค์ แต่นี่มันอะไรกัน? หรือว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิได้มอบเคล็ดฝึกบำเพ็ญเพียรที่แท้จริงให้แก่ตน?

แต่หลังจากไปหลอกถามเฉินกุยซั่วดู ก็ไม่พบความผิดปกติอันใด ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ คือวิชาที่ดั้งเดิมที่สุดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ผู้คนตั้งแต่เบื้องบนจรดเบื้องล่างต่างฝึกฝนวิชานี้ ตัววิชาไม่มีปัญหาแน่นอน ความแตกต่างเพียงประการเดียวที่มีคือศิษย์ที่มีระดับชั้นไม่สูงพอจะไม่สามารถฝึกฝนวิชาอื่นได้เท่านั้น

ผีหลอกรึไง นี่มันเรื่องอะไรกัน? หนิวโหย่วเต้าครุ่นคิดไปมา นึกถึงความคืบหน้าของการฝึกฝน ‘เอกะวิถี’ ในตอนนี้ที่ห่างชั้นกับชาติก่อนนัก จึงค่อยๆ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง บางที ‘เอกะวิถี’ อาจจะแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่า ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ จริงๆ ก็เป็นได้ ความแตกต่างที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าพลังวิญญาณของสถานที่ที่เขาเคยอยู่ในชาติก่อนไม่อาจเทียบที่นี่ได้

หลังคิดได้เช่นนี้แล้ว เขายิ่งรู้สึกพูดไม่ออก ที่ตนลำบากตรากตรำมาตั้งนานมิเท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะดั้นด้นฝ่าอันตรายมาถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เพื่ออะไรกัน? แทบเอาชีวิตไปทิ้งด้วยซ้ำ แล้วดูสิเนี่ย ไม่รู้ว่าตนต้องถูกกักบริเวณไปจนถึงเมื่อไร

แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี บางครั้งเสียเปรียบบ้างก็เป็นเรื่องจำเป็น ยังจะว่าอะไรได้อีก ทำได้แค่เพียงทุ่มเทฝึกฝน ‘เอกะวิถี’ ต่อไปเท่านั้น

หนึ่งเดือนต่อมา ช่วงพลบค่ำ เขาร่ำสุรากับเฉินกุยซั่วใต้ต้นท้อ

“สุราทุกจอกล้วนกลั่นจากเมล็ดข้าว ด้านนอกไม่รู้ว่ามีชาวบ้านตาดำๆ อยู่มากน้อยเท่าไรที่กินไม่อิ่มท้อง หิวโหยตายเป็นเบือ แต่พวกเรากลับมาดื่มด่ำกับสุราเลิศรสอยู่ที่นี่ ไม่รู้นับเป็นบาปหรือไม่…” เฉินกุยซั่วที่ดื่มจนมีท่าทางมึนเมาอยู่หลายส่วนกล่าวรำพึงรำพันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคล้ายกำลังหยอกเย้าเล่น แต่คำหยอกล้อนี้ฟังดูน่าเศร้าใจอยู่บ้าง

ดวงตาหนิวโหย่วเต้าทอแววเคร่งขรึมแวบหนึ่ง จากนั้นยิ้มน้อยๆ ยกการินสุราให้ “ศิษย์พี่เชิญดื่ม”

ทั้งสองกินดื่มกันจนฟ้ามืด ขณะที่กำลังจะเลิกราแยกย้าย พลันมีแสงสว่างดวงหนึ่งลอยมาจากด้านล่างบันไดหิน เป็นผีเสื้อเรืองแสงตัวหนึ่ง ผู้ที่เดินตามมามิใช่ใครอื่น เป็นผู้อาวุโสถังซู่ซู่ ด้านหลังยังมีศิษย์ติดตามอีกสองคน

เฉินกุยซั่วและหนิวโหย่วเต้าตกใจ ไม่คิดว่าจู่ๆ ถังซู่ซู่จะปรากฎตัวขึ้นที่นี่ได้ จึงตะลีตะลานลุกขึ้นทำความเคารพ “ผู้อาวุโสถัง!”

สายตาเยียบเย็นของถังซู่ซู่กวาดมองข้าวของที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ แววตาเย็นชายกเงยขึ้นมา คล้ายจะถลึงตาใส่เฉินกุยซั่วที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า

เฉินกุยซั่วพลันตื่นตระหนก สีหน้าหวาดกลัวลนลาน ก้มศีรษะลงไป ถังซู่ซู่คือผู้อาวุโสคุมกฎของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ตามปกติจะดูแลเรื่องการลงโทษ ประกอบกับอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนหวาดกลัวนางทั้งสิ้น

แต่ถังซู่ซู่ในวันนี้ดูพูดคุยง่ายอยู่บ้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ทำตัวงามหน้านัก ยังไม่รีบเก็บกวาดให้สะอาดอีก?”

“ขอรับ!” ทั้งสองตอบรับ ราวกับได้รับการอภัยโทษ ขณะที่หนิวโหย่วเต้ากำลังจะตามเฉินกุยซั่วไปเก็บกวาด

ผู้ใดจะรู้ถังซู่ซู่กลับเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้า มานี่” พูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในเรือน

หนิวโหย่วเต้าตะลึงไปแวบหนึ่ง มองเฉินกุยซั่วด้วยสีหน้าฉงนสงสัย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

เฉินกุยซั่วรีบเอียงหัวส่งสัญญาณให้ สื่อว่าให้เขารีบตามเข้าไป อย่าให้ผู้อาวุโสถังคอยนาน

หนิวโหย่วเต้าได้แต่รีบตามเข้าไป ไม่ทราบเช่นกันว่าถังซู่ซู่มาที่นี่ด้วยเหตุใด มองเห็นถังซู่ซู่เดินวนอยู่ในลานบ้านอย่างเชื่องช้า ทำได้เพียงเดินตามหลังต้อยๆ ท่าทางสุภาพนอบน้อม สำหรับผู้อาวุโสถังคนนี้ เรียกได้ว่าเขามีความทรงจำที่ฝังลึก ยามพบหน้ากันครั้งแรก นางไม่มีการออมมือเลยแม้แต่น้อย มาถึงก็คิดจะเด็ดชีวิตของเขา ตอนนั้นหากมิเป็นเพราะยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่ตงกัวเฮ่าหรานถ่ายทอดเข้ามาในร่างของเขา ชีวิตน้อยๆ ของเขาคงต้องจบสิ้นลงไปเสียแล้ว ดังนั้นภายในใจเขาจึงรู้สึกหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง

“นับว่าเก็บกวาดได้สะอาดสะอ้านดี” หลังจากถังซู่ซู่ที่เดินวนเข้านอกออกในเสร็จก็เข้าไปในโถงดอกท้อพลางเปิดปากเอ่ย นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นบรรพจารย์พลางทำความเคารพอย่างนอบน้อม หลังจากยืดตัวขึ้นมาก็จ้องมองรูปปั้นอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเนิบๆ ว่า “นึกถึงปีนั้นที่บรรพจารย์มาบุกเบิกภูเขาก่อตั้งสำนักขึ้นที่นี่ สองมือของท่านว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย เรือนพำนักหลังแรกที่สร้างขึ้นคือสวนดอกท้อแห่งนี้ การได้พักอยู่ที่นี่ เท่ากับได้ซึมซับบารมีของบรรพจารย์ นับเป็นวาสนาของเจ้า”

“ขอรับ!” หนิวโหย่วเต้าขานรับอย่างนอบน้อม “นับเป็นวาสนาของศิษย์” ทว่าในใจกลับบ่นอิดออด วาสนากับผีสิ เอาข้ามากักบริเวณชัดๆ

ถังซู่ซู่หันกลับมา มองสำรวจไปรอบห้องเล็กน้อย พลางเอ่ยถามว่า “เคยชินกับที่พักหรือยัง?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “เรียนผู้อาวุโส สงบดียิ่งขอรับ”

ถังซู่ซู่มองข้ามความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของเขา เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ที่บ้านได้จับคู่วิวาห์ให้หรือไม่? อย่างเช่นเคยมีการหมั้นหมายอะไรทำนองนั้นหรือไม่?”

“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ ไม่ทราบว่านางถามเช่นนี้ทำไม จึงตอบไปอย่างระมัดระวังว่า “อายุยังน้อยไม่เคยหมั้นหมายขอรับ ทางบ้านฐานะยากจน ไม่มีคุณสมบัติคุยเรื่องวิวาห์”

“พูดจามีวาทศิลป์ ไม่คล้ายถือกำเนิดในป่าเขาเลยนะ” คำพูดของถังซู่ซู่ไม่ทราบว่าชมเชยหรือเย้ยหยันกันแน่ นางย้อนกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง “ชาติชายชาญชาตรี แสวงหาความก้าวหน้า ชาติกำเนิดภูมิหลังนับเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่างไรก็ตามตอนนี้มีบุพเพมามอบให้เจ้า นับเป็นโชคของเจ้าแล้ว”

“…..” หนิวโหย่วเต้ามองนางด้วยความงุนงง หมายความว่าอย่างไร? อยากฟังคำพูดต่อไปนาง

ทว่าถังซู่ซู่กลับหันไปมองรูปปั้นบรรพจารย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพจารย์ นางคล้ายละอายที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา จึงเรียกหนิวโหย่วเต้าออกไปจากโถงดอกท้อ เดินไปยังสวนด้านหลังด้วยกัน ก่อนจะเปิดปากเอ่ยอีกครั้ง “เจ้าสำนักถังมู่สิ้นบุญ ถังอี๋บุตรสาวของเขา หรือก็คือศิษย์พี่หญิงถังของเจ้า เจ้าเองก็เคยพบว่าแล้ว เจ้าคิดว่ารูปโฉมนางเป็นอย่างไรบ้าง?”

หนิวโหย่วเต้าสับสนไม่แน่ใจ ฟังจากวาจาทั้งก่อนหลัง หรือสิ่งที่เรียกว่าบุพเพจะหมายถึงการยกถังอี๋ให้ตน ล้อกันเล่นกระมัง? จึงเอ่ยไปด้วยความลังเลว่า “ศิษย์พี่หญิงถังย่อมหน้าตางดงามขอรับ”

“อืม!” ถังซู่ซู่พยักหน้า หยุดเดินพลางคลี่ยิ้มเอ่ยวาจา “บุพเพที่ว่านี้ก็คือศิษย์พี่หญิงถังของเจ้า ข้าเป็นย่ารองแท้ๆ ของนาง มีสิทธิ์ตัดสินใจ ข้าวางแผนจะจับคู่นางกับเจ้า เจ้าคิดเห็นประการใด?”

“ห๊า!” หนิวโหย่วเต้าตกตะลึง กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ ครั้งก่อนบอกว่าจะให้ตนเป็นเจ้าสำนัก ตอนนี้จะให้ตนแต่งกับบุตรสาวของถังมู่อีก นี่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กำลังเล่นเล่ห์อันใดอยู่? จึงรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ดี ไม่ดีขอรับ!”

รอยยิ้มบนหน้าถังซู่ซู่เลือนหายไปในพริบตา สีหน้าเคร่งเครียด “มีอันใดไม่ดี? ศิษย์พี่หญิงถังของเจ้าด้านรูปโฉมก็งดงาม ด้านเรือนร่างก็เลิศล้ำ ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย ยังไม่เข้าใจในบางเรื่อง รอจนเจ้าเติบใหญ่กว่านี้สักหน่อย เมื่อกลายเป็นชายชาตรีก็จะแยกแยะดีชั่วได้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้ถึงความยอดเยี่ยมของศิษย์พี่หญิงของเจ้าเอง”

หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะตอบรับเรื่องไร้เหตุผลเช่นนี้ได้ นี่มันมีเลศนัยเกินไปแล้วจริงๆ “ผู้อาวุโส ข้าอายุยังน้อย ไม่คู่ควรกับศิษย์พี่หญิงถัง…”

เขายังพูดไม่ทันจบ ถังซู่ซู่ก็เอ่ยตัดบทอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว “ก็ไม่นับว่าเด็กแล้ว ในหมู่บ้านของพวกเจ้า เด็กรุ่นเดียวกับเจ้าเกรงว่าคงมีลูกไปหลายคนแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับคู่ควรหรือไม่คู่ควร ในอดีตอาจารย์ของเจ้าเคยพูดคุยเรื่องวิวาห์กับเจ้าสำนักถังมู่เอาไว้ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว บุตรสาวของถังมู่จะออกเรือนกับศิษย์ของตงกัว ยามนี้ศิษย์ของตงกัวเหลือแค่เจ้าเพียงคนเดียว เรื่องวิวาห์นี้จะเป็นผู้ใดไปได้อีก ดั่งที่กล่าวกันว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวันนับเป็นบิดาชั่วชีวิต เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานขึ้นอยู่กับพ่อแม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคำสั่งอาจารย์ยากจะฝ่าฝืนได้”

เคยพูดคุยเรื่องวิวาห์หรือ? หนิวโหย่วเต้าเบิกตากว้าง ไม่ต่างจากเจอผี เลือกคนแต่งงานกันแบบนี้ได้ด้วยหรือ? ถังมู่กับตงกัวตกลงเรื่องวิวาห์แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย!

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน จะมองยังไงก็รู้สึกว่ามีหลุมพรางกำลังรอให้ตนกระโจนลงไป ถ้าเป็นเรื่องดีจริงๆ คงไม่ตกมาถึงตนเป็นแน่ จึงยืนกรานอย่างดึงดันกลับไปว่า “อายุของศิษย์กับศิษย์พี่หญิงถังไม่สมกับจริงๆ…”

ท่าทีของถังซู่ซู่แข็งกร้าว ไม่ปล่อยให้เขาทันพูดจบ เอ่ยขัดอีกครั้งว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการขัดคำสั่งผู้เป็นอาจารย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีผลลัพธ์เช่นใด? ไม่ภักดีไม่กตัญญูไม่เมตตาไร้คุณธรรม สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่ยอมเก็บสวะเช่นนี้ไว้ ข้ามีฐานะเป็นผู้อาวุโสคุมกฎ ไม่มีทางปล่อยศิษย์ประเภทนี้ไว้เด็ดขาด! หากเจ้าอยากฝ่าฝืนคำสั่งอาจารย์จริงๆ ข้าก็ไม่อยากจะทำให้มือตนสกปรกเช่นกัน หน้าผาด้านนอกนั่น เจ้ากระโดดลงไปด้วยตัวเองเถอะ!

ผีเสื้อจันทราขยับปีกลอยอยู่เหนือศีรษะนาง แสงสลัวที่วูบไหวสาดส่องลงมาบนใบหน้าที่เยียบเย็นไร้ความรู้สึกของนาง

“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกจริงๆ คุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็จะให้ตนไปกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายเลยหรือ? สัญญาวิวาห์ผีสางนั่นมีอยู่หรือไม่เขาเองก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้รู้เพียงว่ายายแก่แร้งทึ้งคนนี้คุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้ เขากลืนน้ำลายที่แห้งผากกล่าวไปว่า “เรื่องนี้ศิษย์อยากขอความคิดเห็นจากศิษย์พี่หญิงถังก่อน ให้ศิษย์ไปพบหน้าพูดคุยกับศิษย์พี่หญิงถังได้หรือไม่ขอรับ?”

ถังซู่ซู่เอ่ยอย่างเฉยชา “ไม่จำเป็น เรื่องทางฝั่งศิษย์พี่หญิงของเจ้าไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้าหรอก ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าเพียงประโยคเดียว เจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งอาจารย์หรือไม่?”

สุดท้าย หนิวโหย่วเต้าส่งถังซู่ซู่ออกไปจากสวนดอกท้อด้วยท่าทางเลื่อนลอย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนกลับมาได้อย่างไร

ผลลัพธ์ย่อมไม่ต้องกล่าวให้มากความ ถังซู่ซู่วางอำนาจเผด็จการยิ่ง ไม่เหลือที่สำหรับเจรจาใดๆ เลย แสดงทีท่าชัดเจนว่าถ้าไม่ตอบรับก็จะฆ่าเจ้าเสีย ไม่มีการปกปิดซ่อนเร้นแม้แต่น้อย หนิวโหย่วเต้าไม่มีช่องให้ปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น สัญชาตญาณของเขาบอกว่าเรื่องนี้จะต้องมีปัญหาอยู่อย่างแน่นอน ไหนเลยจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ หากเป็นเวลาปกติ อย่าว่าแต่เขาเลย แต่ตัวถังอี๋จะเห็นด้วยกับเรื่องราวเช่นนี้หรือ?

เมื่อได้สติกลับมาจากอาการเหม่อลอย เขาก็รีบออกไปด้านนอกอีกครั้ง คิดจะไปหาเฉินกุยซั่วเพื่อสืบดูสถานการณ์ ผลคือพบว่าเฉินกุยซั่วไม่อยู่แล้ว จึงวิ่งลงบันไดหินไปที่ตีนเขา ผลปรากฏว่าไปได้ครึ่งทางก็ถูกคนขวางไว้ เป็นศิษย์ติดตามทั้งสองคนที่มากับถังซู่ซู่ก่อนหน้านี้

พอกลับถึงสวนดอกท้อ เขาหยิบคันฉ่องในโถงดอกท้อออกมา ส่องดูใบหน้าตนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เช่นนี้ จะต้องแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ?

เรื่องอื่นนอกจากนี้เขาไม่ขอพูดถึง ภูมิหลังของซ่งเหยี่ยนชิงใช่ว่าเขาจะไม่รู้ อำนาจบารมีของตระกูลซ่งเกรงว่าแม้กระทั่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็คงล่วงเกินไม่ไหว หากเขากล้าสอดเท้าเข้าไปยุ่งกับสตรีที่ซ่งเหยี่ยนชิงหมายตา นี่มิเท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ? ภายในใจเขานึกสงสัย ถ้าซ่งเหยี่ยนชิงไว้ชีวิตเขาสิถึงจะแปลก!

แต่ตอนนี้ทั้งหมดที่เขาทำได้คือเดินไปตามสถานการณ์ทีละก้าวๆ ไม่มีทางเลือกอื่น!

ยามที่วางคันฉ่องที่ถืออยู่ในมือลง จู่ๆ สายตาเขาพลันเหลือบไปมองโอ่งน้ำที่อยู่ด้านข้าง ภายในเรือนมีโอ่งน้ำวางกระจายอยู่ตามเสาหลักทั้งห้าต้น ปกติจะนำมาใช้รดน้ำดอกไม้ใบหญ้า ในโอ่งบรรจุน้ำใสไว้เต็มใบ เมื่อครู่คล้ายจะมีบางสิ่งสว่างวาบออกมาจากผิวน้ำ

เขาค่อยๆ ยกคันฉ่องที่อยู่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง มองเห็นเค้าโครงคันฉ่องส่องสะท้อนอยู่ในโอ่งน้ำ ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนมองเห็นไม่ใคร่ชัดเจน แต่หลังจากขยับปรับองศาของคันฉ่อง หันด้านหน้าคันฉ่องเข้าหาแสงจันทร์ เงาคันฉ่องที่อยู่ในน้ำกลับปรากฏจุดแสงเลือนรางขึ้นมาเก้าตำแหน่ง

หนิวโหย่วเต้าร้อง “เอ๋” เบาๆ ถอยหลังไปสองสามก้าว เบื้องหน้าคันฉ่องยังคงหันหน้ารับแสงจันทร์เช่นเดิม ด้านหลังคันฉ่องหันหาตัวเขา ทว่ากลับไม่ปรากฏจุดแสงในเงาบนพื้นเลย เขาชูคันฉ่องขึ้นเหนือหัวให้รับแสงจันทร์แล้วมองด้านหลังคันฉ่อง ก็ไม่เห็นจุดแสงใดๆ ปรากฏขึ้นหลังบานคันฉ่องเช่นกัน

เขาเดินไปใกล้โอ่งน้ำอีกครั้ง ผลคือจุดแสงเลือนรางเก้าตำแหน่งปรากฏขึ้นบนผิวน้ำอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นมองเข้าไปในคันฉ่อง ปากขยับขมุบขมิบ

“นภาต่างหยาง หน้าคันฉ่องสื่อหยาง ปฐพีต่างหยิน หลังคันฉ่องสื่อหยิน นภาต่างจานฟ้า คันฉ่องคือประตูกั้นหยินหยาง ต่างจานคน ปฐพีต่างจานดิน ฟ้า คน ดินสามจาน…” หนิวโหย่วเต้าที่ร่ายคำพูดออกมาเป็นชุดพลันเผยสีหน้ากระจ่างแจ้งในทันใด ดวงตาทั้งสองข้างที่จ้องมองคันฉ่องพลันส่องประกาย เอ่ยโพล่งออกมา “เก้าวังแปดทิศ!”

……………………………………………………