บทที่ 9 พบกับคังเหรินเต๋อครั้งแรก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 9 พบกับคังเหรินเต๋อครั้งแรก
บทที่ 9 พบกับคังเหรินเต๋อครั้งแรก

สุดท้ายลูกอมนมกระต่ายขาวสองเม็ดก็ถูกยัดใส่มือของซูเสี่ยวเถียน

หลังจากที่เธอกล่าวขอบคุณ ดวงตากลมโตก็มองคนงานในร้านซ่อมตีเหล็ก เธอรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก

ผู้จัดการหวังเพิ่งเริ่มทำงาน เขานับจำนวนเครื่องมือการเกษตรที่เสียหายอย่างรอบคอบ จากนั้นก็เขียนลงในเศษกระดาษ

ซูเหล่าซานถือมันเอาไว้ แล้วเก็บใส่กระเป๋าอย่างหวงแหน

ท่วงท่าเคร่งขรึมเช่นนั้น ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเช็คเงินสดก็ได้

“ไปกันเถอะเถียนเถียน พ่อจะพาไปเดินเล่น!”

หลังจากจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย ซูเหล่าซานมีความสุขมาก เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะยกลูกสาวตัวน้อยขึ้น

“คุณพ่อ หนูเดินเองได้ค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนรีบกล่าว

เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่อยากให้เขาอุ้มจริง ๆ ก็ยอมประนีประนอมให้ แม้ความจริงจะรู้สึกเสียใจก็ตาม

“คุณลุง พวกเราไปก่อนนะคะ ลาก่อนค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนโบกมือลาอย่างเชื่อฟัง

การกระทำเหล่านี้ทำให้ผู้จัดการหวังที่มีลูกชายจอมดื้อสามคนรู้สึกอิจฉา ถึงขนาดพูดว่ามีเด็กสาวตัวน้อยก็ดีเหมือนกันทำนองนั้น

บนถนนไม่มีอะไรให้เที่ยวเล่นได้เลย ซูเสี่ยวเถียนเพียงแค่เหลือบมองแล้วก็ไม่สนใจอีก

เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยไม่สนใจ ซูเหล่าซานก็รู้สึกประหลาดใจว่าการหลอกล่อเด็กมันไม่ง่ายจริง ๆ

เขาถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปสหกรณ์เพื่อซื้อเนื้อสัตว์ดีไหม ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีหรือเปล่า”

ซูเสี่ยวเถียนจำได้ว่านี่เป็นยุคของระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน พวกเนื้อและของบางอย่างจะมีอย่างจำกัด เมื่อขายหมดก็หาซื้อไม่ได้อีกแล้ว

หวังแค่ว่าจะยังมีโชคอยู่และสามารถซื้อได้ทันนะ

ไม่นานนัก สองพ่อลูกก็มาถึงสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค มีร้านค้าขนาดใหญ่สามร้านพร้อมสินค้าตระการตา

มีโซนอาหาร อุปกรณ์การเกษตร และของใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าต้องการสิ่งใดล้วนมีทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้นคือการแบ่งโซนไม่ชัดเจนเป็นอย่างมาก ดูแล้วรกหูรกตา

ซูเสี่ยวเถียนอดคิดไม่ได้ หากเป็นยุคหลังก็จะถูกปรับใช่หรือไม่?

ไม่มีใครเอ่ยทักทายพวกเขา ต่างจากซุปเปอร์มาร์เก็ตของยุคหลังที่เมื่อเข้าประตูไปแล้วก็จะมีพนักงานเดินตาม และคอยแนะนำสินค้า

“คุณพ่อ เนื้ออยู่ตรงนั้นค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนกวาดตามองหนึ่งรอบก่อนจะเห็นอย่างชัดเจน แล้วรีบพูดกับบิดาทันที

“ท่าทางดูจน ๆ นะ มีเงินมีตั๋วหรือเปล่า?”

น้ำเสียงถากถางดังขึ้น ซูเสี่ยวเถียนจึงมองไปยังต้นตอของเสียงฉับไว

คนพูดเป็นหญิงวัยกลางคนกำลังถักไหมพรมอายุประมาณสี่สิบปี ร่างกายของหล่อนอ้วนและดำ ไว้ผมแบบเจ้าหน้าที่รัฐ จอนผมสองข้างมีตัวหนีบเหล็กขนาดเล็กสีดำติดอยู่

ผมทรงนนี้ทำให้ดูแก่ขึ้นมาก หากผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนสักหน่อยคาดว่าคงอายุน้อยลงสิบปี

“คุณย่าคะ เรามีทั้งเงินและตั๋วเลยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดกับผู้หญิงคนนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส

การถูกเรียกว่าคุณย่านับได้ว่าเป็นความอัปยศอดสูอย่างแท้จริงสำหรับผู้หญิงที่ไม่อายุเกินสามสิบสามปี

ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนมืดลง จ้องมองไปยังซูเสี่ยวเถียนอย่างดุร้าย

แต่เธอเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ น่าอายจริง ๆ ที่ต้องมาทะเลาะกับซูเสี่ยวเถียน

ผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กหนึ่งคนทะเลาะกัน จะแพ้หรือชนะก็น่าขายหน้าอยู่ดี!

ตอนนั้นเองที่มีชายคนหนึ่งยืนขึ้นจากด้านหลังเคาน์เตอร์ เดิมทีตั้งใจจะคุยกับหญิงวัยกลางคน ทว่ายังไม่ทันได้พูดออกไปก็เจอคนรู้จักที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน

“อ้าว พี่สาม มาได้อย่างไรเนี่ย”

ซูเสี่ยวเถียนมองไปโดยไม่สนใจอารมณ์ซับซ้อน และความอับอายบนใบหน้าชายผู้นั้น

อาเขยคนนี้รังเกียจญาติที่ยากไร้น่ะ

“สวัสดีค่ะอาเขย!” ซูเสี่ยวเถียนทักทายอย่างสุภาพ

เธอคิดอย่างชั่วร้าย ไม่ใช่ว่ารังเกียจญาติจน ๆ หรืออย่างไร? แบบนี้ก็ต้องตะโกนออกมาดัง ๆ สิ

เมื่อได้ยินซูเสี่ยวเถียนเรียก คังเหรินเต๋อก็เกิดกลัวขึ้นว่าญาติยากไร้พวกนี้จะเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์

“พี่สาม พี่มาหาผมใช่ไหม แต่ตอนนี้ที่บ้านมีงานต้องทำน่ะ พี่ดูสิ งานทางนี้ยุ่งมากเลย ไปช่วยไม่ได้หรอก…”

“อาเขย พวกเรามาซื้อเนื้อค่ะ!”

ไม่รอฟังคนคนนี้พูดจบ ซูเสี่ยวเถียนก็ขัดจังหวะทันที

“ซื้อเนื้อสินะ ได้สิ… พี่สาม พวกพี่มีเงินกับตั๋วไหม” หลังจากที่อีกฝ่ายพูดอย่างเป็นกันเองก็นึกสิ่งนี้ขึ้นมาได้

คงไม่ได้มาขอยืมเงินกับตั๋วเนื้อใช่หรือไม่?

ครอบครัวของพ่อตายากจนขนาดไหน ทำไมลูกเขยคนนี้จะไม่รู้เล่า?

ตลอดทั้งปี น้อยครั้งที่จะได้กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ แม้แต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา แค่เกี๊ยวยังกินไม่ได้ แล้ววันธรรมดาเช่นนี้จะมาซื้อเนื้อได้อย่างไร?

“เด็กคนนี้ทำไมยังพูดจาไม่คิดอีกแล้วล่ะ? อาเขยจะบอกหนูแล้วกันว่าเด็ก ๆ อย่าพูดปด ถ้าพูดปดจะกลายเป็นคนน่าเกลียด”

เขาปรารถนาจะให้เด็กสาวคนนี้น่าเกลียดจริง ๆ

เห็นได้ชัดว่าอายุพอ ๆ กับลูกสาวของตน แต่ทำไมมองดูแล้วถึงสวยกว่ามากได้

แต่ทำไมถึงทำให้คนเกลียดชังได้ขนาดนี้นะ?

ช่วงเทศกาลตวนอู่ก็ทำลูกสาวเขาร้องไห้ด้วยความโกรธ

หากไม่มีคนนอกอยู่ ก็คงไม่สนใจที่จะคุยกับพวกเขาหรอก

เดิมทีซูเหล่าซานคิดว่าคงไม่มีอะไร อย่างไรเสียน้องเขยคนนี้ก็เป็นเสียแบบนี้

แต่พอได้ยินน้องเขยพูดจาใส่ร้ายลูกสาว เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ยินดีเสียแล้ว

“วันนี้ฉันมาเพื่อซื้อเนื้อสามจิน เด็กคนนี้ไม่ได้พูกโกหกสักหน่อย และครอบครัวของเราก็ไม่มีอะไรให้น้องเขยช่วยด้วย!” ซูเหล่าซานพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

ทำไมเขาจะไม่รู้เล่า? น้องเขยคนนี้มีนิสัยประจบสอพลอ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็ไม่เคยดูดำดูดีเครือญาติจน ๆ อย่างตระกูลซูของพวกเขาเลย

ตลอดทั้งปีก็มาเยี่ยมบ้านแค่ในวันขึ้น 2 ค่ำเดือนอ้าย*[1] เพียงสิบนาทีเท่านั้น และบางครั้งก็ไม่มาเลย

พวกเขาเป็นพี่น้องกันแค่ในช่วงเทศกาลเท่านั้นแหละ และก็เอาแต่นั่งอย่างเรียบร้อย แม้แต่ก้นยังไม่กระดกไปไหนเลย!

“พี่สาม ผมรู้ว่าบ้านพี่ตามใจเด็กคนนี้ แต่พวกเราต้องพยายามอย่างสุดความสามารถนะ ไม่อย่างนั้นจะทำตัวหน้าใหญ่ใจโตเอาได้!”

คังเหรินเต๋อได้พูดหลักการอันยิ่งใหญ่ออกมาทีละชุด ๆ ค่อนข้างรู้สึกเหมือนชักชวนเล็กน้อย

ใบหน้าของซูเหล่าซานดำมืดขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพูดอีกครั้ง “ฉันจะซื้อเนื้อสามจิน!”

“เนื้อสินะ พี่สามจะซื้อเนื้อจริง ๆ เหรอ” คังเหรินเต๋อไม่คาดคิดมาก่อนว่าพี่ภรรยาผู้ยากจนคนนี้จะมาซื้อเนื้อกินจริง ๆ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็มองดูซูเหล่าซานออกไปพร้อมกับเนื้อสามจินและน้ำตาลสองจิน ทั้งยังรู้สึกอีกว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลย

ทำไมถึงมีเงินซื้อเนื้อได้กัน? ทั้งยังซื้อน้ำตาลอีกสองจินด้วย

เอาเงินมาจากไหน? แล้วตั๋วล่ะ?

เป็นไปได้ไหมว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวพ่อตาช่วงนี้?

รอจนถึงตอนเย็นค่อยกลับไปบอกภรรยาแล้วกันว่าพรุ่งนี้ให้ไป

มีของถูกไม่รีบคว้าไว้ก็เป็นไอ้โง่เขลา ทำไมโชคดี ๆ ถึงไม่ร่วงหล่นใส่บ้านตนบ้าง!

ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้กินเนื้อมาหลายวันแล้วนะ! คงจะดีหากเอาเนื้อพวกนี้สักจินสองจินกลับไปบ้านได้!

ขณะที่คังเหรินเต๋อกำลังเพ้อฝัน เขาก็ถูกปลุกให้ตื่น

“น้องคัง เมื่อกี้นี้ใช่ญาติบ้านแกหรือเปล่า” ผู้หญิงที่กำลังถักไหมพรมพูดขึ้น

“พี่หลิว เขาเป็นญาติของผมเอง เป็นญาติห่าง ๆ น่ะ” พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่ซูเสี่ยวเถียนทำให้พี่หลิวขุ่นเคือง เขาก็รีบเสริมอีกประโยคทันที

“เห็นจน ๆ เช่นนี้ไม่คิดเลยว่าจะซื้อเนื้อได้ด้วย” พี่หลิวพ่นลมหายใจออกมา

คังเหรินเต๋อเดาไว้ว่าพี่หลิวคงโกรธแล้ว ภายในใจคงอยากดึงสองพ่อลูกซูเสี่ยวเถียนออกมาด่าสักสิบยี่สิบรอบ

เอาให้แปดชั่วโคตรมาที่สหกรณ์ไม่ได้เลย ถ้ามาอีกก็จะสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง!

กลับไปแล้วก็ต้องพูดอีกว่า อย่ามาที่สหกรณ์ให้ตัวเองขายหน้าอีกนะ!

เขาพูดกับพี่หลิวอย่างนอบน้อม “พี่หลิว พวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านต่ำต้อย ไม่รู้กฎ พี่อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย!”

พี่ใหญ่ของพี่หลิวเป็นหัวหน้าสหกรณ์สหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ทำใครขุ่นเคืองก็ได้แต่ต้องไม่ใช่พี่หลิว!

คังเหรินเต๋อพูดแต่เรื่องดี ๆ ไม่นานนักอารมณ์ของพี่หลิวก็ดีขึ้น แล้วเริ่มถักไหมพรมอีกครั้งโดยโดยไม่สนใจคังเหรินเต๋อที่ทำตัวเหมือนหลานชายอีก

*[1] หญิงสาวที่ออกเรือนแล้วจะกลับบ้านไปอวยพรปีใหม่แด่พ่อแม่และญาติพี่น้อง พร้อมกับสามีและลูก ๆ หรือที่เรียกกันว่า การกลับบ้านแม่