บทที่ 10 พี่ชายต้องตั้งใจเรียนหนังสือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 10 พี่ชายต้องตั้งใจเรียนหนังสือ
บทที่ 10 พี่ชายต้องตั้งใจเรียนหนังสือ

สองพ่อลูกออกจากสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคโดยที่ไม่รู้ว่าคังเหรินเต๋อเอาพวกเขาไปด่าแล้วร้อยแปดครั้ง

แทบไม่อยากจะมีญาติแบบพวกเขาแล้ว

ทั้งสองคนไม่ได้นึกอีกแล้วว่าคังเหรินเต๋อจะคิดอะไรต่อ และลากรถบรรทุกของอันว่างเปล่าไปยังประตูโรงเรียนมัธยมต้นอย่างมีความสุข เพื่อไปรอรับพี่น้องบ้านซูหลังเลิกเรียน

ตระกูลซูมีอยู่สามคนที่อยู่โรงเรียนมัธยมต้นในเมือง จึงถือโอกาสกลับบ้านด้วยกัน

เมื่อซูโส่วเวินสามพี่น้องเดินออกมาจากประตูโรงเรียน พลันก็เห็นลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยที่น่ารักกำลังยืนจับมือพ่อสามรออยู่ที่ประตูอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม

“น้องเล็ก มาที่นี่ได้อย่างไร?” ซูซื่อเลี่ยงที่วิ่งเร็วที่สุด วิ่งไปจนถึงข้างหน้าซูเสี่ยวเถียนก่อนจะอุ้มเธอขึ้นแล้วพูดอย่างมีความสุข

ซูเสี่ยวเถียนถูกพี่รองซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องอุ้มขึ้นก็ตกใจจนสะดุ้ง แต่เธอไม่ได้ขัดขืนและปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มอย่างเชื่อฟัง

ในชีวิตครั้งก่อนไม่เพียงแต่พี่ชายแท้ ๆ ของเธอเท่านั้นที่ดีต่อเธอ พวกพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องก็ดีกับเธอด้วยเช่นกัน

แต่ว่าภายในใจของเธอยังรู้สึกว่าไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ จึงมีความเหินห่างอยู่บ้าง

ชีวิตในครั้งนี้ไม่เอาอีกแล้ว เธอต้องพาพวกพี่ชายให้มีชีวิตที่ดีไปด้วยกันให้ได้

ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีก็ต้องเรียนหนังสือ!

“พี่รอง พี่ได้คะแนนในการสอบครั้งนี้เท่าไรคะ?”

คำพูดของซูเสี่ยวเถียนเหมือนกับการฆ่าคนทางอ้อม จี้จุดของซูซื่อเลี่ยงโดยตรง

“น้องเล็ก พวกเราไม่พูดเรื่องนี้ได้ไหม?”

หาได้ยากนักที่ซูซื่อเลี่ยงจะหน้าแดง

“พี่รองทำได้ไม่ดีในครั้งนี้น่ะ!” คนพูดคือซูซานกงผู้ค่อนข้างรอบคอบ

“ซานกง ไม่อยากเป็นพี่น้องกันแล้วหรือ?” ซูซื่อเลี่ยงจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่ายทันที

ซูซานกงยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าว “พี่รอง ไม่ว่าพี่จะอยากเป็นหรือไม่ พี่ก็เป็นพี่รองของผมอยู่ดี ไม่มีทางเลือกหรอก!”

ซูเสี่ยวเถียนรู้ดีว่าไม่ว่าเบื้องหน้าพี่สามจะดูอ่อนโยนเพียงใด แต่เขาเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ

แต่พี่สามเป็นคนเรียนเก่งจริง ๆ และเขาเป็นคนแรกในหมู่พี่น้องบ้านซูที่สอบติดมหาวิทยาลัยด้วย

“พี่สาม จากนี้ไปพี่ต้องชวนพี่รองมาเรียนด้วยนะ ถ้ามีอะไรที่เขาทำไม่ได้ก็ให้พี่สอนเขาแล้วกัน” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“อะไรเนี่ย ฉันเป็นพี่นะ!” ซูซื่อเลี่ยงตะโกนลั่น

ซูโส่วเวินใช้มือจิ้มหน้าผากของซูซื่อเลี่ยงอย่างโกรธเคือง “ใครสั่งให้นายเรียนไม่ดีละ! พี่คิดว่าให้ซานกงสอนก็ดีแล้ว ไม่มีปัญหาเลย!”

“พี่ใหญ่ พี่ก็ต้องตั้งใจเรียนเหมือนกันนะ ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็จะขึ้นมัธยมปลายแล้ว” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอีกครั้ง

“มัธยมปลายอะไรกัน พี่ไม่เรียนแล้ว รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะไปหางานทำแล้วก็จะได้รับคะแนนการทำงานเยอะ ๆ” ซูโส่วเวินรีบกล่าว

ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าสภาพภายในครอบครัวเป็นอย่างไร แต่ถ้าให้พวกเขาเรียนก็จะลำบากเกินไป!

“นั่นไม่ดีนะพี่ใหญ่ พี่ต้องฟังหนูสิ ต้องตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อเข้ามัธยมปลายนะ”

ในชีวิตครั้งก่อน หลังจากพี่ใหญ่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องจบมัธยมต้นไปก็ทำงานในชุมชนการผลิตเพื่อเก็บเกี่ยวคะแนนการทำงาน

ไม่มีความรู้และก็ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยี วันเวลาหลังจากนั้นชีวิตก็ไม่ค่อยดีมาตลอด อายุยังน้อยกลับดูไม่ต่างไปจากคนแก่ชราที่ผอมแห้ง

อันที่จริงการเรียนของพี่ใหญ่ก็ไม่ได้แย่อะไร หากตั้งใจเรียนอีกสักสองปีอาจเป็นกลุ่มแรกที่เป็นนักศึกษาก็ได้

สามพี่น้องมองท่าทางอันจริงจังของน้องเล็ก น่าแปลกยิ่งนัก ทำไมถึงรู้สึกน้องเล็กในวันนี้ดูต่างออกไป?

“น้องเล็กคิดอะไรถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” ซูซื่อเลี่ยงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย

“หนูอยากได้พี่ชายเก่ง ๆ จะได้ไม่มีคนอื่นกล้ามาแกล้งหนู พวกพี่ต้องตั้งใจเรียนนะ หนูได้ยินคนพูดว่าคนที่จบมัธยมปลายจะสามารถสมัครเข้าทำงานได้” ซูเสี่ยวเถียนพูดเรื่องไร้สาระอย่างจริงจัง

“เถียนเถียนพูดขนาดนี้แล้ว พวกลูกก็ต้องตั้งใจเรียนด้วยนะ ดูคนปล่อยเงินกู้ของหมู่บ้านพวกเราสิ เป็นคนที่จบมัธยมปลายมาสมัครเหมือนกัน ตอนนี้อยู่ในเมืองก็ได้ดิบได้ดี” ซูเหลาซานพูดโน้มน้าวไม่เก่ง

พี่น้องทั้งสามคนเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดซูโส่วเวินก็พูดออกมา “เข้าใจแล้วครับ งั้นพวกเรามาตั้งใจเรียนกันเถอะ แต่ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะสอบผ่านไหมนะ”

“หนูจะช่วยพวกพี่อ่านหนังสือด้วยค่ะ!”

คำพูดของซูเสี่ยวเถียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่เมื่อได้ฟังจากหูคนอื่นกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

กลุ่มคนห้าคนมุ่งหน้าเดินไปทางหมู่บ้านอย่างมีความสุข ทิ้งเสียงหัวเราะเอาไว้

เมื่อพวกเขากลับถึงบ้าน พวกผู้หญิงในบ้านได้ทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว

แป้งนวดเสร็จ กุยช่ายก็ล้างพร้อมสับเอาไว้ รอแค่สองพ่อลูกนำเนื้อเข้ามาก็จะเริ่มเตรียมเนื้อสับในทันที

เรื่องพบเจอคังเหรินเต๋อ ทั้งสองพ่อลูกไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คนในครอบครัวฟัง

ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูด แต่ลืมไปแล้ว

เพราะอยากกินแป้งทอดไส้เนื้อ พวกลิงจอมซนที่เพิ่งเลิกเรียนก็ทำการบ้านกันเงียบ ๆ ไม่ออกไปวิ่งเล่นในป่า

พี่ใหญ่ทั้งสามก็ตั้งใจเรียน ส่วนน้องเล็กอยากได้พี่ชายคนงานสักคน พวกเขาจะต้องตั้งใจแน่นอน

ซูเสี่ยวเถียนไม่สนใจดูคุณย่าซูและคนอื่น ๆ ทำแป้งทอดไส้เนื้ออีกต่อไป เธอรีบวิ่งไปห้องตัวเองด้วยความรวดเร็ว ตัดสินใจศึกษาภารกิจของระบบ

“แอนนา ภารกิจพืชนับพันล้วนอยู่ในตำรา รายละเอียดของมันคืออะไร”

[โฮสต์จำเป็นต้องตั้งใจอ่านหนังสือ จึงจะสามารถเปิดใช้งานภารกิจได้ มันจะถูกแบ่งออกทั้งหมดห้าสิบภารกิจ และรายละเอียดของมันจะถูกปิดเป็นความลับจนกว่าจะเปิดใช้งานได้ ภารกิจสุดท้ายคือต้องให้แน่ใจว่าทุกคนในครอบครับได้กินอิ่มใส่เสื้อผ้าอุ่น ๆ]

ซูเสี่ยวเถียนนิ่งเงียบ เธอยังคงคิดเกี่ยวกับภารกิจอยู่ ใครจะรู้ได้เล่าว่ายังเปิดไม่เรียบร้อยดี

ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือดีกว่า ภารกิจอ่านหนังสือยังไม่เสร็จเลย

หลายวันมานี้ ซูเสี่ยวเถียนอ่านแต่หนังสือนิทาน ถึงแม้ว่ามันจะสนุกแต่ถ้าอ่านมากเกินไปก็ไม่น่าสนใจแล้ว เธอหวังว่าวันนี้จะเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นได้

ซูเสี่ยวเถียนเปิดระบบห้องสมุดและหาหนังสือเล่มหนึ่ง และบังเอิญได้พบหนังสือการเลี้ยงไก่โดยไม่คาดคิด

นี่คือหนังสือที่ซูเสี่ยวเถียนคิดมาหลายวันแล้ว ไก่ที่บ้านออกไข่ได้น้อยเกินไป

ไก่มีหกตัว ออกไข่ไม่เกินสามตัวต่อวัน และอัตราการผลิตต่ำเกินไป

คงจะดีถ้าได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงไก่ตามหลักวิทยาศาสตร์ หากเป็นเช่นนั้นคงจะดีมาก พวกพี่ ๆ ยังกินไข่ได้เป็นครั้งคราวด้วยจะได้บำรุงให้ดีขึ้น

ซูเสี่ยวเถียนคิดถึงหนังสือที่มีความหมายเล่มนี้ เธอต้องตั้งใจอ่านเป็นอย่างดี จากนั้นหมกมุ่นกับมันทันที

หนังสือคือทะเลแห่งความรู้ สามารถทำให้ผู้คนว่ายน้ำได้ ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกเช่นนี้ ตอนนี้ท่องไปในมหาสมุทรของมันเพื่อหาเงิน มาเป็นเศรษฐีกันเถอะ!

ตอนที่กำลังรอคุณย่าซูเรียกซูเสี่ยวเถียนไปกินข้าว เธอก็ศึกษาการเลี้ยงไก่เสร็จแล้ว

เธอกำลังสรุปวิธีการเลี้ยงไก่และอนุมานอยู่ในใจเงียบ ๆ ศึกษาเทคนิคที่เพิ่งอ่านเมื่อครู่ว่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบ้านตอนนี้ได้หรือเปล่า

สุดท้ายหนังสือเล่มนี้กำลังพูดถึงเทคนิคการเลี้ยงไก่ในยุคหลัง ซึ่งหลายอย่างไม่สามารถทำได้ในตอนนี้

ยิ่งกว่านั้น ไก่ในตอนนี้เป็นการเลี้ยงแบบปล่อยในพื้นที่บ้าน ไม่ใช่การเลี้ยงแบบฟาร์มขนาดใหญ่ แล้วก็ทำแบบฟาร์มใหญ่ไม่ได้ด้วย

“หลานรัก ได้เวลากินแป้งทอดแล้ว” คุณย่าซูพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายของหลานอยู่ที่ประตูครัวไม่ไปไหนเลย ทำไมหนูยังอยู่ในห้องอีกล่ะ?”

กลิ่นของแป้งทอดไส้เนื้อหอมกรุ่นทำเด็กชายตั้งหน้าตั้งตารอคอย ท่าทางหิวโหยทำให้คนเห็นอารมณ์ดีและรู้สึกขบขัน

ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม “หนูกำลังจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะคุณย่า!”

เมื่อสองย่าหลานออกมาจากห้องก็เห็นโต๊ะสองตัวในห้องโถงพอดี

มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในตระกูลซู มีทั้งผักและหัวไชเท้า บะหมี่มันเทศหม้อใหญ่ และแป้งทอดไส้เนื้อร้อน ๆ กะละมังใหญ่ (ถึงมีผักเยอะและเนื้อน้อย แต่ถ้าใส่เนื้อลงไปก็จะเป็นแป้งทอดไส้เนื้ออยู่ดี)

“กินเลย ๆ!” คุณย่าซูอดหัวเราะไม่ได้เมื่อมองดูท่าทางน้ำลายสอของหลานชาย