บทที่ 10 การกลับมาของหมัวเทียน

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 10 การกลับมาของหมัวเทียน

บทที่ 10 การกลับมาของหมัวเทียน

ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มหมัวเทียนคนนี้กำลังเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ

ตู้ม!

หลังจากเกิดระเบิดเสียงดัง พื้นสั่นสะเทือนรุนแรง ลู่หยวนดึงซวี่รั่วหลิงเข้าสู่อ้อมแขนเพื่อประคองให้ร่างกายของนางมั่นคง

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นจากระยะไกล ลู่หยวนมองไปด้านข้างต้นไม้ในป่าพวกนั้นค่อย ๆ ล้มลงทีละต้น ดูเหมือนว่าเหล่าสัตว์ประหลาดจะเริ่มออกมาสร้างความวุ่นวายแล้ว

โฮก โฮกกก

สัตว์อสูรส่งเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ในขณะที่ป่ากำลังถูกทำลายจากฝีเท้าของสัตว์อสูรหลายตัว

ครู่ต่อมา สัตว์อสูรหลายตัวพุ่งมาด้านหน้า พวกมันจับจ้องลู่หยวนและซวี่รั่วหลิงด้วยดวงตาแดงฉาน!

ลู่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์?

โฮก!

สัตว์อสูรสองสามตัวพุ่งเข้าหา! ลู่หยวนผลักซวี่รั่วหลิงออกจากอ้อมแขน ก่อนจะยกมือขวาขึ้น กระบี่ยาวปรากฏในมือ เขาก้าวขาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต่อสู้กับสัตว์อสูรตรงหน้า

ทันทีที่ซวี่รั่วหลิงสามารถยืนได้อย่างมั่นคง นางก็ดึงกระบี่ยาวออกมาเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับลู่หยวน

ทันใดนั้น พลันมีมือใหญ่เหยียดออกมาจากด้านหลังของนาง ปิดปากและจมูกของหญิงสาว และยังปิดผนึกการฝึกฝนของนางก่อนจะอุ้มขึ้นพาดไหล่

ซวี่รั่วหลิงถูกควบคุมตัวอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ บุคคลที่มาใหม่นี้สวมชุดคลุมสีดำ จนนางไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร

ภายในใจยังลอบตกตะลึง นางเข้าสู่ขอบเขตราชันยุทธ์ขั้นสูงแล้ว ผู้ที่มาที่นี่ในวันนี้ยกเว้นคนตระกูลลู่ นางย่อมเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าคนผู้นี้กลับควบคุมนางได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังปิดผนึกพลังปราณทั้งหมดของนางได้ แน่นอนว่าเขาน่าจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์เป็นอย่างต่ำ

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ชายในชุดคลุมสีดำวางซวี่รั่วหลิงลง และปลดผนึกออก

หญิงสาวจากสำนักฟ้าประทานเป็นอิสระอีกครั้งก่อนจะถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง กระบี่ยาวยังคงถูกกระชับในมือแน่น แววตาเย็นชาเอ่ยปากถาม “เจ้าเป็นใคร?”

“ศิษย์พี่หญิง ข้าเอง!”

ชายผู้นั้นเปิดหน้ากากออก ใบหน้าคุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าของซวี่รั่วหลิง พร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

“หมัวเทียน?!” ซวี่รั่วหลิงไม่คาดคิดว่าบุคคลผู้นี้คือเขา ศิษย์น้องร่วมสำนักที่ห่วงใย “เจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่?”

หมัวเทียนก้าวไปด้านหน้าก่อนจะคว้าแขนเรียวขาวของหญิงสาว “ศิษย์พี่หญิง เรื่องนี้ยาวเกินกว่าจะกล่าวได้ในเวลานี้ เดี๋ยวข้าจะพาท่านออกไปก่อน!”

“ไป? ไปไหน?”

“ออกจากที่นี่อย่างไรเล่า ปล่อยให้ไอ้สารเลวลู่หยวนอยู่ตรงนี้! ส่วนโลกใบนี้กว้างใหญ่ ท่านอยากจะไปที่ใดก็ย่อมได้!”

ซวี่รั่วหลิงผละออกจากมือของหมัวเทียน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็น ข้าอยู่ที่นี่ก็สบายดี!”

หมัวเทียนตื่นตระหนก “ศิษย์พี่หญิง ท่านพูดอะไร?”

“เจ้าไปเถอะ ข้าอยู่ได้สบายมาก”

“ศิษย์พี่หญิง! ท่านยังมีสติหรือไม่? ลู่หยวนผู้นั้นมีอะไรดี? ลู่หยวนใช้สถานะบุตรศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นั้นรังแกผู้อื่น มีคนตั้งมากมายในแดนเหนือต้องเดือดร้อนจากน้ำมือของเขา! ก่อนหน้านี้เขาจับท่านเป็นเชลยทาส ลืมไปแล้วหรือ?! หรือถ้าท่านคิดอยากแก้แค้นลู่หยวน หลังจากที่เราออกไปแล้ว ข้าจะหาทางช่วยให้สำนักฟ้าประทานพ้นจากความทุกข์เหล่านี้ด้วย!”

ซวี่รั่วหลิงยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของหมัวเทียน “ข้าไม่ใช่ศิษย์ของสำนักฟ้าประทานอีกแล้ว และข้าไม่สามารถให้เจ้าเรียกขานว่าศิษย์พี่หญิงได้อีกต่อไป อีกทั้งข้าก็ไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงของเจ้า และบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าคิด เขาซื่อตรงมากและเขาจะเป็นเจ้าแผ่นดินหยวนหงในอนาคตแน่นอน”

เมื่อซวี่รั่วหลิงกล่าวถึงลู่หยวน สีหน้าของนางอ่อนลงเล็กน้อย และยังมีความอ่อนโยนในน้ำเสียง “ข้าทราบว่าเจ้าห่วงความปลอดภัยของข้า แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ปฏิบัติต่อข้าอย่างดี เจ้าจึงไม่ต้องกังวล”

เมื่อหมัวเทียนได้ยินอย่างนั้น หัวใจของเขาแทบจะแตกสลาย

นับตั้งแต่ที่หมัวเทียนเข้าสู่สำนักฟ้าประทาน เขาก็ตกตะลึงในความงดงามของซวี่รั่วหลิงที่เปรียบกับเทพธิดากระบี่บนโลกมนุษย์ นับตั้งแต่นั้นเขาก็ยกให้ซวี่รั่วหลิงเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในใจเสมอมา

แต่เวลานี้ซวี่รั่วหลิงกลับกล่าวกับเขาว่าลู่หยวนปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเผยท่าทีว่ามีใจให้กับอีกฝ่าย

เขาใช้เวลาหลายปียังไม่สามารถเอาชนะใจซวี่รั่วหลิงได้ แต่เพียงไม่กี่วันหัวใจของซวี่รั่วหลิงกลับมอบให้ลู่หยวนงั้นหรือ?!

ลู่หยวนทำสิ่งใด?!

หมัวเทียนเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาทันที “ท่านชอบเขาแล้วหรือ?! บุรุษแบบเขาล้อมรอบไปด้วยสตรีมากมาย ข้าไม่ทราบแน่ชัดว่าเขามีผู้หญิงกี่คน แล้วท่านจะเคียงข้างเขาได้อย่างไร?”

ซวี่รั่วหลิงยิ้มบาง “บุคคลที่แข็งแกร่งเช่นเขา และด้วยพลังของข้าแล้ว จะยืนเคียงข้างเขาได้อย่างไร? เป็นเพียงหญิงยกน้ำชาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

หมัวเทียนโกรธจัด แววตาของเขาเผยความเกรี้ยวกราด “ลู่หยวนทำอะไร? เจ้าจึงกล่าวถึงเขาเช่นนี้!”

เวลานั้นบุตรแห่งโชคชะตานึกถึงบางสิ่งขึ้นได้ ทำเอาสีหน้าของเขามืดมน “กายของท่านมีพลังหยินบริสุทธิ์ ท่านคงจะกลายเป็นเตาหลอมของลู่หยวน และคงได้บำเพ็ญคู่กับเขาเพื่อรับผลประโยชน์สองเท่าใช่หรือไม่?!”

เขาถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะพึมพำด้วยหัวใจแตกสลาย “ใช่ ใช่แล้ว จะต้องเป็นเช่นนี้แน่ ต้องเป็นเช่นนี้!”

“ไม่แปลกใจเลย ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านจึงปกป้องเขาเช่นนี้ ฮะ…ฮะ ฮ่า ๆ ๆ!”

“ซวี่รั่วหลิง ท่านเป็นเพียงบุคคลที่ไต่ขึ้นร่างของยอดฝีมือ ข้า หมัวเทียนที่เคยต้องการผู้หญิงเช่นท่านช่างตาบอดอะไรเช่นนี้!”

แววตาของซวี่รั่วหลิงไหวระริก “หมัวเทียน เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร?”

“ไร้สาระงั้นหรือ?”

หมัวเทียนคล้ายกับจะเสียสติไปแล้ว เขามองซวี่รั่วหลิงด้วยแววตาเหยียดหยาม “ท่านมันทะเยอทะยานในอำนาจ! มิฉะนั้นท่านจะอยากยืนเคียงข้างลู่หยวนเพื่ออะไร? มันไร้สาระหากบอกว่าเขาปฏิบัติต่อท่านอย่างดี ท่านเพียงแค่ต้องการได้รับทรัพยากรจากเขาเท่านั้น!”

“ต่อให้ต้องกลายเป็นเตาหลอม แต่การบำเพ็ญคู่ร่วมกับลู่หยวนจะทำให้ท่านได้รับประโยชน์ยิ่ง!”

หมัวเทียนเลิกคิ้วสูง “หึ เพียงแค่สามวัน ท่านสามารถเพิ่มระดับได้สองระดับติดต่อกัน และตอนนี้ท่านอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสูง มันก็คงเป็นเพราะท่านบำเพ็ญคู่กับเขา ฐานการฝึกฝนของท่านจึงเพิ่มขึ้นมากเช่นนี้… หึ ซวี่รั่วหลิง ท่านเป็นหนึ่งในผู้หญิงของลู่หยวน! แล้วรสชาติของเขาเป็นอย่างไรบ้างหรือ?”

ใบหน้าของซวี่รั่วหลิงกลายเป็นเย็นชา “หมัวเทียน หุบปากเจ้าซะ!”

“ทำไมข้าต้องหุบปาก? ท่านทำสิ่งนี้ แล้วทำไมข้าจึงพูดไม่ได้?!”

ขณะทั้งสองกำลังโต้เถียง พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าลู่หยวนหลบซ่อนอยู่ด้านหลังต้นไม้ไม่ไกลนัก เขามองดูทั้งสองคนด้วยแววตาเย็นชา

มีสมบัติล้ำค่ามากมายในร่างกายของเขา และมันง่ายมากที่จะปิดกั้นกลิ่นอายทั้งหมดเพื่อไม่ให้ผู้ใดค้นพบ

เมื่อสัตว์อสูรกำลังก่อกวนลู่หยวน เขาเห็นว่าลำแสงสีทองในมือสั่นสะเทือนผิดปกติ แสดงว่าหมัวเทียนต้องอยู่ใกล้เขามาก แน่นอน และทันทีที่หันกลับมา ซวี่รั่วหลิงก็หายตัวไป ดูเหมือนว่าหมัวเทียนจะล่อให้สัตว์อสูรมาที่นี่เพื่อดึงความสนใจของเขาและพาซวี่รั่วหลิงออกไป

ลู่หยวนจัดการกับสัตว์อสูรเสร็จสิ้นจึงเดินติดตามแสงในมือและได้พบกับทั้งสอง ทันทีที่มาถึง เขาได้ยินว่าทั้งสองกำลังโต้เถียงกันเพราะเขา

เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว ความขัดแย้งของทั้งสองไม่อาจจบลงได้ด้วยดี

ระบบแจ้งว่า [ซวี่รั่วหลิงเกลียดชังหมัวเทียน และค่าชะตาของบุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน ลดลง 500 แต้ม! ค่าชะตาวายร้ายเพิ่มขึ้น 1,000 แต้ม!]

[ค่าชะตาปัจจุบันของท่านคือ 3,000 แต้ม!]

ลู่หยวนแสยะยิ้มและปรบมือให้กับหมัวเทียนอย่างยินดี เจ้าพระเอกผู้นี้เก่งกาจนัก ทันทีที่เขากลับมา เขาก็เอาแต่เพิ่มแต้มให้กับตนอย่างไม่หยุดหย่อน!

อีกด้านหนึ่ง ทั้งสองยังคงโต้เถียงกันต่อไป วิญญาณเฒ่าเหยียนโจวกล่าวขึ้นอย่างเหลืออด “เจ้าหนู อย่าไปยุ่งกับนางอีก สัตว์อสูรพวกนั้นคงยื้อลู่หยวนได้ไม่นานนัก นอกจากนี้มีสตรีบนโลกอีกนับหมื่นพัน หากเจ้าได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลก สตรีแบบใดกันที่เจ้าต้องการ? ย่อมได้มาง่ายดายอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คืออะไร?! คือเราต้องรีบออกค้นหาสมบัติลับ!”

หมัวเทียนสงบสติอารมณ์ลงเล็กน้อย อาจารย์กล่าวถูกต้องแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้รับสมบัติแล้วบ่มเพาะตนเอง

เขามองซวี่รั่วหลิงด้วยความไม่พอใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าหวังว่าศิษย์พี่หญิงจะได้รับความปรารถนาอย่างสุขสมในทุก ๆ วัน!”

หลังกล่าวจบ หมัวเทียนหันหลังกลับและคิดจากไป

ทันใดนั้น แสงสีแดงพลันสว่างวาบขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา อักขระโบราณซับซ้อนปรากฏขึ้นครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด

“เคล็ดวิชาจารึกสวรรค์?!”

หมัวเทียนจดจำค่ายกลนี้ได้แม่นยำ และสิ่งนี้ไม่อาจพบเห็นได้ง่ายในแดนเหนือ และการที่จะใช้พลังนี้ได้ย่อมแสดงออกว่าผู้อยู่เบื้องหลังไม่ธรรมดาแน่

ในผู้ที่เข้าสู่ซากมังกรสถิตนี้มีเพียงไม่เกินสิบคนที่สามารถเปิดใช้งานเคล็ดวิชาจารึกสวรรค์ได้

อาจเป็นลู่หยวน?!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหงื่อเย็นเฉียบพลันหลั่งออกจากแผ่นหลังของหมัวเทียน เขาจดจำชัดเจนว่าเขานั้นพ่ายแพ้ต่อลู่หยวนได้อย่างไร

แต่เวลานี้บุตรแห่งโชคชะตาส่ายศีรษะ ไม่! ข้ามีอาจารย์อยู่ข้างกาย แม้ลู่หยวนจะอยู่ที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว

“เป็นข้าที่มีความสามารถมากมาย บุตรแห่งโชคชะตาเอ๋ย คนโง่เขลาเช่นเจ้าคงไม่อาจครอบครองเคล็ดวิชานี้”

ทั้งซวี่รั่วหลิงและหมัวเทียนหันขวับตามเสียง ลู่หยวนเดินเข้ามาพร้อมกับกระบี่ยาวเปื้อนเลือดในมือ สีหน้าแข็งกร้าวและอำมหิตของเขาไม่ต่างจากเทพสังหารเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นก็คงหวาดกลัว

หมัวเทียนลอบกลืนน้ำลาย เขาขยับข้อมือพร้อมกระชับกระบี่ยาวในมือแน่น สายตามองลู่หยวนอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันในใจก็เริ่มสื่อสารกับเหยียนโจว

ลู่หยวนเดินตรงเข้าหาซวี่รั่วหลิงด้วยใบหน้าอ่อนโยน ก่อนจะถามแผ่วเบา “เจ้าสบายดีหรือไม่?”

ซวี่รั่วหลิงพลันเต็มไปด้วยความยินดีก่อนจะส่ายศีรษะเบา “คุณชายไม่ต้องกังวล ข้าสบายดี”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวคำเบา ๆ แล้วพูดเสริม “ก่อนหน้านี้ข้าพัวพันกับพวกสัตว์อสูร หลังจากจัดการพวกมันแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าหายไปแล้วจึงรีบออกตามหาทันที”