ตอนที่ 260 – เรื่องใหญ่

วันเวลาผ่านไปช้า ๆ หนึ่งปีในระหว่างการฝึกตนและรอคอย

ปัจุบันนี้นามโม่ชิงเวยมีชื่อเสียงโด่งดังในคุนอู๋ตะวันตก ถัดจากฉินโส่วจิ้ง ผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่สุดของโรงเรียนเสวียนชิง คุณสมบัติของนางยังเหนือกว่ารากวิญญาณเดี่ยวไปอีก มีความเป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะสามารถเลื่อนระดับถึงจิตวิญญาณใหม่ ไม่เป็นอย่างฉินโส่วจิ้งที่เป็นอัจฉริยะจอมปลอมแน่นอน

โม่เทียนเกอได้ยินข่าวนี้แล้วในใจมีความขมขื่นอยู่บ้าง ถึงนางจะทราบว่าคนคนนี้จะไม่ใส่ใจกับนามอัจฉริยะอะไรนี่แน่ ๆ แต่ว่าเดิมถูกเชิดชูเสียสูงส่ง ปัจจุบันนี้ตกลงมาหนักหน่วงเยี่ยงนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเย็นชาเกินไปแล้ว ยิ่งบวกกับก่อนหน้านี้เขาผูกจิตวิญญาณล้มเหลวสามครั้ง…..

โม่เทียนเกอนึกถึงตอนที่อยู่สำนักอวิ๋นอู้ พวกเขาเคยมีการสนทนากัน ตอนนั้นอารมณ์ของนางค่อนข้างไม่ดี คนที่สามารถคุยด้วยได้ตายบ้างกระจัดกระจายไปบ้าง สุดท้ายเหลือเพียงเขาที่ยังอยู่ ตอนบ่ายวันนั้น พวกเขาดื่มสุรา นางหัวหมุนตาลาย ฟังเขาพูดเรื่องบางเรื่อง

ความทรงจำนี้ตอนนั้นถูกเขาใช้วิชาเวทปกปิดไป ขณะนี้นางก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ความทรงจำนี้ในที่สุดก็หลุดจากการจองจำ ปรากฏขึ้นมาในสมองของนาง

เขาพูดว่า คุณสมบัติของเขาไม่ได้ดีที่สุดเลย แต่ฝึกตนมาถึงวันนี้ยังไม่เคยผ่านคอขวด อาจเป็นไปได้ว่าเขาเกิดมาเพื่อฝึกเป็นเซียน ทั้งไม่มีความลุ่มหลงแล้วก็ไม่มีห่วงผูกมัด พูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีความรู้สึกเกินจำเป็น ดังนั้นชีวิตนี้เขาเพียงอยากจะเดินไปตามเส้นทางเซียนอย่างนี้เท่านั้น……

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะผูกจิตวิญญาณล้มเหลวสามครั้ง เขาก็จะไม่สูญเสียความมั่นใจหรอกใช่ไหม แต่ว่าที่ซือฟุพูดว่าเขาติดบ่วงมารมันคือเรื่องอะไรกันเล่า

กับเรื่องราวที่คิดไม่ออกโม่เทียนเกอก็ไม่คิดมาก นิสัยของนางถึงจะไม่ได้เด็ดขาดขนาดนั้น แต่เรื่องราวที่คิดจนเข้าใจแล้วก็จะไม่ไปวนเวียนอยู่กับมันตลอดไป

หนึ่งปีผ่านไป ระดับการฝึกตนของนางแทบจะมั่นคงแล้ว เริ่มเตรียมการเรื่องของอาวุธเวท

พอก่อเกิดตาน วิธีการต่อสู้ของช่วงสร้างฐานพลังจะต้องทิ้งไปเกินครึ่ง ระดับก่อเกิดตานสามารถพัฒนาพลังอำนาจอันแท้จริงของอาวุธเวทออกมา ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแท้จริงแล้วก็คือการแข่งขันของอาวุธเวท

บนร่างของนางมีอุปกรณ์เวทบางชิ้นที่ต้องเปลี่ยน ดังนั้นเจอกับปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง อาวุธเวทไม่กี่ชิ้นของนางล้วนเป็นเพียงอาวุธเวทป้องกันหรือสนับสนุน การโจมตีอาศัยอุปกรณ์เวท ขณะนี้ถึงกับไม่มีอาวุธเวทโจมตีเลย

ปัญหานี้ทำให้โม่เทียนเกอลังเลอยู่หลายวัน ถ้าจะซื้อก็จะต้องไม่เหมาะมือตรงใจเท่ากับที่ตนเองหลอมสร้างแน่นอน ถ้าจะหลอมสร้างก็ยุ่งยากเกินไปอีก สุดท้ายยังเป็นประมุขเต๋าจิ้งเหอที่ถามไถ่อย่างไม่ใส่ใจแล้วมอบอาวุธเวทจำนวนหนึ่งให้นางจึงได้แก้ไขปัญหานี้ได้

จากที่เริ่มเข้าสำนักอาจารย์ตอนหลอมรวมพลังวิญญาณ ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่เคยมอบอาวุธเวทหรืออุปกรณ์เวทให้นางเลย บ่นตลอดว่าสมบัติที่นางครอบครองสำหรับผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังผู้หนึ่งแล้วมันร่ำรวยเกินไป ไม่จำเป็นต้องมอบอะไรให้นางอีกแล้ว

โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ขาดอะไร ดังนั้นก็ไม่ได้ร้องขอ

แต่ก่อเกิดตานกับสร้างฐานพลังมีความแตกต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ในฐานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน สมบัติเหล่านี้ที่อยู่บนตัวนางไม่เพียงพออย่างสิ้นเชิง

ประมุขเต๋าจิ้งเหอลงมือในที่สุด จากเหตุการณ์นี้ยังพูดอย่างพออกพอใจด้วยว่าสุดท้ายแล้วนางก็ยังขาดเขาที่เป็นซือฟุผู้นี้ไม่ได้สินะ! ดูสิ ได้รับวาสนามาตั้งเท่าไหร่ ตอนนี้ยังมิใช่ต้องให้เขามอบอาวุธเวทอีกหรือ

โม่เทียนเกอระงับความอยากกลอกตาใส่เขาเอาไว้ ภายหลังคิด ๆ ดูยังรู้สึกว่าตลกดี ว่าไปแล้วซือฟุผู้นี้ในเวลาทั่วไปปฏิบัติต่อนางดียิ่งนัก สิ่งของที่สามารถให้นางไม่เคยที่จะงก แต่กลับทำให้คนทำท่าสำนึกบุญคุณไม่ออกมาโดยตลอด ชอบจะให้สิ่งของแล้วยังจะให้นางพูดหลายประโยคอย่างนี้

แต่ว่านี่ก็เป็นส่วนที่น่าชื่นชมของเขา ในการดูแลศิษย์ไม่ได้ทำท่าทางว่ากำลังแสดงความโปรดปรานเลย มอบสมบัติก็ไม่ได้เรียกร้องบุญคุณจากคนอื่น

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อาวุธเวทที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอให้นางถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนได้แล้ว ในนี้มีกระบี่หนึ่งเล่ม ตราประทับสี่เหลี่ยมหนึ่งชิ้น ขวดหยกหนึ่งใบ ล้วนเป็นอาวุธเวทโจมตี กระบี่ธาตุทอง ตราประทับธาตุดิน ขวดหยกธาตุน้ำ ถึงแม้ล้วนเป็นสิ่งที่ตัวประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้ใช้ แต่ก็เป็นของชั้นยอด

โม่เทียนเกอทอดถอนในใจ ถึงที่สุดแล้วนางได้รับอานิสงค์จากซือฟุไม่น้อย ในฐานะผู้ฝึกตนของสำนักเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระแล้วแสนสบายกว่ามากมายจริง ๆ ไม่เช่นนั้นนางไม่รู้ว่าต้องสะสมศิลาวิญญาณเท่าไหร่เปลืองเรี่ยวแรงแค่ไหนไปหลอมสร้างอาวุธเวท คิดถึงในปีนั้นนางมีท่านอารองเป็นผู้อาวุโสอยากจะหาศิลาวิญญาณมาใช้ฝึกตนตามความจำเป็นมันยากแค่ไหน ถ้าเป็นคนคนเดียวไหนเลยจะสามารถจดจ่อจิตใจอยู่กับการฝึกตนอย่างเช่นในตอนนี้ได้เล่า

ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง โม่เทียนเกอที่ชำระอาวุธเวทหลายชิ้นใหม่จนถึงจุดที่สามารถใช้การได้แล้วก็ได้ยินข่าวใหญ่อย่างหนึ่ง

“ซือฟุ!” พอได้ยินข่าวนี้ โม่เทียนเกอก็รีบกลับไปที่วังซ่างชิงทันที แต่พอก้าวเข้าโถงใหญ่กลับชะงักลงไป

ฉินซีก็อยู่ข้างในห้องโถงด้วย ขณะนี้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นางนั่งบ่อยที่สุด ก้มหน้าจิบชา ได้ยินเสียงของนางก็ไม่เงยหน้ามองสักแวบ

โม่เทียนเกอรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ทักทายประมุขเต๋าจิ้งเหอแล้วจึงทักทายเขา “โส่วจิ้งซือเกอ”

ฉินซีที่ประคองถ้วยชาเพียงตอบรับเบา ๆ คำหนึ่ง ยังคงไม่มองนาง ดูคล้ายจดจ่ออยู่กับการดื่มชา ตามคุณสมบัติและการฝึกตนของพวกเขาสองคน เขาทำอย่างนี้ก็ไม่ถือว่าหยาบคาย อย่าเพิ่งเอ่ยถึงระดับการฝึกตนที่สูงกว่าโม่เทียนเกอมาก แค่ตามลำดับการเข้าสำนักอาจารย์อย่างเดียวก็ก็เข้าสำนักมาก่อนตั้งหลายปีขนาดนี้ รับการคารวะจากนางได้เกินพอ

เพียงแต่ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออยู่บ้าง คล้ายกับว่า……ไม่ชอบใจที่เห็นนางมากเลย

ความอิหลักอิเหลื่อประเภทนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในจิตใจ โม่เทียนเกอหันหน้าไปถาม “ซือฟุ เรื่องนั้นจริงหรือเจ้าคะ”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอคล้ายกับไม่เห็นความอิหลักอิเหลื่อระหว่างพวกเขาสองคน กำลังถือแผ่นหยกชิ้นหนึ่งอ่านอะไรอยู่ พอได้ยินคำพูดของนางก็วางแผ่นหยกลง เอ่ยว่า “แน่นอนว่าจริง ซือฟุว่างจัดเลยจะมาล้อพวกเจ้าเล่นหรือ”

โม่เทียนเกอได้ยินคำยืนยันของเขา ในใจทั้งยินดีทั้งกระสับกระส่าย แล้วก็ตึงเครียดอยู่บ้าง “ซือฟุ เช่นนั้นปัจจุบันนี้สรุปว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรเจ้าคะ”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอมองดูนาง แล้วก็มองดูฉินซี เอ่ยว่า “ข้าเรียกพวกเจ้ามาก็เพราะรู้ว่าพวกเจ้าจะต้องใส่ใจเรื่องนี้ถึงสิบส่วน เรื่องนี้คาดว่าเกิดขึ้นหนึ่งเดือนก่อน เหวยซือก็มีสหายหลายคนที่สำนักเทียนเต้า พวกเขาหลังจากค้นพบความผิดปกติก็ตั้งใจจะหาสมบัติ ดังนั้นมาเชิญเหวยซือ”

“สำนักเทียนเต้า…..เช่นนี้ข่าวก็น่าจะไม่ผิดพลาดแล้ว….”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้ม ในดวงตาปรากฏแสงไหววูบ “คิดว่าตาแก่พวกนั้นยังไม่กล้าหลอกลวงพวกเราเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ถึงสำนักเทียนเต้าของเขาจะเป็นสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ โรงเรียนเสวียนชิงของพวกเราก็ไม่ใช่ว่ารังแกได้ง่าย อีกอย่าง พวกเขาไม่เพียงแจ้งต่อพวกเรา ยังแจ้งต่อผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ด้วยกันหลายคน สหายอีกหลายคนนอกจากเหวยซือล้วนได้รับข่าวทั้งสิ้น”

“ซือฟุ” ฉินซีเปิดปาก ในที่สุดก็วางถ้วยชาในมือ สายตามองไปทางประมุขเต๋าจิ้งเหอ “ในเมื่อเป็นเรื่องจริงเสียเกินครึ่ง เช่นนั้นท่านวางแผนจะไปหรือ”

“นี่ย่อมแน่นอน” ประมุขเต๋าจิ้งเหอว่า “ปีนั้นเจ้าไปภูเขามาร เหวยซือไม่ได้ร่วมทางเพราะว่าพอดีกำลังฝึกตนถึงช่วงเวลาวิกฤต แต่ให้ตาแก่หลายคนนำไปก่อน ครั้งนี้ภูเขามารเปิดออก เหวยซือมีเหตุผลอันใดจะไม่ไปเล่า”

“อืม” ฉินซีก็ไม่ได้ประหลาดใจสักนิด “ซือฟุ ท่านยังมีข่าวอะไรก็พูดมาเลยเถอะ”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอโยนแผ่นหยกในมือให้เขา “พวกเจ้าดูเอาเองเถอะ”

ฉินซีรับแผ่นหยกมามองพักหนึ่ง แววตาล้ำลึก โยนแผ่นหยกให้โม่เทียนเกอ ตนเองกุมถ้วยชาอีกครั้งแล้วครุ่นคิด

โม่เทียนเกอรับมาดูอย่างอดรนทนไม่ได้

แผ่นหยกนี้เป็นแผ่นหยกสื่อสารที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ผู้หนึ่งนามว่าเฮยเฟิงเต้าเหริน*มอบให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอ เนื้อหาเรียบง่ายมาก แจ้งประมุขเต๋าจิ้งเหอว่ากำแพงอาคมของภูเขามารอ่อนกำลังลง ไม่กี่วันจะสามารถเปิดออก เชิญเขาไปร่วมทาง

สำนักเทียนเต้าอยู่ใกล้ภูเขามาร ต่อต้านเต๋าแห่งมาร ช่วงนี้พวกเขาพบว่ากำแพงอาคมของภูเขามารมีสัญญาณว่าจะคลายตัวลง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา กำแพงอาคมตรงพื้นที่บางแห่งจะอ่อนกำลังลงต่อไป ในช่วงเวลาตั้งแต่ครึ่งปีถึงหนึ่งปีจะปรากฏทางเข้าที่สามารถเข้าไปได้

ว่ากันว่าภูเขามารนี้เป็นสนามรบในการต่อสู้ใหญ่ระหว่างเซียนและมารยุคโบราณ ไกลถึงถึงบรรพกาลหลายล้านปีก่อน ใกล้ถึงโบราณกาลแสนกว่าปีก่อน ข้างในมีซากสังขารของผู้ฝึกเซียนและผู้ฝึกมารจำนวนมากมาย สมบัติที่หาเจอนั้นในตอนนี้ล้วนหาไม่ได้แล้ว

อีกอย่าง ภูเขามารนี้มีภูมิประเทศพิเศษเฉพาะ อย่าว่าแต่ทั้งทั้งเทียนจี๋ ถึงจะเป็นทั่วทั้งโลกหล้าก็เกรงว่าจะหาไม่พบพื้นที่ที่พิเศษเช่นนี้ ในนั้นมีวัตถุวิญญาณบางอย่างเติบโตซึ่งล้วนหาไม่ได้จากภายนอก ดังนั้นเมื่อไรที่กำแพงอาคมภูเขามารอ่อนกำลังลงก็จะมีผู้ฝึกเซียนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามายังเขาอวี้เหิงของสำนักเทียนเต้า คิดอยากจะไปแบ่งปันน้ำแกงสักชาม

แน่นอนว่าในนี้อันตรายถึงสิบส่วน พูดถึงแค่ที่กำแพงอาคมอ่อนกำลังลงครั้งที่แล้วประมาณสักแปดเก้าสิบปีก่อน ครั้งนั้นคนที่เข้าภูเขามารตายไปเกินครึ่ง บิดาของโม่เทียนเกอเยี่ยไห่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ถึงแม้จะอันตรายเช่นนี้ คนทั่วทั้งเทียนจี๋กลับยังคงพุ่งเข้าใส่ ต้องรู้ว่ากำแพงอาคมของภูเขามารจะอ่อนกำลังลงเวลาใดเป็นสิ่งที่ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์เลย บางทีหลายร้อยปีก็ไม่เกิด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณกับสร้างฐานพลัง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานก็เป็นไปได้ว่าจะไม่พบสักครั้งตลอดชั่วชีวิต

แปรผันกับอันตรายอันใหญ่หลวงคือวาสนาอันใหญ่หลวงในนั้น ว่ากันว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ซงเฟิงซ่างเหรินผู้นั้นได้รับสมบัติมากมายในภูเขามารจึงสามารถฝึกวิชาที่พิสดารไร้เทียมทานออกมาได้

แต่นอกจากซงเฟิงซ่างเหรินแทบจะไม่มีใครที่เข้าภูเขามารอย่างโดดเดี่ยวคนเดียว เนื่องจากถ้าอยากจะเข้าไปอย่างปลอดภัย วิชาม่านพลังกำแพงอาคมจะต้องคุ้นเคยถึงสิบส่วน แล้วยังต้องมีความสามารถวิชาต่อสู้อันแข็งแกร่ง เหล่านี้มิใช่สิ่งที่คนคนเดียวจะสามารถครอบครอง แล้วภูเขามารนี้ก็ใหญ่เกินไป อย่าว่าแต่คนหลายพันคน ถึงจะหลายหมื่นคนเข้าไปก็เกรงว่าจะพบกันได้ยากมาก ดังนั้นทุกครั้งที่กำแพงอาคมภูเขามารอ่อนกำลังลง ผู้ฝึกตนของสำนักเทียนเต้าจะเชื้อเชิญสหายของตนเองไปสำรวจก่อน แต่จะไม่ผูกขาดกับสำนักของตนเอง

แน่นอนว่าสำนักเทียนเต้าเดิมเพื่อจะต่อต้านเต๋าแห่งมารจึงได้ตั้งสำนักขึ้นข้าง ๆ ภูเขามาร ภูเขามารก็เป็นเช่นสวนหลังบ้านของพวกเขา คนอื่นหากอยากจะเข้าไปอย่างน้อยก็ต้องให้ผลประโยชน์กับพวกเขาสักหน่อย

โม่เทียนเกออ่านจบแล้วก็คืนแผ่นหยกให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ก้มหน้าครุ่นคิด

ประมุขเต๋าจิ้งเหอย่อมจะไป ตอนที่โม่เทียนเกอกราบเข้าสำนักอาจารย์เขา ซือฟุผู้นี้ก็ไปถึงระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางชั้นสูงสุดแล้ว แต่ชักช้าไม่มีวาสนาทะลวงผ่านถึงขั้นปลายเสียที ขณะนี้พอดีเป็นโอกาสอันดี อีกอย่างนิสัยของเขาก็ชอบผจญภัยอยู่แล้ว

ยังมีฉินซี เขาก็ต้องไปแน่ ผูกจิตวิญญาณล้มเหลวสามครั้ง เขาในตอนนี้ต้องการวาสนาในการทะลวงด่านอย่างเร่งด่วน ปีนั้นเขาอายุเพียงหนึ่งร้อยปีต้น ๆ ก็ก่อเกิดตานขั้นกลางแล้ว พอดีเป็นช่วงเวลาที่ภาคภูมิหยิ่งผยอง แต่ก็ยังเสี่ยงอันตรายเข้าภูเขามาร ตอนนี้มีเหตุผลอันใดจะปล่อยมันไปเล่า

แต่ตัวโม่เทียนเกอเองลังเลอยู่บ้าง ด้านการฝึกตน ถึงนางจะก่อเกิดตานแล้ว ออกเดินก้าวแรกของผู้ฝึกตนระดับสูง แต่ก็เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ตอนนี้นางแม้แต่อาวุธเวทคู่ชีพก็ยังไม่ได้หลอมสร้างออกมา ในฐานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตานความสามารถวิชาต่อสู้ยังไม่เพียงพอ ยิ่งบวกกับที่นางอายุยังเยาว์วัย แล้วก็มีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนหนุนหลัง ไม่มีความจำเป็นต้องเสาะหาวาสนาอะไรเลย ฝึกตนไปช้า ๆ จิตวิญญาณใหม่ก็ไม่ใช่ว่าไร้ความหวัง

แต่นอกเหนือจากวาสนา ภูเขามารกลับมีเหตุผลหนึ่งที่ดึงดูดให้นางไป — บิดาของนางฝังร่างอยู่ในภูเขามาร ตอนที่นางหลอมรวมพลังวิญญาณก็เคยคิดว่ารอจนก่อเกิดตานแล้วจะหาโอกาสไปภูเขามารสักครั้งนำกระดูกชองบิดากลับมา ตอนนี้ในที่สุดก็มีโอกาสเช่นนี้แล้ว ถ้าหากปล่อยไปก็ไม่รู้ว่าหลายร้อยปีหลังจากนี้ภูเขามารจะเปิดอีกครั้งหรือไม่

……………………………..

*เต้าเหริน ซ่างเหริน เหมือนเป็นระดับตำแหน่งค่ะ ที่ปรากฎในเรื่องแล้วก็จะมีเต้าจวิน (แปลว่าประมุขเต๋า) เจินเหริน (แปลว่าอาจารย์เต๋า) หยวนจวิน (ของบรรพบุรุษนางเอกซึ่งไม่เห็นจะแปล) แล้วก็ “เต้าเหริน” กับ “ซ่างเหริน” อันนี้เป็นอันใหม่ค่ะ ถ้าเราแปลเองแต่ต้นไม่มีทางแปลประมุขเต๋าอาจารย์เต๋าอะไรนี่เด็ดขาด แต่เพราะต้องการจะให้มันต่อจากฉบับคนอื่นแปลก็เลยแปลประมุขเต๋าอะไรนี้ตาม ๆ กันไป แต่ว่าที่เป็นตำแหน่งใหม่ขอข้ามไม่แปลนะคะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนึกไม่ออกว่าจะแปลเป็นอะไรดีด้วยแหละนะ….ทำไมเอ็งไม่ใช่เต้าจวินเหมือนผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่น ๆ วะคะ???

ปล. เต้าจวินแปลว่าประมุขเต๋า เต้าคือเต๋า ส่วนจวินแปลว่าประมุขก็ตรงอยู่ แต่ว่าเจินเหรินที่แปลว่าอาจารย์เต๋านี่ยกเมฆล้วน ๆ เพราะ เจิน แปลว่าแท้จริง เหรินแปลว่ามนุษย์ รวมเป็นมนุษย์ที่แท้จริง คำว่าอาจารย์เต๋านี่มาจากไหนไม่ทราบจริง ๆ 5555

ส่วนเต้าเหรินแปลตรง ๆ ก็คือมนุษย์เต๋าแหละนะ ซ่างเหรินแปลว่า….คนที่อยู่ข้างบน???

ตอนที่ 261 – ปัญหาอยู่ตรงไหน