ตอนที่ 261 – ปัญหาอยู่ตรงไหน
คิดอยู่ครู่หนึ่งโม่เทียนเกอก็ตัดสินใจได้ เงยหน้าเอ่ยว่า “ซือฟุ ข้าอยากไป”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ไม่ได้ประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้สักนิดเดียว พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าจะไป ซือฟุย่อมไม่ห้ามเจ้า แต่ว่าก่อนหน้านั้นต้องเตรียมตัวให้ดี ๆ”
จุดนี้พอดีเป็นความกังวลใจของโม่เทียนเกอ นางเอ่ยว่า “ซือฟุ ข้าตอนนี้แม้แต่อาวุธเวทคู่ชีพยังไม่ได้หลอมสร้าง เพียงแค่เพิ่งจะเลื่อนระดับชั้น ความสามารถวิชาต่อสู้อ่อนอยู่บ้างจริง ๆ ต้องทำอย่างไรดี”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอชี้นิ้วใส่ฉินซีส่ง ๆ “เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับซือเกอของเจ้า ก็ดีเลยจะได้มีคนดูแล”
โม่เทียนเกออึ้งไป “ซือฟุมิใช่ว่าก็จะไปด้วยหรือเจ้าคะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังไม่ทันตอบ กลับเป็นฉินซีที่เปิดปากขึ้นมา “ซือฟุเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แล้วยังมีสหายเชื้อเชิญ ย่อมจะไปกับพวกเขา พาพวกเราไปด้วยไม่สะดวก”
ที่ไหนระดับการฝึกตนอะไรไปได้ ระดับการฝึกตนอะไรไปไม่ได้ ตั้งหลายปีขนาดนี้ก็มีประสบการณ์มาแต่แรกแล้ว พวกเขาผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ย่อมไปในสถานที่ซึ่งมีสมบัติมากกว่าและอันตรายก็มากกว่าด้วย
โม่เทียนเกอคิดดูก็เข้าใจ ถามอีกว่า “นอกจากโส่วจิ้งซือเกอเล่า ยังมีซือเกอซือเจี่ยผู้ใดร่วมทาง”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยว่า “ในภูเขามารอันตรายทุกแห่งหน ถึงทุกคนล้วนอยากไป โรงเรียนก็ไม่มีทางให้ทุกคนไป อีกประการ สำหรับพวกเราผู้ฝึกตนมีสังกัด ถ้าหากการฝึกตนราบรื่นไม่มีความจำเป็นต้องไปยังสถานที่อันตรายเช่นนี้เพื่อหาวาสนาจริง ๆ” พูดแล้วก็เหล่มองนาง “หากมิใช่ว่าเหวยซือทราบความสัมพันธ์ของเจ้ากับภูเขามารก็จะไม่อนุญาตให้เจ้าไป”
พอเห็นโม่เทียนเกอก้มหน้าลง ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็เป่าหนวด “คับอกคับใจอย่างนี้ทำอะไร อย่าบอกนะว่าเจ้ายังอยากจะให้คนเป็นฝูงติดตามเจ้าไปด้วยน่ะ”
“เปล่านะเจ้าคะ!” โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้น แววตามึนงง “ข้าเพียงกำลังคิดว่าต้องทำอย่างไร ซือฟุท่านคิดมากไปแล้ว!”
“…..” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองนางพักหนึ่ง พูดว่า “ครั้งนี้ในโรงเรียนผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มีเพียงเหวยซือกับหัวเหยียนซือซูของพวกเจ้าไปด้วยกัน สำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานนี่ก็มีหลายคน แต่ซือเกอของเจ้าชอบความเงียบสงบ คนมากเกินไปเขาไม่มีความสุข สรุปว่าต้องทำอย่างไรเจ้ายังคงถามเขาเถอะ”
โม่เทียนเกออึ้งงัน อดมองไปทางฉินซีมิได้ เพียงเห็นเขายังคงหลุบตามองถ้วยชาในมือของตนเองด้วยแววตาชืดชา คล้ายกับว่าอะไรก็ไม่ได้ยินทั้งนั้น
นางลังเล สุดท้ายยังคงถามว่า “ซือฟุ เช่นนั้นข้า…..จะไม่ถ่วงโส่วจิ้งซือเกอหรือ” ด้วยสถานะที่เพิ่งจะก่อเกิดตานของนางในปัจจุบันนี้ ในมือไม่มีอาวุธเวทคู่ชีพ วิชาต่อสู้เลี่ยงไม่ได้ที่จะอ่อนแออยู่บ้าง ร่วมทางกับนางจะต้องโดนนางถ่วง
“ไม่เป็นไร” กลับเป็นฉินซีที่ตอบคำ เขายังคงไม่มองนาง น้ำเสียงก็ชืดชามาก “จะร่วมทางกับใคร ข้าย่อมมีความคิดเห็น เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง”
“….” ถ้าหากเดิมทียังพอมีความเห็นใจเขาอยู่บ้าง ฟังคำพูดนี้แล้ว ในใจโม่เทียนเกอก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏร่องรอยความโกรธ คิดเองตัดสินใจเองเช่นนี้มันไม่เห็นนางเป็นเพื่อนร่วมทางเลยนี่นา
ในใจนางทราบชัดว่าระดับการฝึกตนและความสามารถของตนเองยังล้าหลังซือเกอผู้นี้อยู่ห่างไกล แต่ท่าทางของเขาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเพราะการฝากฝังของซือฟุ ดังนั้นจึงได้คุ้มครองนาง ความรู้สึกว่าเกาะอยู่กับคนอื่นเช่นนี้นางไม่ชอบมาก ๆ!
สีหน้าของโม่เทียนเกอดูไม่ดีอย่างมาก ฉินซีไม่เห็น ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับมองเห็น ถลึงตาใส่ฉินซีอย่างดุร้ายคราหนึ่ง แล้วเอ่ยกับโม่เทียนเกอว่า “เทียนเกอ เรื่องนี้ซือฟุได้ปรึกษากับซือเกอเจ้าแล้วก็เลยมีแผนการ เจ้าจงวางใจเถิด”
คำพูดนี้ของประมุขเต๋าจิ้งเหอหมายความว่าจะรับความผิดเอาไว้เอง โม่เทียนเกอฟังออก เมื่อเห็นสีหน้าของซือฟุแล้วก็พูดอะไรอีกไม่ได้ เพียงเอ่ยว่า “ในเมื่อซือฟุกับซือเกอล้วนคิดมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ใสใจมากความ”
เมื่อเห็นว่านางยอมลงให้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ถอนหายใจโล่งอก นำแผ่นหยกหลายชิ้นและแผนที่หนึ่งแผ่นออกมาจากอกเสื้อมอบให้นาง “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะไปก็ทำความคุ้นเคยกับเรื่องราวของภูเขามารเสีย แผนที่นี้เป็นสิ่งที่เหวยซือจ่ายเงินไปมากมายเอามาจากสำนักเทียนเต้า เจ้าอ่านให้ดี ๆ ยังมีพวกนี้เป็นบันทึกของผู้ฝึกตนเก่ง ๆ หลายรุ่นในอดีตก็สามารถอ้างอิงได้ เจ้ากลับไปอ่านดูก่อน ยังมีเรื่องอะไรซือฟุย่อมส่งคนไปแจ้งเจ้า”
“เจ้าค่ะ” สิ่งของเหล่านี้อยู่ข้างนอกมีศิลาวิญญาณก็หาซื้อไม่ได้ โม่เทียนเกอทราบอยู่แก่ใจก็เลยไม่ทำให้ซือฟุลำบาก “เช่นนั้นศิษย์ขอลาก่อนเจ้าค่ะ”
พอโม่เทียนเกอไป คิ้วของประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ขมวดฉับ ขว้างหนังสือในมือทิ้ง ตะโกนใส่ฉินซีว่า “เจ้าเด็กนี่ อยากให้ข้าโมโหจนตายเลยใช่ไหม เจ้าดูท่าทีของเจ้านี่สิ!”
“ข้าอะไรขอรับ” ฉินซีจึงได้เงยหน้าขึ้น มองดูท่าทางของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหอบหายใจด้วยความโกรธ “เดิมข้าก็คิดไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วเป็นปัญหาตรงไหน แต่ว่าเห็นท่าทีของเจ้าเมื่อครู่ ในที่สุดข้าก็รู้แล้ว!” เห็นฉินซีไม่ได้หงุดหงิดสักนิดเขายิ่งลุกเป็นไฟ ร้องว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไร อะไรคือบอกว่าเจ้ามีความคิดเห็นเอง ให้นางไม่ต้องห่วง”
ฉินซีหน้าตาไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “เดิมทีก็เป็นเช่นนี้ ต้องทำอย่างไรข้าคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว ขณะนี้ไม่มีเรื่องของนาง”
“เจ้า—” ประมุขเต๋าจิ้งเหอชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของเขา แค้นจนแทบเต้น เดินวนไปวนมาเป็นวงกลม “เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่ เด็กน่าตาย เด็กงุ่มง่าม!”
ด่าเละไปรอบหนึ่งแล้วประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงได้ทิ้งตัวลงนั่งใหม่อีกครั้ง ดื่มชาผ่อนลมหายใจ “ข้าเดิมทีคิดไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ไม่ยอมพูดจาถ้าไม่ถึงตายกันเช่นนี้ แล้วก็ไม่อธิบายให้เข้าใจกัน ที่แท้มันคือปัญหาด้านทัศนคติของเด็กน้อยเจ้านี่เอง!”
“ข้าทำไมหรือ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวหากันเช่นนี้ ฉินซีรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก ในใจไม่มีความสุข เมินหน้าหนี
“เจ้ายังจะไม่ทำไมอีกหรือ?!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเสียงดังขึ้นมา ถลึงตาใส่เขาสักพัก “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเจ้าดูแคลนนางเกินไปแล้ว เจ้ารู้สึกใช่หรือไม่ว่าเจ้าระดับการฝึกตนสูงกว่านาง ดังนั้นเรื่องราวทุกสิ่งอย่างล้วนมีเจ้าดูแล”
ฉินซีอึ้งไป เอ่ยว่า “มันไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ ข้าระดับการฝึกตนสูงกว่านาง อีกทั้งข้าเป็นบุรุษ ไม่ใช่ว่าควรจะให้ข้าปกป้องนางหรือ”
“…..” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ใคร่ครวญสักพัก พอได้ใคร่ครวญแล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก อดหัวเราะไม่ได้
เขาประเดี๋ยวโกรธประเดี๋ยวหัวเราะ ทำเอาฉินซียิ่งมึนงงสับสน “ซือฟุ ท่านเกิดบ้าอะไรขึ้นมา”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มอย่างอดทน ถามเขาว่า “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ในสายตาของเจ้าไม่มีการแบ่งแยกระหว่างหญิงชายเลย ถึงจะร่วมทางกับผู้ฝึกตนหญิง เจ้าก็ไม่คิดอยากจะปกป้องพวกนางใช่หรือไม่”
ฉินซีขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “พวกนางไม่ได้เป็นอะไรกับข้า ในเมื่อทุกคนร่วมทางเพื่อเป้าหมายเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมเท่าเทียม เหตุใดข้าจะต้องทำมากกว่าเล่า”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะอย่างยินดียิ่งกว่าเดิม “แต่เจ้ารู้สึกว่าเจ้าควรจะปกป้องนาง”
“นี่ก็….ย่อมแน่นอน” ไม่เอ่ยถึงสิ่งอื่น หากรักคนคนหนึ่งย่อมอยากจะปกป้องนาง
ประมุขเต๋าจิ้งเหอทำหน้านิ่ง ๆ “แต่นางกลับไม่รู้สึกเช่นนี้”
ฉินซีอึ้ง “ซือฟุ ท่านหมายความว่าอะไร”
ดังนั้นเพื่อการสมรสของศิษย์ตนเอง ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงได้ทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักอีกครั้ง “เจ้าคิดดูสิ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าทำแบบนี้คือปกป้องนาง แต่นางได้ยินแล้วจะรู้สึกอะไร นางก่อเกิดตานแล้ว ในที่สุดก็อยู่ระดับชั้นเดียวกับเจ้า แต่เจ้ากลับยังคงไม่เห็นนางเป็นผู้ฝึกตนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวทุกอย่างล้วนรับหน้าที่เอง เหมือนกับว่านางทำอะไรก็ทำได้ไม่ดี”
พอเห็นฉินซีคิดจะพูด ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ยกมือขึ้นหยุดเขา “ฟังข้าพูดให้จบ! เจ้าถามตัวเองในใจดูสิว่าเจ้าดูแคลนนางหรือไม่”
ฉินซีใคร่ครวญในใจพักหนึ่ง กล่าวว่า “ข้า… ข้ารู้ว่านางมีพรสวรรค์น่าเหลือเชื่อ อีกทั้งนิสัยใจคอก็เด็ดเดี่ยวมาก ถ้าหากนางเป็นผู้ฝึกตนปีเดียวกับข้าจะต้องไม่ต่ำกว่าข้าเป็นแน่ แต่ว่านางในขณะนี้จะอย่างไรเสียก็ยังเติบโตไม่พอ ข้าย่อมควรจะปกป้องนางมากหน่อย ….อีกทั้ง เป็นเพราะว่านางเติบโตเร็วมาก ข้าจึงยิ่งต้องเดินอยู่ข้างหน้านาง…..”
คำตอบนี้ทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอพอใจมาก “เจ้าเด็กนี่ โตถึงสองร้อยปีแล้วยังโง่งมอย่างนี้อีก เอาล่ะ ซือฟุจะบอกเจ้าว่าสรุปแล้วมันเป็นเรื่องอย่างไร! เจ้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นบุรุษ เจ้าควรจะแกร่งกว่านางหน่อย ปกป้องนางดี ๆ แต่ก็เพราะว่าทัศนคติเช่นนี้ของเจ้าที่ทำให้เทียนเกอรู้สึกว่าเจ้าดูแคลนนาง เจ้ารู้สึกว่านางไร้ประโยชน์…. เจ้ามิใช่ว่าก็ทราบหรอกหรือว่านางมีนิสัยแกร่งกร้าว จะยอมรับการดูแคลนของเจ้าได้อย่างไร”
“…..” คำพูดนี้พูดจนฉินซีเหงื่อแตกพลั่ก เขาไม่กล้าพูดว่าตอนเริ่มแรกเขาดูแคลนนางจริง ๆ ถ้าพูดออกไปซือฟุจะต้องตีเขาจนเละแน่ ๆ แต่ตอนที่เขาตระหนักว่าตนเองมีทัศนคติเช่นนี้ก็ได้พยายามคิดที่จะกำจัดมันไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าถ้าหากทั้งสองคนล้วนผูกจิตวิญญาณแล้วก็จะไม่มีอุปสรรคเช่นนี้อีก
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ถึงทั้งสองคนจะเป็นผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้น เทียนเกอเติบโตจนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา เขารู้สึกว่าตนเองเป็นบุรุษก็ควรจะยืนอยู่เบื้องหน้านางจึงจะถูก มิใช่เพราะดูแคลนนาง ทว่าความภาคภูมิใจในฐานะบุรุษ อย่างน้อยที่สุดตนเองก็ต้องทำอะไรเพื่อนางบ้าง
ใบหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ในใจปั่นป่วนยุ่งเหยิง ผ่านไปพักใหญ่ ฉินซีจึงเอ่ยว่า “ซือฟุ พวกนี้ที่ท่านพูดจะอย่งไรก็ไม่ใช่สาเหตุหลัก ในใจนางไม่มีข้า ถึงจะรู้สึกดีขึ้นแล้วจะอย่างไรเล่า ข้า…..ไม่ได้เรียกร้องอะไรแล้ว เพียงหวังว่าจะผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ รอคอยช้า ๆ บางที…..”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอแค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า ถลึงตาใส่เขาร้องว่า “เจ้าโง่หรือ เจ้ามอบทัศนคติที่ไม่ดีต่อนาง ในใจนางย่อมหักคะแนนความคิดเห็นต่อเจ้าไปหนึ่งคะแนน หักมาก ๆ เข้าย่อมจะไม่ชอบเจ้าแล้ว! เจ้าคิดจะรอช้า ๆ ข้าซือฟุควบคุมไม่ได้ แต่ความชังเช่นนี้ถ้าสะสมไปเรื่อย ๆ ในท้ายที่สุดนางก็จะมีอคติต่อเจ้า ถึงจะรู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดก็ยากที่จะยอมรับเจ้า เข้าใจรึยัง?!”
ฉินซีเข้าใจอยู่บ้าง แล้วก็สับสนอยู่บ้าง เขาคิดอยู่นานมาก ในดวงตายิ่งมึนงง “ซือฟุ ท่านทำไมถึงได้ทราบมากขนาดนี้ ท่านมิใช่ว่าก็ไม่เคยฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรอกหรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอคาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เขาจะพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏสีแดงเลือนราง ร้องตะโกนอย่างอับอายว่า “ข้าซือฟุอายุจะพันปีแล้ว อะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น เจ้าคนรู้เห็นน้อยสงสัยมาก!”
“….” ฉินซีไม่ไล่ถามอีก ก้มหน้าลงคิดพักใหญ่ สุดท้ายยังเงยหน้าขึ้น “ข้ายังไม่เข้าใจ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปคิดจนเข้าใจเสีย!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอมองอย่างโมโห “ข้าทำไมถึงได้มีศิษย์สองคนอย่างพวกเจ้ากันนะ วุ่นวายเละเทะ ดูแล้วข้ากระวนกระวายนัก!”
โมโหจบแล้วเขาก็เอนมาใกล้เอ่ยว่า “นี่ ข้าขอบอกเจ้านะว่านี่เป็นโอกาสที่ดีครั้งหนึ่ง ระหว่างเจ้ากับนางมีความเข้าใจผิดอะไรพูดให้ชัดเจนได้จะดีที่สุด! เด็กน้อยโง่เง่าไม่เข้าใจเรื่องราวอย่างเจ้าถ้าไม่เข้าใจเรื่องราวก็ถามไปตรง ๆ เสีย! เฮ้อ ระหว่างคนรักเด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ มีคำพูดก็ไม่เล่าออกมา น่ารำคาญจริง ๆ……”
…………………………….
ถ้าไม่มีซือฟุบอกเลยว่าชาตินี้ฉินซีนกทั้งชาติแน่นอน
นี่เป็นหนึ่งตอนที่รู้สึกว่าแปลได้คล่องมือมาก ๆ 555
ตอนที่ 262 – คนร่วมทาง