ตอนที่ 262 – คนร่วมทาง
ในเมื่อตัดสินใจจะไปภูเขามาร โม่เทียนเกอเริ่มเตรียมการเรื่องราวการร่วมเดินทางทันที
ขณะนี้นางเพิ่งจะก่อเกิดตาน สิ่งของมากมายที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานควรจะมียังไม่ครบถ้วน โชคดีที่มีซือฟุตกรางวัลจึงไม่ถึงกับยากจนข้นแค้นจนเกินไป อาวุธเวทชำระมาเล็กน้อย ถึงจะไม่เทียบเท่ากับพลังของอาวุธเวทคู่ชีพของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนอื่น อย่างน้อยก็มีพลังต่อสู้ ยังมีเครื่องรางเวทบางส่วน ในเวลาฉุกเฉินสามารถนำมาสนับสนุนเหตุการณ์ได้ ท้ายที่สุดคือศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ เนื่องจากไม่กลัวว่าจะธาตุไฟเข้าแทรก ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางฝึกฝนได้เร็วผิดปกติ พอก่อเกิดตานสำเร็จก็เลื่อนระดับขึ้นถึงชั้นที่สามโดยอัตโนมัติ
ชั้นที่หนึ่งของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณคือการทำให้จิตหยั่งรู้ก่อตัวเป็นรูปร่างสามารถนำมาโจมตี ชั้นที่สองสามารถลดแรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับสูงต่อตนเอง ชั้นที่สามจิตหยั่งรู้แกร่งขึ้นถึงระดับหนึ่ง แรงกดดันที่ส่งออกมาถึงขนาดเหนือกว่าการฝึกตนของตัวเอง เมื่อปลดปล่อยแรงกดดันสามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดตานขั้นกลางหรือแม้กระทั่งขั้นปลาย เช่นนี้แล้วจะสามารถข่มขู่ได้
นอกเหนือจากนี้ โม่เทียนเกอศึกษาแผนที่และข้อมูลที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอมอบให้นางโดยละเอียด
ภูมิประเทศของภูเขามารพิเศษถึงสิบส่วน ตั้งแต่เริ่มต้นยุคปฐมกาลเมื่อหลายล้านปีก่อน เซียนและมารก็เกิดการต่อสู้ขนานใหญ่ขึ้นที่นี่ ในระยะเวลาล้านปีต่อจากนั้น การต่อสู้ระหว่างธรรมะและมารตัดสินสมรภูมิอยู่ที่ภูเขามาร จนกระทั่งยุคโบราณกาลสิ้นสุด ผู้ฝึกตนสายมารในปัจจุบันนี้ยังคงเกิดการปะทะกับสายธรรมะหลายครั้ง ในช่วงเวลาหลายล้านปีนี้ ภูเขามารประสบกับศึกใหญ่ไม่รู้กี่ครั้ง หลงเหลือกำแพงอาคมนับไม่ถ้วนและพลังวิญญาณอันไม่เสถียรทิ้งเอาไว้ ในนั้นยังมีนักล่าสมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนที่เข้ามาและทิ้งชีวิตเอาไว้ตรงนั้น จวบจนปัจจุบันในนี้มีสมบัติมากมายเหลือคณานับและปกคลุมไปด้วยซากศพ โอกาสและอันตรายอยู่ด้วยกัน
ผ่านการสำรวจหลายหมื่นปี เหล่าคนรุ่นก่อนที่จากไปมอบแผนที่และความรู้ในการหาสมบัติอันล้ำค่าให้ผู้ฝึกตนยุคปัจจุบันนี้ ที่ตรงไหนผู้ที่มีระดับการฝึกตนอะไรสามารถไปได้ ที่ตรงไหนอย่าไปเป็นดีที่สุด อาจจะมีอันตรายอะไรบ้าง โม่เทียนเกอจดจำใส่ใจไปทีละอย่าง
เมื่อคิดถึงทัศนคติของฉินซี ในใจของนางอดไม่ได้ที่จะเกิดความไม่พอใจเบาบาง นางทราบว่าความแข็งแกร่งของตนเองยังย่ำแย่กว่าโส่วจิ้งซือเกออยู่มาก แต่ทัศนคติเช่นนี้มันก็ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว!
สูดลมหายใจเข้าลึกสงบสติอารมณ์ จริงอยู่ว่านางยังคงมีสภาพหอบหายใจแต่ก็จะไม่หมกมุ่นกับสิ่งนี้จนเกินไป มิเช่นนั้นจะเกิดความโกรธแค้นได้ง่าย ไม่ดีต่อการฝึกตน
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ายฉินซีส่งข้อความให้นาง แจ้งนางว่าควรจะออกเดินทางแล้ว น้ำเสียงอ่อนลงกว่าในวันนั้นมากมาย อธิบายเรื่องราวที่ต้องสังเกตมากมายอย่างละเอียดจนถึงสิ่งของที่ควรจะเตรียมเอาไว้
โม่เทียนเกอกำเครื่องรางสื่อสารนั้นและสะบัดเบา ๆ เผามันจนสิ้นซาก ทำตามที่เขาบอก เก็บข้าวของที่ควรจะเตรียมเอาไว้จากนั้นไปพบกับเขาในเวลาที่กำหนด
ส่วนประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ได้พูดคุยกันแต่แรกแล้ว เขาจะร่วมทางไปกับประมุขเต๋าหัวเหยียน ปล่อยพวกเขาไปตามใจ
ถึงวันนั้น โม่เทียนเกอหลังจากแจ้งต่อประมุขเต๋าจิ้งเหอคำหนึ่งก็ไปที่ถ้ำพำนักของฉินซี
ถ้ำพำนักของเขาไม่ถือว่าเล็ก แต่เป็นถ้ำที่ลึกลับที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั้งหลายของยอดเขาชิงฉวน ถ้าหากไม่ทราบยังจะนึกว่าเป็นเพียงยอดเนินไร้ผู้คน ใครจะสามารถคิดได้ว่าด้านหลังหน้าผาของเขาโล่งเตี้ยนที่ไม่สวยงามสักนิดนี้ถึงกับจะเป็นถ้ำพำนักของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผู้หนึ่งได้เล่า
รวมทั้งนางก็คิดไม่ถึง ดังนั้นตอนนั้นจึงทำเรื่องที่พอย้อนนึกถึงก็รู้สึกอับอายลงไป ถึงกับไปข้องแวะเละเทะกับไป๋เยี่ยนเฟยตรงหน้าถ้ำพำนักของเขา เสียหน้าจริง ๆ เลย
ท้งตัวลงบนเนินเขานี้อีกครั้ง โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ พลังวิญญาณหนึ่งสายเคาะใส่หน้าผา ส่งเสียงดังทึบ ๆ ออกมา
ผ่านไปไม่นานมาก หน้าผาเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง ฉินซีก้าวออกมา
เขามองโม่เทียนเกอ เอ่ยว่า “ไปเถอะ”
โม่เทียนเกออึ้งไป ถามว่า “โส่วจิ้งซือเกอ มีแค่พวกเราหรือ”
ฉินซีปัดแขนเสื้อ เมฆขาวหนึ่งก้อนปรากฏขึ้นใต้เท้า “ข้านัดหมายกับคนเอาไว้แล้ว ไปเจอกันที่เมืองคุนจง”
เมืองคุนจงเป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ภาคกลางคุนอู๋ ไม่ได้เป็นของสำนักใด ๆ ถึงเมืองจะไม่ใหญ่แต่กลับเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของคุนอู๋กลาง
โม่เทียนเกอลังเล “พวกเราไม่ได้ร่วมทางกับซือเกอซือเจี่ยร่วมโรงเรียนหรือ”
ฉินซีเอ่ยว่า “พวกเขาเองมีสหายของพวกเขา ถึงจะร่วมโรงเรียนแต่ไม่สู้ร่วมทางกับผู้ที่เข้ากันได้”
ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ โม่เทียนเกอก็ไม่พูดอะไรอีก ลอยตัวขึ้นเช่นเดียวกัน แต่กลับได้ยินฉินซีเอ่ยว่า “ขึ้นมาบนเมฆบินของข้า เจ้าก็จะได้ประหยัดพลังวิญญาณหน่อย”
“…..” พลังวิญญาณที่ต้องใช้ในการบินไม่ได้มากเลย แต่ว่าในเมื่อเขาปรารถนาดีก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ
ทิ้งตัวลงบนเมฆบิน เหาะขึ้นฟ้าในพริบตา ความเร็วของเมฆบินนี้น่าทึ่งจริง ๆ โม่เทียนเกอแอบคิดว่าแม้รองเท้าย่ำเมฆาของตนเองจะบินด้วยพลังเต็มที่ก็ไม่แน่ว่าจะมีความเร็วเช่นนี้ แน่นอนว่าก็เป็นเพราะระดับการฝึกตนของนางในปัจจุบันนี้ยังไม่สูงพอ คิดว่าถ้ามีระดับการฝึกตนเช่นเขา ความเร็วของรองเท้าย่ำเมฆาจะต้องไม่แพ้เขา
ทั้งสองคนบินออกจากม่านพลังหลักคุ้มครองภูเขาของโรงเรียนเสวียนชิง เขาไท่คังอยู่ห่างออกไปในพริบตา
ความเร็วในการบินเต็มที่ของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่อาจดูเบาได้จริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นได้ชัดว่าเมฆบินนี้เป็นอาวุธเวทสำหรับเหาะชั้นยอด
หลายวันให้หลังทั้งสองคนมาถึงเมืองคุนจงตรงภาคกลางของคุนอู๋
นี่มิใช่ครั้งแรกที่โม่เทียนเกอมาถึงเมืองคุนจง ตอนที่ท่องไปทั่วหล้ากับท่านอารองเมื่อปีนั้นนางก็เคยมายังเมืองนี้ แวะพักที่นี่อยู่ช่วงหนึ่ง
เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่โตเลย แต่ผู้คนมา ๆ ไป ๆ เป็นเมืองแห่งการฝึกเซียนที่รุ่งเรืองที่สุดของคุนอู๋
ว่ากันว่าเมืองนี้เดิมทีก่อตั้งขึ้นโดยผู้ฝึกตนอิสระที่มีความสามารถล้ำเลิศหลายท่าน เดิมเพียงเป็นสถานที่ให้เหล่าผู้ฝึกตนอิสระมาแลกเปลี่ยนค้าขาย ก็คือเป็นตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเท่านั้น ใครจะรู้ว่าพัฒนาการของเมืองยิ่งมายิ่งใหญ่โต สุดท้ายกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของคุนอู๋กลาง เนื่องจากเมืองนี้ไม่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่อันใดหนุนหลัง มีเหล่าผู้ฝึกตนอิสระมีความสามารถล้ำเลิศดูแลมาตลอด ไม่แก่งแย่งช่วงชิงเพื่อขยายอิทธิพล ดังนั้นสำนักใหญ่ต่าง ๆ ก็ไม่ใส่ใจมาก นานวันเข้าก็กลายเป็นเมืองค้าขาย ถึงขนาดที่ว่าด้วยความยินยอมของสำนักใหญ่ต่าง ๆ เมืองคุนจงนี้ได้กลายมาเป็นสถานที่อันเป็นกลางที่ใหญ่ที่สุดของคุนอู๋ทีเดียว
ตลอดทางมานี้ทั้งสองคนไม่ได้พูดจากันเลย เพียงก้มหน้าก้มหน้ารีบเร่งเดินทาง โม่เทียนเกอไม่มีอะไรจะพูด ฉินซีก็มีท่าทางไม่อยากจะคุย จนกระทั่งทิ้งตัวลงที่ปากประตูเมืองคุนจง ฉินซีจึงเอ่ยว่า “ชิงเวยซือเม่ย สหายเก่าหลายคนนี้ของข้าความประพฤติเชื่อถือได้อยู่ แต่นิสัยกลับแปลกประหลาดไปบ้าง ถ้าหากมีอะไรที่รู้สึกประหลาดอย่าได้เอ่ยถึงต่อหน้า มาถามข้าเงียบ ๆ ก็พอ”
พอได้ยินฉายานามนี้ โม่เทียนเกอตะลึงไปพักหนึ่ง นางยังไม่คุ้นชินกับนามแห่งเต๋าของตนเองนัก ยิ่งไม่คุ้นชินกับที่ฉินซีเรียกนางเช่นนี้ แต่นางดึงสติกลับมาได้โดยเร็ว พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
พอเดินเข้าเมืองคุนจง ทุกแห่งหนล้วนเป็นผู้ฝึกตน พวกเขาสองคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน สวมใส่ชุดเต๋าของโรงเรียนเสวียนชิง อีกทั้งล้วนอ่อนเยาว์ถึงสิบส่วน พอเข้าเมืองก็ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย
ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานอยู่นี่ เหล่าผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณย่อมไม่กล้าเดินขึ้นหน้า แม้แต่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังก็ล้วนยืนอยู่ข้าง ๆ รอให้พวกเขาเดินผ่าน โม่เทียนเกอได้สัมผัสถึงความรู้สึกสูงส่งเหนือผู้คนของผู้ฝึกตนระดับสูงเช่นนี้เป็นครั้งแรก มีความไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ฉินซีกลับไม่รู้สึกสักนิด พานางเดินไปยังใจกลางเมือง
ความรู้สึกเบียดเสียดเช่นนี้ทำให้โม่เทียนเกออึดอัดเป็นพิเศษ ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณที่นางฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตหยั่งรู้ และการกระจายจิตหยั่งรู้ก็เป็นการกระทำจากจิตใต้สำนึกของผู้ฝึกตน ในเมืองนี้ จิตหยั่งรู้สับสน ทำให้นางรู้สึกไม่สบายมาก นี่ก็คล้ายกับคนที่หูดีในสถานที่ที่จ้อกแจ้กจอแจจะรับได้ยากกว่าคนทั่วไป
จู่ ๆ ฉินซีก็หันศีรษะมาถามว่า “เจ้าเป็นอะไร”
โม่เทียนเกอไม่คาดว่าเขาจะค้นพบความผิดปกติของตนเอง อึ้งไปพักหนึ่งจึงได้ส่ายหน้า “คนเยอะเกินไป”
ฉินซีกวาดสายตาเอ่ยว่า “ถ้ามีเรื่องข้าจะเตือนเจ้าเอง เจ้าเก็บจิตหยั่งรู้ไปก่อน”
“……” โม่เทียนเกอลังเลนิดหน่อยแล้วพยักหน้า ขณะนี้ความแข็งแกร่งของนางไม่ดีนัก ฝืนตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้เก็บรักษาพลังงานเอาไว้ใช้ในยามวิกฤต
เมื่อเห็นนางเชื่อฟัง ฉินซีก็หันกลับไปนำทางต่อ ไม่ทันไรก็เดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เขาปฏิเสธคำทักทายของเสี่ยวเอ้อร์มนุษย์ เดินอย่างคุ้นเคยไปที่ชั้นสาม ลดเลี้ยวหลายคราแล้วมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง
ประตูห้องยังไม่เปิด โม่เทียนเกอก็ได้ยินเสียงดังมาจากภายใน กลับเป็นเสียงสตรีอันทรงเสน่ห์ “คนสองคน ตาเฒ่าเหลย เจ้าแพ้แล้ว จ่ายสิ่งของมา!”
จากนั้นเป็นเสียงที่เหมือนกับระฆังใบใหญ่ “ให้ตายสิ หญิงแซ่เฟิ่ง เจ้าคงไม่โกงหรอกนะ”
“เหอะ พนันแล้วก็ยอมรับความพ่ายแพ้สิ หน้าด้านไปก็ไร้ความหมาย ตาเฒ่าเหลย เจ้าจะจ่ายไม่จ่าย”
“จ่าย!” เสียงนี้หดหู่ถึงขีดสุดแต่กลับตรงไปตรงมาถึงสิบส่วน แต่จากนั้นก็พึมพำขึ้นมาอีกว่า “หลังจากนี้จะไม่พนันกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องโกงแน่เลย!”
ฉินซีผลักประตูเปิด “เอาข้าไปพนันอะไรอีกแล้ว”
เสียงของเขาเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด โม่เทียนเกอกลับรู้สึกว่ามีความจริงใจเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
พอเห็นเขาเข้ามา เสียงในห้องก็หยุดลงทันที จากนั้นลมหอมหอบหนึ่งโถมเข้ามา กลับเป็นสตรีงามสะคราญเช่นดอกท้อที่เบ่งบานต้นฤดูวสันต์สีชมพูร่างหนึ่งโถมเข้ามา ร้องเรียกอย่างอ่อนหวานว่า “ไอหยา ที่รักน่าตายนี่ เหตุใดนานเพียงนี้ถึงได้มา!”
ฉินซีโบกแขนเสื้อส่งพลังวิญญาณสายหนึ่งออกไปสกัดกั้นลมหอมนี้เอาไว้ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล!”
สตรีนางนี้ถูกเขาตะโกนใส่อย่างเย็นชาก็ยืนอยู่ห่างไปหลายจ้าง ลูกตากลอกมองโม่เทียนเกอที่เดินตามเขาเข้ามา ประท้วงอ้อน ๆ ทันทีว่า “หึ มีรักใหม่ลืมรักเก่า ไร้น้ำใจ!”
“พอแล้ว เฟิ่งเหนียงจื่อ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะกล่าวเหลวไหลกับเจ้า!” พูดจบฉินซีก็ตีหน้านิ่งเดินไปอีกด้านหนึ่งของห้อง
สตรีนางนี้กะพริบตาปริบ ถามไถ่คนอ้วนหัวล้านผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ห่างไกลอย่างประหลาดใจว่า “วันนี้เป็นไรไป ล้อเล่นคำหนึ่งก็ทนไม่ได้แล้วหรือ”
คนอ้วนหัวล้านที่ถือขวดสุราอยู่มองดูโม่เทียนเกอที่ก้มหน้าเดินตามหลังเขา เอ่ยว่า “เจ้าก็ไม่ดูเสียบ้าง คราวนี้เขาพาคนมาด้วย ไหนเลยจะสามารถมาล้อเล่นกับเจ้าส่งเดชได้เล่า”
สตรีนางนี้เอ่ยว่า “แต่ก่อนก็ล้อเล่นส่งเดชนี่ ก็ไม่เห็นเขาจะเคยจริงจัง”
ในห้องห้องนี้มีคนสี่คน สตรีนางนั้นที่เจอตอนเปิดประตูบวกกับคนอ้วนหัวล้านข้างหลังนาง ด้านนี้เป็นพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่ง ชายชราผอมบางผู้หนึ่ง
พรตเต๋าวัยกลางคนเป็นก่อเกิดตานขั้นปลาย อีกสามคนที่เหลือล้วนเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง ถ้าหากพวกนี้คือสมาชิกร่วมทางคราวนี้ เช่นนั้นระดับการฝึกตนของตนเองก็จะต่ำที่สุด โม่เทียนเกอครุ่นคิดกับตัวเอง มองดูฉินซีเดินขึ้นหน้าทักทายพรตเต๋ากลางคนและชายชราผอมบางนั้น
“สหายเต๋าคูมู่ สหายเต๋าถง จากมาสบายดีนะ”
สองคนนี้เห็นเขาแต่แรก ต่างพากันลุกขึ้นคำนับกลับคืนเขา
พรตเต๋ากลางคนลูบเครายิ้มแย้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าโส่วจิ้ง แปดสิบปีมิได้พบ ระดับการฝึกตนของท่านทะยานเหนือพวกเราไปแล้ว”
ชายชราผอมบางนั้นถึงใบหน้าจะแข็งทื่อในดวงตาก็มองดูเขาด้วยรอยยิ้มอยู่หนึ่งส่วน
ใบหน้าของฉินซีปรากฏรอยยิ้มบางเบา “คำพูดนี้สหายเต๋าคูมู่ล้อข้าเล่นแล้ว ผูกจิตวิญญาณล้มเหลวสามครั้ง ข้าตอนนี้เป็นเรื่องขำขันของคุนอู่ เสียหน้ามากนักแล้ว”
…………………………………………
ตอนที่ 263 – การต่อสู้ของจิตหยั่งรู้