ตอนที่ 263 – การต่อสู้ของจิตหยั่งรู้

ชายชราผอมแห้งนั้นดูคล้ายกับต้นไม้ตายซาก (คูมู่แปลว่าต้นไม้ตาย) แต่กลับเป็นสหายเต๋าวัยกลางคนที่มีฉายานามว่าพรตเต๋าคูมู่ นามที่ชายชราผอมแห้งผู้นี้ใช้เป็นชื่อที่สุภาพเหมาะสม เรียกว่าถงเทียนอวิ้น

พอได้ยินคำพูดของฉินซี พรตเต๋าคูมู่ก็ยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าโส่วจิ้งถ่อมตัวไปแล้ว นี่มีอะไรที่เสียหน้ากันเล่า อย่างข้าที่เสียเวลาอยู่ในระดับก่อเกิดตานมาหลายร้อยปีโดยไม่คืบหน้า แม้แต่โอกาสจะผูกจิตวิญญาณยังไม่มี ไม่รู้ว่าอิจฉาสหายเต๋ามากเท่าใดเลย”

ฉินซียิ้มเล็ก ๆ ไม่พูดมากอีก ขยับไปด้านข้างเปิดทาง หันศีรษะมองโม่เทียนเกอ “สหายเต๋าทั้งสอง นี่คือซือเม่ยที่ข้าเคยเอ่ยถึง นามแห่งเต๋าชิงเวย”

คูมู่และถงเทียนอวิ้นสองคนสังเกตเห็นโม่เทียนเกอแต่แรกแล้ว เพียงแต่ฉินซีไม่พูด พวกเขาก็ไม่สะดวกจะจ้องมองผู้ฝึกตนสตรีนางหนึ่ง โดยเฉพาะนางสวมใส่ชุดเต๋าของโรงเรียนเสวียนชิงเช่นเดียวกับฉินซี เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ร่วมโรงเรียน ขณะนี้ฉินซีแนะนำ พวกเขาจึงได้ใช้สายตามองไปที่ร่างของโม่เทียนเกออย่างเปิดเผย

โม่เทียนเกอยกมือขึ้นคำนับทักทายเบา ๆ “สวัสดีสหายเต๋าทั้งสอง”

คูมู่และถงเทียนอวิ้นเห็นได้สงบเรียบร้อยก็ลุกขึ้นคำนับตอบอย่างสุภาพ

พวกเขาทางนี้เพิ่งจะทักทายกันตามมารยาท คนอ้วนหัวล้านที่มีเสียงเหมือนกับระฆังใบใหญ่นั้นก็ร้องออกมาเสียงดังว่า “ฉินโส่วจิ้ง นี่คือซือเม่ยท่านหรือ ได้ยินมาว่าซือฟุของท่านมีศิษย์ที่พรสวรรค์สูงเยี่ยม แถมยังไม่ถึงร้อยปีก็ก่อเกิดตานแล้ว ไม่ใช่นางใช่ไหม”

ฉินซีเผชิญหน้ากับคนอ้วนหัวล้านก็ไม่ได้เกรงใจขนาดนั้นแล้ว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ใช่นางแล้วจะใคร ข้าจะไปมีซือเม่ยมากมายขนาดนั้นมาจากที่ไหน”

คนอ้วนหัวล้านยังไม่ทันตอบ สตรีที่ถูกฉินซีเรียกว่าเฟิ่งเหนียงจื่อก็หัวเราะขึ้นมาก่อน “ตาเฒ่าเหลย ข้าพูดกับเจ้าแต่แรกแล้วว่าผู้ที่สามารถทำให้เขาตกลงร่วมทางจะต้องเป็นคนใกล้ชิดอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าไม่ยอมเชื่อ เป็นอย่างไรเล่า ข้าเดาตรงไหม เขาไม่เพียงตกลงร่วมทาง แถมยังพามาด้วยตนเองอีกด้วย!”

คนอ้วนหัวล้านโอบไหสุรา ใบหน้าดุดันยับย่นทั่วทั้งหน้า เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ฮึ เจ้าก็ดีแต่ทำนาย!” พูดจบแล้วก็ยื่นคางไปทางโม่เทียนเกอแต่กลับพูดกับฉินซีว่า “พวกเราห้าคนไม่มีสักคนที่เป็นมือใหม่ ท่านพานางหนูน้อยที่เพิ่งก่อเกิดตานมาด้วยนับเป็นเรื่องอันใดกัน ภูเขามารอันตรายทุกแห่งหน ถ้าถ่วงพวกเราแล้วควรจะทำอย่างไร”

ฉินซีพ่นลมออกจากจมูกคราหนึ่ง เหลือบมองโม่เทียนเกอแล้วค่อยหันเหสายตาไปทางคนอ้วนหัวล้าน น้ำเสียงเย่อหยิ่งอยู่บ้าง “เจ้าก็ถือว่ามิใช่มือใหม่ด้วยหรือ ถ้ากลัวโดนถ่วง ข้ากับสหายเต๋าคูมู่, สหายเต๋าถงสามคนร่วมทางกันก็พอแล้ว เอาพวกเจ้าไปทำอะไร?!”

“เจ้า–” การเยาะเย้ยอย่างชัดเจน ใบหน้าดุดันของคนอ้วนหัวล้านสั่นเทาเหมือนจะระเบิดขึ้นมาแล้ว

ฉินซีพูดต่อว่า “ซือเม่ยผู้นี้ของข้าถึงจะเพิ่งก่อเกิดตาน บนร่างกลับมีสมบัติไม่น้อย ถึงการจู่โจมจะอ่อนเล็กน้อย การป้องกันตนกลับไม่มีปัญหาอะไรเลย อีกอย่าง ความปลอดภัยของนางข้าจะดูแลเอง ไม่ต้องให้พวกเจ้ากังวลใจ!”

ถึงแม้จะมีมิตรภาพกับฉินโส่วจิ้งอยู่บ้าง คนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่ท่องอยู่ในโลกฝึกเซียนหลายร้อยปี ไหนเลยจะอนุญาตให้ผู้ฝึกตนที่ไม่มีความสามารถอะไรและถ่วงพวกเขาร่วมทางด้วย ขณะนี้ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเขาล้วนมองโม่เทียนเกออย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

พวกเขาเชื่อว่าฉินโส่วจิ้งจะไม่พูดโกหก แต่ผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะก่อเกิดตานนางหนึ่งจะสามารถทรงพลังได้มากแค่ไหนกันเชียว

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน โม่เทียนเกอกลับยิ้มเล็กน้อย “สหายเต๋าทุกท่าน มีใครอยากจะแลกเปลี่ยนวิชากับข้าสักรอบหรือไม่”

ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของนาง คูมู่และถงเทียนอวิ้นสองคนไม่มีปฏิกิริยาอะไร คนอ้วนหัวล้านนั้นโอบไหสุราอยากจะพูดแต่กลับถูกสตรีนางนั้นแย่งไปก่อนก้าวหนึ่ง

สตรีนางนี้ยังไม่พูดก็หัวเราะออกมาก่อน ก้าวมาอย่างสนิทสนมอยากจะจับมือของโม่เทียนเกอ “น้องสาวผู้นี้….”

นางยังพูดไม่จบ มือก็ยังไม่ได้สัมผัสโม่เทียนเกอ ฉินซีสะบัดแขนเสื้อวูบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ผลักนางถอยหลังไปหลายก้าว

วันนี้ถูกฉินซีลงมือสกัดจนต้องถอยหลังไปสองครั้งสามครา สตรีนางนี้ก็หงุดหงิดแล้ว ขมวดคิ้วเท้าสะเอวคล้ายกับแม่ค้าในตลาด ไร้ซึ่งท่วงท่าทรงเสน่ห์เมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง “ฉินโส่วจิ้ง ท่านนี่มันไม่มีเหตุผลเสียเลย! ข้าไม่ได้จะกินซือเม่ยท่านเสียหน่อย ท่านทำเยี่ยงนี้หมายความว่าอะไร?!”

ฉินซีสีหน้าไม่ขยับเขยื้อน สายตาตวัดไปที่มือของนางรอบหนึ่ง “หากเจ้าคุยกับนางดี ๆ ข้าย่อมไม่ขวางเจ้า แต่เจ้าทาพิษไว้บนมือทำอะไร”

ถูกเปิดโปงแล้วสตรีนางนี้ก็ไม่อับอาย แต่ทว่ายิ้มแย้มอย่างสว่างไสว “เป็นซือเม่ยของท่านเองที่พูดว่าอยากจะแลกเปลี่ยนวิชา ข้าจะลองดูก่อนว่านางมีความระแวดระวังหรือไม่ นี่ก็ไม่ได้หรือ ท่านขวางแทนนางเอาไว้แล้วจะนับอย่างไร”

ฉินซีกลับมีท่าทางผ่อนคลาย “เจ้าใช้พิษต่อนางก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้เก็บรักษาพลังเอาไว้ดีกว่า”

“หืม?” สตรีสาวไม่เข้าใจ “หมายความว่าอะไร”

“ร่างกายนางพิเศษยิ่ง ชีพจรปราณและตานเถียนต่างจากคนทั่วไป วิธีเล็กน้อยนั้นของเจ้าสำหรับนางแล้วไม่มีประโยชน์สักนิด” พูดเช่นนี้แล้วฉินซีก็มองโม่เทียนเกอ เอ่ยว่า “ชิงเวยซือเม่ย ผู้นี้คือเหนียงจื่อพิษตู้เฟิ่งจิ่น เจ้าเพียงเรียกนางว่าเฟิ่งเหนียงจื่อก็พอ ส่วนผู้นี้ เขาเรียกว่าเหลยตงชิง”

เหนียงจื่อพิษตู้เฟิ่งจิ่นหรือ โม่เทียนเกอใจเต้นขึ้นมาคราหนึ่ง ชื่อเสียงของเหนียงจื่อพิษนางเคยได้ยินมาเล็กน้อย เป็นผู้ฝึกตนอิสระ วิธีการอำมหิตยิ่ง ถึงวิธีฝึกตนจะเป็นแนวทางธรรมะ วิธีการกลับชั่วร้ายอยู่บ้าง คนที่ชมชอบนางเรียกนางว่าเฟิ่งเหนียงจื่อ คนที่ไม่ชมชอบนางเรียกนางว่าเหนียงจื่อพิษ ไม่คาดเลยว่าโส่วจิ้งซือเกอผู้นี้จะถึงกับมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลพวกนี้

แต่ว่าฉินซีไม่ได้พูดเหลวไหล กายเนื้อของผู้ฝึกตนมีความสามารถต้านทานพิษที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง คิดอยากจะวางยาพิษใส่ผู้ฝึกตนจะต้องเริ่มจากชีพจรปราณและตานเถียน จุดนี้นางกลับไม่กลัว ผ่านการฝึกห้าวิญญาณมา ชีพจรปราณและตานเถียนของนางทนทานอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ยาพิษที่ว่านี้ใช้มาบนตัวของนางยากที่จะส่งผลอันใด

โม่เทียนเกอยกมือขึ้น “ที่แท้เป็นเฟิ่งเหนียงจื่อและสหายเต๋าเหลย ยินดีที่ได้พบ” กับสองคนนี้เห็นได้ชัดว่ามิได้สุภาพมีมารยาทเช่นเดียวกับคูมู่และถงเทียนอวิ้น ในเมื่อสองคนนี้มีมารยาทต่อนางไม่พอ นางก็ตอบสนองไปแบบเดียวกัน

ขณะนั้นเองถงเทียนอวิ้นที่มองดูพวกเขายิ้ม ๆ มาโดยตลอดก็ลุกขึ้น ผู้เฒ่าผู้นี้มองเฟิ่งเหนียงจื่อและเหลยตงชิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยกับโม่เทียนเกอยิ้ม ๆ ว่า “เมื่อครู่ตอนที่สหายเต๋าชิงเวยเข้ามา เหล่าฟูรู้สึกว่าจิตหยั่งรู้ของสหายเต๋าคล้ายกับจะเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับเดียวกัน มิสู้ให้เหล่าฟูกับสหายเต๋าชิงเวยลองต่อสู้จิตหยั่งรู้กันดูเป็นไร”

“สหายเต๋าถง!” เฟิ่งเหนียงจื่อและเหลยตงชิงล้วนร้องโพล่งออกมาอย่างตะลึง

การต่อสู้จิตหยั่งรู้ที่ว่ากันมีเพียงผู้ฝึกตนที่จิตหยั่งรู้แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งจึงจะสามารถกระทำได้ ว่ากันโดยทั่วไปมีเพียงจิตหยั่งรู้ที่ก่อเกิดตานแล้วจึงสามารถไปถึงระดับชั้นนี้ จิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งเพียงพอสามารถจะลอกเลียนวิชาเวทของผู้ฝึกตน วิชาเวทที่ลอกเลียนออกมานี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความแข็งแกร่งอ่อนแอของความสามารถต่อสู้ของตนเอง ดังนั้นในระหว่างผู้ฝึกตนถ้าหากไม่ต้องการปะทะดาบกระบี่กันตรง ๆ ก็สามารถใช้จิตหยั่งรู้ต่อสู้กันทางอ้อม เช่นนี้จะสามารถเปรียบเทียบความแข็งแกร่งอ่อนแอออกมาได้ แต่การต่อสู้จิตหยั่งรู้นี้ก็จะก่อความเสียหายให้กับจิตหยั่งรู้ โดยเฉพาะผู้ที่จิตหยั่งรู้อ่อนยิ่งเป็นเช่นนั้น

โม่เทียนเกอเห็นสีหน้าของพวกเขาคล้ายกับประหลาดใจมากก็คาดเดาอยู่ในใจว่าถงเทียนอวิ้นผู้นี้เป็นไปได้ว่าจิตหยั่งรู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด เงยหน้ามองฉินซีกลับเห็นเขาแอบพยักหน้า จึงยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าถง ข้าเพิ่งก่อเกิดตาน ยังต้องขอให้ท่านจี้ถึงแล้วยั้งมือ”

คำพูดนี้กลับเป็นการตอบรับตรง ๆ แล้ว พรตเต๋าคูมู่ปรบมือเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “สหายเต๋าชิงเวยผู้นี้ถึงจะอายุยังน้อยแต่กลับขวัญกล้าเกินคน มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ เมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ให้พรตเฒ่า* มาเป็นคนกลางเล่า”

ฉินซีเอ่ยว่า “สหายเต๋าคูมู่พูดเช่นนี้ดีที่สุด”

ถงเทียนอวิ้นก็เอ่ยว่า “มีสหายเต๋าคูมู่ตัดสินย่อมเป็นการดี”

การต่อสู้จิตหยั่งรู้ที่ว่ากันไม่ต้องใช้พื้นที่ใหญ่โตมากเลย แม้แต่ห้องข้างเล็ก ๆ นี้ก็สามารถใช้ได้ แต่ว่าที่นี่จะอย่างไรก็เป็นร้านอาหาร ไม่เพียงมีปุถุชนมากมาย แม้แต่ผู้ฝึกตนก็เป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำเป็นหลัก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมิใช่ผู้ที่จะสามารถพบเห็นโดยทั่วไป ที่เมืองคุนจงนี้เกรงว่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเกินกว่าครึ่งล้วนอยู่ในห้องนี้แล้ว

โม่เทียนเกอนึกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนสถานที่ ใครจะรู้ว่าพรตเต๋าคูมู่กลับหยิบจอกสุรากระเบื้องเคลือบคว่ำใบหนึ่งออกมาปรือตาลงครึ่งหนึ่ง ในปากพึมพำท่องคาถา ผ่านไปพักหนึ่งก็ตะโกนออกมาคำหนึ่งว่า “ไป!” จอกสุรานี้จู่ ๆ ก็ส่องแสงเจิดจ้า ขยายขนาดขึ้นทันใด ครอบทับห้องครึ่งหนึ่งเอาไว้ภายใน

โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง กระเบื้องเคลือบเป็นสีใส พวกเขาห้าคนอยู่ในจอกสุรานี้สามารถมองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน

พรตเต๋าคู่มู่หัวเราะฮี่ ๆ “ทั้งสองท่านเชิญเถิด แต่ระวังอุบัติเหตุด้วย จอกครอบฟ้าของข้านี้แม้เป็นอาวุธเวท แต่รับการโจมตีสุดกำลังของทั้งสองท่านมิได้”

ถงเทียนอวิ้นลูบเครายิ้มแย้ม “สหายเต๋าคูมู่ถ่อมตัวไปแล้ว แปดสิบปีก่อน หากมิใช่จอกครอบฟ้าอันนี้ของสหายเต๋า พวกเราไม่แน่ว่าจะฝังร่างอยู่ในภูเขามารตอนนั้นไปแล้ว”

พอได้ฟังคำพูดนี้โม่เทียนเกอก็จิตใจสั่นไหว แปดสิบปีก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยไปเยือนภูเขามารแล้วหรือ

ไม่ทันพูดอะไร ถงเทียนอวิ้นกล่าวขึ้นมาแล้วว่า “สหายเต๋าชิงเวย พวกเราเริ่มกันเลยเป็นอย่างไร”

โม่เทียนเกอได้แต่ปล่อยวางเรื่องเมื่อครู่นี้ลงไปก่อน พยักหน้ากล่าวว่า “ดี สหายเต๋าถง เชิญ”

ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากันอยู่ตรงกึ่งกลาง อีกสี่คนที่เหลือขยับเว้นที่ว่างให้พวกเขา

ถงเทียนอวิ้นและโม่เทียนเกอหลับตาลงในเวลาเดียวกันและปรับลมหายใจ

พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อย ระหว่างทั้งสองคนเกิดลมสายหนึ่งพัดผ่านช้า ๆ พัดจนเสื้อผ้าทรงผมพริ้วขึ้น จากนั้นลมนี้ยิ่งมายิ่งกล้าแข็ง ค่อย ๆ ปกคลุมคนทั้งสองจนแทบจะมองไม่เห็นร่างของพวกเขาอย่างชัดเจน

พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เหลยตงชิงร้อง “หืม” ขึ้นมาคำหนึ่ง เอ่ยอย่างตื่นตะลึงอยู่บ้างว่า “ฉินโส่วจิ้ง ซือเม่ยผู้นี้ของท่านเพิ่งจะก่อเกิดตาน จิตหยั่งรู้ถึงกับสามารถสร้างลมได้แล้วหรือ”

จิตหยั่งรู้สร้างลมดูเหมือนเรียบง่าย แต่ความจริงไม่ง่ายเลย มีเพียงจิตหยั่งรู้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจึงจะสามารถก่อเกิดลม เหตการณ์ตรงหน้านี้ไม่รู้ว่าจิตหยั่งรู้ของทั้งสองคนปะทะกันกี่ครั้งแล้วจึงเกิดผลลัพธ์เช่นนี้

ฉินซีเอ่ยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าถึงนางจะเพิ่งก่อเกิดตาน การป้องกันตัวกลับไม่มีปัญหาอะไรเลย” หลายปีนี้ถึงเขาจะไม่ได้พบหน้านางมาตลอด แต่เรื่องราวของนาง ตนเองมีซือฟุบอกเล่า อาวุธเวทหลายชิ้นในมือนางมองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของทั่วไป ส่วนศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเดิมก็เป็นสิ่งที่ซือฟุส่งต่อให้เสวียนอินซือเกอ เขาย่อมมีความมั่นใจ

ลมในพื้นที่ยิ่งมายิ่งกล้าแข็ง ได้ยินเพียงเสียงแขนเสื้อของทุกคนกระพืออย่างรุนแรง ไม่เพียงโม่เทียนเกอและถงเทียนอวิ้น แม้แต่พวกเขาเหล่าคนมุงดูก็ค่อย ๆ มีสีหน้าเคร่งขรึม

“เก๊ง!” จู่ ๆ จอกครอบฟ้าก็ส่งเสียงดังหนึ่งครั้ง พวกเขาเหล่าคนที่ถูกกักอยู่ในจอกรู้สึกถึงลมที่เป็นดั่งคมมีด ต่างคนต่างใช้ม่านพลังวิญญาณต่อต้านลมแรงสายนี้ ถึงแม้พวกเขาต่างมีกลเม็ดของตนเอง แต่สองคนที่อยู่ในการต่อสู้จิตหยั่งรู้ไม่สามารถไปรบกวนได้เด็ดขาด ดังนั้นได้แต่ใช้พลังวิญญาณเป็นม่านต่อต้าน

มีเสียงครั้งที่หนึ่ง จอกครอบฟ้าส่งเสียงดังครั้งที่สองที่สามออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียงแต่ละเสียงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คูมู่ขมวดคิ้ว มองมองไปทางโม่เทียนเกอด้วยใบหน้าตื่นตะลึงอย่างยิ่งยวด

สามารถทำให้จอกครอบฟ้าของเขาส่งเสียงดังออกมาเช่นนี้ เป็นที่รู้ได้ว่าการต่อสู้จิตหยั่งรู้ของพวกเขาค่อนข้างรุนแรงเลยทีเดียว และความแข็งแกร่งของจิตหยั่งรู้ของถงเทียนอวิ้นเขาก็ทราบอยู่ กูเหนียงน้อยนางนี้เพิ่งจะก่อเกิดตาน ดูแล้วก็ไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ถึงกับมีจิตหยั่งรู้เช่นนี้หรือ

ผนังภายในของจอกครอบฟ้าจู่ ๆ ก็คล้ายกับเป็นประทัด ส่งเสียงระเบิด “เพี๊ยะ ๆ” ต่อเนื่องเป็นชุด ลมแรงโดยรอบหยุดลงกะทันหัน ในที่สุดก็มองเห็นร่างของทั้งสองคนแล้ว

เงยหน้ามองกลับเห็นใบหน้าโม่เทียนเกอปรากฏความเจ็บปวด ดวงตายังไม่ลืมขึ้น มุมปากกลับมีโลหิตไหลออกมาเป็นสาย

“เทียนเกอ!” ฉินซีขมวดคิ้ว เร่งเท้าไปข้างหน้า ยกมือของนางขึ้นจับชีพจรปราณของนาง ผ่านไปพักหนึ่งจึงได้ถอนหายใจโล่งอกแล้วปล่อยออก

สีหน้าของถงเทียนอวิ้นที่ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ได้ดูดีนัก ลืมตาขึ้นช้า ๆ สายตามองโม่เทียนเกออย่างลึกซึ้ง

ผ่านไปพักหนึ่งโม่เทียนเกอจึงปรับลมหายใจได้ ปาดเช็ดเลือดตรงมุมปาก ยิ้มคำนับให้ถงเทียนอวิ้น “ยอมรับความพ่ายแพ้”

ถงเทียนอวิ้นกลับส่ายหน้า “สหายเต๋าชิงเวยมิต้องถ่อมตัวเยี่ยงนี้ เหล่าฟูติดอยู่ที่ก่อเกิดตานขั้นกลางมาสามร้อยปี ถึงจะไม่สามารถเลื่อนระดับมาโดยตลอด ในหมู่ผู้ฝึกตนร่วมระดับกลับมีคู่มือน้อย สหายเต๋าเพียงเริ่มก่อเกิดตาน จิตหยั่งรู้ยังแข็งแกร่งเช่นนี้ หาได้ยากยิ่งนักแล้ว”

การต่อสู้นี้ย่อมเป็นถงเทียนอวิ๋นชนะ แต่โม่เทียนเกอแพ้ก็ไม่ได้แพ้อย่างน่าเกลียด

สายตาพรตเต๋าคูมู่กลอกไปมาระหว่างทั้งสองคน ยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าชิงเวย การแข่งขันนี้ไม่ได้เพื่อหาผลแพ้ชนะ ในเมื่อสหายเต๋าถงพูดแบบนี้แปลว่าสหายเต๋ามีความสามารถเพียงพอที่จะร่วมทางกับพวกเราแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อตกลงกับสหายเต๋าโส่วจิ้งก็ย่อมมีผล เริ่มตั้งแต่ตอนนี้สหายเต๋าเป็นสหายร่วมทางของพวกเราแล้ว”

………………………………

*พรตเฒ่าในที่นี้คือคำเรียกตัวเอง 老道 แปลตรง ๆ น่าจะเต๋าเฒ่า/เต๋าชรา ตอนแรกจะใช้ทับศัพท์ แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ทับศัพท์เยอะไปแล้ว อะไรที่พอจะแปลได้แบบตรง ๆ ก็เลยอยากแปล

ตอนที่ 264 – เดินไปดู