บทที่ 5 ขี้ขลาดอ่อนแอ

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 5 ขี้ขลาดอ่อนแอ
เฟิ่งชิงหัวลงจากเตียงและเขยิบเข้าไปใกล้งูสองตัวนั้น แม้จะพบว่างูสองตัวนั้นเป็นงูพิษธรรมดาก็ตาม แต่บนเขี้ยวที่แหลมคมของพวกมันถูกฉาบไว้ด้วยพิษร้ายแรง ถ้าถูกกัดคงถึงแก่ชีวิต ไม่มีแม้แต่เวลาให้รู้ตัวด้วยซ้ำ
ใครกันแน่ ที่ไม่ชอบนางถึงขั้นนี้ เข้ามาอยู่ในจวนได้ไม่ถึงหนึ่งวันก็อยากจะให้นางตายซะแล้ว
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่นานและตัดอ๋องเจ็ดจ้านเป่ยเซียวออกไป เขาดูหยิ่งยโสมาก ถ้าอยากจะฆ่านางก็แค่สั่งการลงไป ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้เลย
เมื่อคิดเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวจึงหิ้วงูที่น่ารักสองตัวนี้เดินออกไปข้างนอก
จวนอ๋อง ห้องหนังสือ
บนโต๊ะหนังสือมีไข่มุกราตรีสองเม็ดถูกคลุมไว้ด้วยผ้าบางหนึ่งชั้น มีแสงอ่อนๆอบอุ่นสาดส่องไปทั่วห้อง ทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของชายหนุ่มอ่อนโยนลง เพียงแต่สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาหยิ่งยโส
มือใหญ่ที่เห็นข้อต่อกระดูกอย่างชัดเจนกำลังเคาะโต๊ะ ที่วางอยู่ใต้นิ้วเรียว คือข้อมูลเกี่ยวกับคุณหนูรองแห่งจวนเฉิงเซี่ยงหนางกงเยว่ลั่ว ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่แค่กระดาษแผ่นเดียวก็สามารถบันทึกเรื่องทั้งหมดได้แล้ว
และในขณะนี้เอง นอกประตูมีเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายพร้อมกับเสียงคำรามอีกหลายเสียงดังขึ้น
ประตูถูกร่างขององครักษ์สองคนกระแทกจนเปิดออก ที่ยืนอยู่นอกประตูคือเฟิ่งชิงหัวที่ยังไม่เปลี่ยนชุดแต่งงาน
แม้จะทำเรื่องที่กำเริบเสิบสานเช่นนี้ แต่ใบหน้าของหญิงสาวก็ยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นเคลือบอยู่
ไม่รอให้จ้านเป่ยเซียวไต่ถาม เฟิ่งชิวหัวก็ได้หิ้วงูสองตัวนั้นเดินไปตรงหน้าเขา ส่ายสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วนั้นไปมาพร้อมพูดว่า “ท่านอ๋องช่างใจดำจริงๆ ต่างว่ากันว่าเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วความรู้สึกลึกซึ้งจะคงอยู่ยาวนาน ระหว่างพวกเราอย่างน้อยก็นับว่ามีเรื่องบุญคุณบ้าง คิดไม่ถึงว่าการที่ท่านอ๋องตอบตกลงต่อหน้า แต่ลับหลังกลับใช้งูสองตัวที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่แท้จริงแล้วกลับฉาบยาพิษร้ายแรงเพื่อจะทำร้ายข้าให้ตาย ท่านอ๋องช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”
จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่หลังโต๊ะ แผ่นหลังตั้งตรง สายตาแฝงแววรู้ทัน ทำให้ไม่กล้าสบตาโดยตรง
ได้ยินเพียงเสียงไม่พอใจของเขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะฆ่าเจ้ายังต้องใช้ของพวกนี้ด้วยหรือ จะลองดูหรือไม่”
ลองอะไร ลองฆ่านางอย่างนั้นหรือ
นางว่าแล้วว่าสมองต้องมีปัญหาแน่
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สนใจปัญหานี้จนกัดไม่ปล่อย แต่ได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง แม้จะไม่ใช่ฝีมือท่าน เช่นนั้นก็คงต้องเป็นคนในจวนของท่าน อย่างน้อยหม่อมฉันก็เป็นพระชายาของท่าน ท่านจะปล่อยให้คนอื่นมารังแกข้าเช่นนี้อย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่มีหน้าที่มาคอยปกป้องเจ้า”
เลือดเย็นและเด็ดขาด ไร้ซึ่งน้ำใจ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เฟิ่งชิงหัวได้รับรู้
เฟิ่งชิงหัวพูดยิ้มๆว่า “ไหนเลยจะกล้าให้ท่านอ๋องมาช่วยเหลือด้วยตนเองเล่า ท่านอ๋องก็แค่ทำเหมือนไม่สนใจก็พอ”
“เจ้าจะทำอย่างไร”
“ก็ย่อมต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน คืนสนองเป็นสิบเท่า”เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างง่ายดาย แต่น้ำหนักในน้ำเสียงนั้น มีแค่นางเท่านั้นที่รู้ดี
ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นของจ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัวอย่างวิเคราะห์ กวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้รู้สึกหนาวจนตัวสั่น
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ทำให้รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องหนังสือก็ลดลงไปด้วย โดยเฉพาะองครักษ์สองคนที่ไม่สามารถขวางเฟิ่งชิงหัวไว้ได้ซ้ำยังถูกนางเตะเข้ามาอีก คุกเข่าอยู่และใช้ศีรษะแนบไปกับพื้นไม่กล้าเคลื่อนไหว
นิสัยของท่านอ๋อง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าองครักษ์อย่างพวกเขาแล้ว โดยเฉพาะหลังได้รับบาดเจ็บแล้วอารมณ์ก็แปรปรวนไม่ปกติ ผู้หญิงคนนี้ ต้องการจะทำให้พวกเขาตายจริงๆ
แต่แล้ว เวลาต่อมา บรรยากาศกดดันก็หายไปจนหมด จ้านเป่ยเซียวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “แล้วแต่เจ้า”
ขณะนี้ องครักษ์ทั้งสองคนต่างก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ท่านนาย เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ ต้องบอกว่า คนที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับหนานกงเยว่ลั่วนั้นคือ……
เฟิ่งชิงหัวยิ้มพลางประสานมือขึ้นมาคำนับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องขอบคุณท่านอ๋องมาก ดึกมากแล้ว หม่อมฉันขอตัว ออ ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าของใช้ส่วนตัวของหม่อมฉัน……”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ แต่ไม่มีแววคับแค้นใจเลยสักนิด ราวกับว่ากำลังปรึกษากันในเรื่องทั่วไปเท่านั้น
เพียงแต่จ้านเป่ยเซียวที่ตอบตกลงในเรื่องที่สำคัญกว่านี้ได้ ย่อมไม่มีทางไม่ตอบตกลงในเรื่องเล็กๆเช่นนี้ โบกมือไล่ให้นางออกไปทันที
เฟิ่งชิงหัวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ตอนที่เดินออกไปยังทักทายองครักษ์ทั้งสองคนที่คำนับอยู่กับพื้นอย่างอารมณ์ดีว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นมาเถอะ สามารถรับกระบวนท่าของข้าได้สิบท่า อนาคตไม่เลว”
คำพูดนี้เดิมทีเป็นการชื่นชม แต่เมื่อทั้งสองคนได้ยินกลับรู้สึกเหมือนลูกศรที่ปักเข้ากลางอก
เป็นถึงองครักษ์ชั้นหนึ่งในจวนอ๋อง ทั้งสองคนสามารถรับกระบวนท่าต่อสู้ของหญิงสาวโดยพร้อมเพรียงกันได้เพียงสิบท่า ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายเสียจริง
เฟิ่งชิงหัวมองดูงูที่อยู่ในมือ โยนไปตรงหน้าขององครักษ์ทั้งสองคน “นี่ แม้ว่าเขี้ยวของงูสองตัวนี้จะมีพิษอยู่ แต่ว่าในตัวมันไร้พิษ พวกเจ้าสองคนแบ่งกันคนละตัวไปตุ๋นน้ำแกงบำรุงซะ ถือว่าเป็นการชดเชยที่ถูกเตะไปสองครั้งเมื่อครู่นี้”
เมื่อเงาร่างนั้นพ้นจากประตูไปแล้ว ผลก็เป็นอย่างที่คิด เสียงเย็นชาของจ้านเป่ยเซียวก็ดังขึ้นมาทันที “ไปรับโทษที่ห้องทำโทษ”
“พ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองรู้สึกกลัวมาก โค้งคำนับพร้อมตอบรับ ก่อนจะจากไปยังไม่ลืมเอางูทั้งสองตัวที่ตายแล้วติดมือไปด้วย
กระทั่งในห้องเหลือแค่จ้านเป่ยเซียวเพียงคนเดียวแล้ว สายตาของเขาก็มองไปยังกระดาษที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
หนานกงเยว่ลั่ว อายุสิบหกปี ลูกสาวคนรองกับภรรยาเอกของหนานกงจี๋ นิสัยอ่อนแอ ไม่ความสามารถและคุณธรรม
กล้าทำลายประตูจวนอ๋อง และยังกล้าท้าทายคนที่ลอบทำร้ายนางเป็นคนอ่อนแอจริงหรือ