“…เราแสดงด้านที่ไม่น่ามองออกมาเสียแล้ว”

“ม- ไม่หรอกค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ เป็นเพราะคำถามของฉันไม่ดีเอง”

 

บรรยากาศในห้องของท่านจอมมารกลับมาสู่สภาพตามปกติ…อา เกือบปกติอีกครั้ง เพราะพี่ชายหูสัตว์ที่หัวเราะออกมาเมื่อกี้ถูกท่านจอมมารซัดกระเด็นจนลอยหายไปแล้ว ตอนนี้ในห้องเลยเหลือผู้บริหารแค่ 9 คน ก็…ถ้าไม่นับเรื่องนี้ บรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติแล้วล่ะนะ

 

“…เช่นนั้น เจ้ายังมีคำถามอื่นอีกหรือเปล่า?”

“อ๊ะ! ค่ะ! งั้น… กองทัพจอมมารวางแผนจะทำอะไรต่อในอนาคตเหรอคะ?”

 

ฉันต้องถามคำถามนี้ ท่านอิซึสึบอกว่าท่านจะกระตุ้นให้กองทัพจอมมารเปลี่ยนทิศทางไปโจมตีพวกมนุษย์แทน แต่ฉันไม่รู้ว่าท่านจอมมารจะเห็นด้วยกับเรื่องนั้นหรือเปล่า?

ถ้าท่านยังคงทำศึกตั้งรับอย่างที่ทำอยู่ล่ะก็ ฉันก็คงต้องขอยกเลิกการเข้าร่วมกับกองทัพไปล่ะนะ

ตรงข้ามกับสิ่งที่ฉันคิด ท่านจอมมารตอบฉันกลับมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

 

“อ้อ… นั่นเองเหรอ ท่านอิซึสึมอบเทพพยากรณ์ให้เราทำลายล้างมนุษยชาติเสีย และเราก็จะทำตามนั้นเช่นกัน ตัวเราเองก็เริ่มหมดความอดทนกับพวกมนุษย์แล้ว ช่วงเวลาจึงพอเหมาะพอดี”

“เยี่ยมไปเลยค่ะ! ดีเลย… ”

“ก็ เรารู้ถึงสิ่งที่เจ้าต้องการนะ และเราก็รู้เรื่องเกี่ยวกับ ‘ผู้กล้า’ แล้ว ผู้บริหารทุกคนก็ได้รับรู้แล้วเช่นกัน แน่นอน เราจะหารือกับเจ้าด้วยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง”

 

ท่านทราบเรื่องของผู้กล้าด้วย? ‘ผู้กล้า’ ศัตรูตามธรรมชาติของเผ่ามารที่มีความสามารถสูงและได้เปรียบต่อคุณสมบัติธาตุชั่วร้าย แต่ยังไงก็ตาม ผู้กล้ารุ่นปัจจุบันกลับเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่น่าสงสารที่กำลังถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธมีชีวิต เพื่อให้พวกมันสามารถใช้ประโยชน์จากพลังนั่นแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

มนุษย์เพียงคนเดียวที่ฉันพยายามจะช่วยเหลือ แต่ก็ แน่ล่ะนะ ถ้าเกิดเจ้านั่นพยายามจะทำอะไรที่ขัดกับจุดมุ่งหมายของฉันล่ะก็ ฉันจะฆ่ามันทิ้งอย่างไม่ลังเลเลย

 

“ยังมีคำถามอะไรอีกหรือไม่? หากไม่มีแล้ว เราจะให้เทียน่าพาเจ้าไปดูห้องพักของเจ้า”

“…ยังค่ะ มีอีกข้อนึง”

 

ตอนแรก ฉันมีคำถามแค่ข้อเดียว ก็คือคำถามเมื่อสักครู่นี้ ฉันอยากจะถามเกี่ยวกับ ‘นโยบายในอนาคตของกองทัพจอมมาร’ แต่พอฉันเข้ามาในห้องนี้ ก็มีคำถามผุดขึ้นมาอีก 2 ข้อ

ข้อนึงก็…เออ…ก็เรื่องโลลินั่นแหละ ส่วนอีกข้อนึงก็…

 

“…ท่านจอมมารคะ [เผ่าพันธุ์] ของท่านคือเผ่าอะไรเหรอคะ?”

“…โห เรารู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าจะต้องสังเกตได้”

 

ทันทีที่ฉันเห็นท่านจอมมาร ฉันรู้เลยว่า ‘ใช่แน่นอน’

ฉันคือ [เจ้าหญิงแวมไพร์] ในตอนนี้ที่ [แวมไพร์ลอร์ด] ได้ตายไปแล้ว ฉันจึงเป็นคนเดียวที่จะทำหน้าที่รวบรวมเผ่าพันธุ์แวมไพร์กลับมาอีกครั้ง

จึงไม่มีทางที่ฉันจะมองพลาดแน่นอน ใช่…คนคนนี้จะต้องเป็น…

 

“เป็นดังที่เจ้าคาด… ตัวเราเองก็เป็นเหมือนเจ้า เป็น [แวมไพร์] ยังไงล่ะ”

 

“แวมไพร์ ครั้งหนึ่งเคยถูกกล่าวขานกันว่าเป็นผู้ครอบครองยามค่ำคืน เผ่าพันธุ์นักสู้ผู้ได้รับความรักจากยามราตรีและได้รับการคุ้มครองจากแสงจันทร์… และเพิ่งถูกกวาดล้างไปโดยพวกมนุษย์ที่เมื่อไม่นานนี่ จนเหลืออยู่เพียง 2 คนเท่านั้น นั่นคือ… เจ้า… และตัวเรา”

“…ดวงตาสีแดงฉานกับฟันคู่นั่น… ไม่สิ ต่อให้ไม่มีสิ่งเหล่านั้น ฉันก็ยังสัมผัสได้อยู่ค่ะ”

“เพราะเจ้าเป็น [เจ้าหญิงแวมไพร์] และแข็งแกร่งพอจะรับรู้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ได้สินะ… ใช่มั้ยเอ่ย องค์หญิง?”

“… ได้โปรดอย่าเรียกฉันแบบนั้นเลยนะคะ”

 

ไม่สิ ก็จริงที่ถ้าดูจากราชวงศ์ของแวมไพร์แล้ว ฉันอาจจะอยู่เหนือกว่าท่านจอมมารในแง่ของเผ่าพันธุ์ก็ได้!

 

“ขอบอกให้เจ้าได้รู้เสียก่อนแล้วกัน เราคือ [ต้นตระกูล] ซึ่งอยู่สูงกว่าราชาของเผ่าพันธุ์เสียอีกนะ”

 

ฮะฮะฮะ ก็อย่างที่ฉันคิดล่ะนะ

[ต้นตระกูล] เป็นระดับที่สูงที่สุดของเผ่าแวมไพร์ เหนือยิ่งกว่า [แวมไพร์ลอร์ด] ซะอีก

เคยเป็นที่เล่าขานกันว่า มีแวมไพร์เพียงคนเดียวเท่านั้นในรอบหลายพันปีที่จะไปถึงระดับนั้นได้ สุดยอดตัวตนที่หาได้ยาก แถมยังมีพลังมหาศาลคู่ควรกับการเป็น [ต้นตระกูล] ของเหล่าแวมไพร์เลย ราวกับว่าเป็นพระเจ้าที่มีชีวิตของพวกเราเหล่าแวมไพร์ยังไงยังงั้น

แต่… ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเผ่าพันธุ์ของตัวเองที่นี่ แถมยังเป็นเผ่าเดียวกันในระดับที่สูงกว่าอีกต่างหาก

ตอนแรก ฉันนึกว่าจอมมารจะมาจากเผ่ามนุษย์มารหรือเผ่าปีศาจซะอีก

 

“…อืม ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะคะ ที่ยังมีเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของฉันอยู่ที่นี่… พูดตามตรง ฉันนึกว่าพวกเราจะสูญสิ้นไปหมด เหลือแค่ฉันคนเดียวแล้ว”

“เราเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เราเสียใจมากเมื่อได้ข่าวจากพวกทหารของเราว่าเผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้ถูกทำลายสิ้น… แต่ท่านอิซึสึก็ได้บอกกับเราเกี่ยวกับการมีอยู่ของเจ้า… เราเองก็ยินดีเช่นกัน”

 

พูดแบบนั้นแล้ว ท่านจอมมารก็ลุกขึ้นและค่อยๆ เดินเข้ามาหาฉัน พอมายืนตรงหน้าของฉันแล้ว…

ท่านก็เข้ามากอดฉัน

 

“ขอบใจมากที่เจ้ายังมีชีวิตรอดอยู่นะ”

 

ด้วยพลังของจอมมาร ฉันมั่นใจว่าท่านคงเผลอรัดฉันจนตายได้เลยถ้าหากใช้แรงมากกว่านี้ไปนิดเดียว

ฉันเริ่มถึงขีดจำกัดแล้ว… ตอนนี้ อย่างน้อย ฉันก็รู้สึกถึงแรงที่กอดจากท่านจอมมารและความอบอุ่นจากร่างกายของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของฉัน…  

 

“…ค่ะ ฉันก็… ขอบคุณที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เช่นกันค่ะ…”

 

ฉันตอบกลับไป พลางพยายามกลั้นน้ำตาที่เกือบจะล้นออกมาอยู่แล้วเอาไว้ ไม่ให้ไหลออกมา

 

“…เอาล่ะ! เช่นนั้นแล้ว ตอนนี้หมดคำถามหรือยังเอ่ย?”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ท่านจอมมาร จากนี้ไป ฉันจะพยายามฝึกอย่างเต็มที่ มั่นศึกษาอย่างสุดกำลัง แล้ววันนึง ฉันจะทำลายล้างพวกมนุษย์จนสิ้นซากให้ได้ค่ะ”

“ดีแล้ว ดีแล้ว นั่นล่ะสปิริต แล้วพบกันใหม่ในเร็วๆ นี้… เทียน่า นำทางให้เธอไปได้เลย”

“ค่ะ ตามมาได้เลยนะคะ ท่านลีน ทางนี้เลยค่ะ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ งั้น ขอตัวก่อนนะคะ ท่านจอมมาร”

“จ้า”

 

ฉันเตรียมใจให้พร้อมอีกครั้ง ฉันจะทำลายล้างมนุษยชาติให้ได้ เพื่อเผ่ามาร เพื่อล้างแค้นให้เพื่อนพ้องของฉัน และก็… เพื่อท่านจอมมารด้วย

เรื่องที่ว่าทำไมท่านถึงออกจากหมู่บ้านมา หรือทำไมท่านถึงมาเป็นจอมมารได้ ฉันก็ยังไม่รู้หรอก วันนึง ท่านอาจจะเล่าให้ฉันฟังก็ได้มั้ง แต่ว่าตอนนี้ ฉันก็ยังไม่รู้อะไรเลยล่ะนะ

แต่ที่ฉันรู้คือ ท่านจอมมารรักเผ่าแวมไพร์แน่นอน และท่านก็เคียดแค้นเผ่ามนุษย์ที่ทำลายล้างเผ่าแวมไพร์ จนเหลือแค่ฉันด้วย แต่ก็นั่นแหละ ฉันเข้าใจว่าราชาของเผ่ามารทั้งมวลคงไม่สามารถออกมาในแนวหน้าได้ง่ายๆ หรอก

เพราะงั้น ในฐานะเครือญาติร่วมเผ่าพันธุ์ ฉันจะกำจัดพวกมนุษย์แทนท่านจอมมารเอง ฉันจะล้างแค้นเผื่อในส่วนของท่านจอมมารด้วย

 

“ล้างคอรอไว้ได้เลย… เจ้าพวกมนุษย์”

“ท่านลีนคะ… สีหน้าท่านดูไม่ได้เลยนะคะตอนนี้”

 

…อย่าเพิ่งขัดอารมณ์กันตอนนี้สิคะ คุณเทียน่า โธ่…

 

หลังจากที่ลีนกับเทียน่าออกไปแล้ว เราก็เรียกตัวเจ้าโง่อารอนที่เราซัดกระเด็นไปกลับมาด้วยเวทพื้นที่ ก่อนจะหารือเกี่ยวกับแผนการในอนาคตกันต่อกับ 9 ผู้บริหารที่เหลืออยู่ นอกเหนือจากเทียน่า

ผลการประชุมคือ เราจะถอนเทียน่าออกจากหน่วยแนวหน้าเป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อให้เธอสามารถช่วยฝึกให้ลีนได้อย่างเต็มที่ พรสวรรค์ของลีนนั้นสูงในระดับท็อป 5 ของกองทัพจอมมารได้อย่างแน่นอน แม้เราจะขาดกำลังของผู้บริหารไปคนนึงไปชั่วคราวเพื่อฝึกฝนว่าที่ผู้บริหารในอนาคตก็ตาม แต่เมื่อมองในระยะยาว แล้ว ผลที่เราได้กลับมาจะต้องคุ้มค่ากว่าไม่ผิดแน่

 

“…แต่แบบนี้จะดีเหรอครับ ท่านจอมมาร?”

“…หมายความว่าอะไรหรือ?”

 

คนที่ถามคำถามแปลกๆ ขึ้นมานั้นก็คือ อารอน บีสต์ลอร์ด ราชาของเผ่ามนุษย์สัตว์ คนที่ถูกเราซัดกระเด็นไปนั่นแหละ เขาเป็นหนึ่งในหน่วยต่อสู้ระยะประชิดที่เก่งที่สุดในกองทัพเลย

 

“อะไรกัน เจ้าหมายถึงการโจมตีที่เป่าเจ้าลอยไปอย่างนั้นเหรอ? เราไม่คิดว่านั่นจะดีพอหรอกนะ ต้องแรงกว่านั้นอีกซัก-”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ท่านก็รู้ว่าข้าหมายถึงเรื่องอะไร?

.

.

.

…นั่นหลานของท่านนะครับ เด็กสาวเมื่อครู่นี้ ท่านจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอครับ?”

 

ลีน บลัดลอร์ด ทั้งที่เพิ่งจะ 5 ขวบ กลับสามารถสังหารมนุษย์ที่อยู่ในบ้านเกิดของเธอได้ถึง 21 คน นั่นทำให้เธอเป็นอัจฉริยะในการต่อสู้ไม่ผิดแน่

และ…ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลูกสาวเรา มิเนีย อีกด้วย

กล่าวคือ เธอก็คือหลานของเราเอง

…แต่ว่า

 

“…ไม่เป็นไร เราควรจะตายไปที่หมู่บ้านนั้นเสียตั้งนานแล้ว เธอจะสับสนเปล่าๆ หากเราบอกเธอไปตอนนี้”

“…งั้นเหรอครับ? ถ้าเช่นนั้นแล้ว…”

 

…จริงๆ เราอยากจะบอกเจ้าไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ

‘เราคือยายของเจ้าเอง เป็นครอบครัวของเธอไงล่ะ’

แต่ เราทำไม่ได้จริงๆ

 

เรากลัว… ‘ทำไมท่านถึงไม่มาช่วยพวกเราล่ะ?’ หรือ ‘ทำไมท่านไม่ปกป้องคุณแม่เอาไว้ล่ะคะ?’ ความกลัวที่เราจะถูกกล่าวโทษเช่นนั้น…ในตอนนี้ ที่เราทำได้มากที่สุด ก็มีแค่การกอดเธอโดยไม่ปิดบังเผ่าพันธุ์ของเราเท่านั้น

 

(เรานี่ช่าง… ช่างขี้ขลาดไม่ต่างจากเดิมเลย)

 

แม้เราก็ไม่ได้คิดว่าเด็กน้อยที่สดใสคนนั้นจะกล่าวโทษเราก็ตาม เราก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี

เพราะฉะนั้น อย่างน้อย เราจะทำอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนให้เธอแข็งแกร่งและไม่มีทางตายได้ก็แล้วกัน

เราเชื่อว่าอย่างน้อย…นี่คงจะพอจะชดใช้ให้กับความผิดที่เราทิ้งลูกสาวเรา มิเนีย ไว้ที่หมู่บ้านนั้นนะ

 

“…เจ้าพวกมนุษย์ บาปที่พวกเจ้าฆ่าลูกสาวเรา ลูกเขยเรา และทำให้หลานสาวเราต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น พวกแกจะได้ชดใช้บาปนั้นอย่างสาสมแน่นอน”

“ท่านจอมมารครับ… สีหน้าท่านดูไม่ได้เลยนะครับตอนนี้”

 

อารอนพูดอะไรไม่เข้าท่าอีกจนได้ ดูท่าคงต้องให้ได้สัมผัสกับกำปั้นของเราอีกซักครั้งนึงเสียแล้วสิ