ตอนที่ 10 การขอโทษของเสวียนหย่า

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“เมื่อครู่นี้ข้าล่วงเกินศิษย์พี่ให้ขุ่นเคืองใจ ขอศิษย์พี่โปรดใจกว้างให้อภัยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่ที่ด้านหน้าของปากน้ำเต้ายักษ์ด้วยใบหน้านิ่งสงบขณะมองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งกำลังก้มศีรษะลงต่อหน้าเขา แม้จะอยากพร่ำบ่นก่นด่า แต่เขาก็ไม่อาจเอ่ยวาจาได้

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่าสายตาของคนอื่นๆ ที่จับจ้องมาที่เขาไม่ได้เต็มไปด้วยความไม่พอใจดังที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นอกเห็นใจแทนที่

“ฉางโซ่ว” เซียนจิ่วจิ่วกระแอมไอออกมาก่อนจะกล่าวอย่างจริงใจและจริงจังว่า “นี่ต้องเป็นจิตมารแน่ บางทีอาจเป็นผลมาจากการที่เจ้าเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่กับอาจารย์ของเจ้าบนภูเขาลูกนั้นตลอดทั้งปี”

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” หยวนชิงเอ่ยขึ้นมาจากด้านข้างของหลี่ฉางโซ่วพร้อมกับยื่นขวดโอสถมาให้หนึ่งขวดพลางกระซิบว่า “นี่คือโอสถสำหรับชำระล้างจิตใจให้กระจ่างใสและเพิ่มสมาธิมุ่งมั่นขึ้นมาได้ บางทีมันอาจเป็นประโยชน์ที่จะช่วยทำให้อาการของศิษย์พี่ดีขึ้นได้ขอรับ”

“ขอบใจเจ้า ข้าซาบซึ้งใจนัก”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มกระดาก ดูเหมือนว่า หยวนชิงจะเข้าใจในทันทีว่าเกิดอันใดขึ้น จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างชำนาญ

หลี่ฉางโซ่วจึงอาศัยโอกาสนี้สังเกตดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ อีกสองสามคนต่อไป

อวี่เหวินหลิงไม่สนใจเรื่องตลกเล็กๆ นี้ เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ และหลับตาทำสมาธิอย่างสงบนิ่งเต็มที่

หลิวเยี่ยนเอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาที่ฉายแววเห็นอกเห็นใจ

ส่วนหวางฉีก็มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันท่วมท้น

เขากำลังคิดว่า ศิษย์พี่ผู้นี้มีคุณสมบัติในการฝึกฝนธรรมดาและยังอาจตกเป็นเหยื่อของจิตมาร เช่นนั้นในภายหน้าย่อมเป็นการยากที่จะหาคู่บำเพ็ญเต๋าที่จะฝึกฝนร่วมกันภายในสำนักตู้เซียนได้

เป็นเรื่องปกติธรรมดาภายในสำนักตู้เซียนที่จะหาคู่บำเพ็ญเต๋ามาจะฝึกฝนร่วมกัน

หลังจากที่หยวนชิงพูดคุยทักทายไม่กี่คำพอเป็นพิธีแล้ว เขาก็เดินไปที่ด้านหลังน้ำเต้าสุรา จากนั้นหวางฉีก็ริเริ่มที่จะเข้ามาพูดคุยกับหลี่ฉางโซ่ว

หลี่ฉางโซ่วตอบกลับด้วยยิ้มบางอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เอ่ยอันใดมากนัก

เขารู้สึกว่านอกจากหยวนชิงแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันกับเขาที่อุทิศตนเพื่อฝึกบำเพ็ญเต๋ากันอย่างเต็มที่นั้น ถึงจะนับว่าพวกเขา ‘สูงวัย’ แต่ความคิดจิตใจของพวกเขาก็เรียบง่ายไร้เดียงสามากอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ…

ใช่แล้ว พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็น ‘ศิษย์ชั้นยอด’ ในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกบำเพ็ญเพียร จึงไม่มีโอกาสในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากเท่าใดนัก

ในไม่ช้าความวุ่นวายโกลาหลเล็กน้อยนี้ก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ความเงียบสงบก็คืนกลับมาสู่น้ำเต้าสุราอีกครั้ง เวลานี้ทุกคนยังคงนั่งสมาธิ ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วหยิบม้วนตำราไม้ไผ่ขึ้นมาและอ่านมันอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง โดยที่สติอารมณ์ของเขาไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

เซียนจิ่วจิ่วกำลังนั่งขัดสมาธิและกอดอกอยู่ที่ด้านหน้าของน้ำเต้าสุรา นางกำลังจมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดลึกซึ้งเช่นกัน ด้วยกำลังคิดว่าจะช่วยหลี่ฉางโซ่วให้พ้นจากจิตมารของเขาและกลับมาฝึกบำเพ็ญต่อไปอย่างมีความสุขได้อย่างไร

สามารถใช้เสน่ห์สตรีได้หรือไม่ รักษาอาการป่วยด้วยพิษได้หรือไม่

ทันใดนั้นเซียนจิ่วจิ่วก็ก้มหน้าลงมองดูหน้าอกที่พองตัวของนาง จากนั้นเสียงหัวเราะแปลกๆ ก็ระเบิดออกมา

นางคิดจะเสริมสร้างตัวตนใหม่ให้กับหลี่ฉางโซ่ว

ทว่าในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

นี่เป็นเพียงวิธีการที่ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาจารย์อาจิ่วตรวจสอบและค้นพบระดับการฝึกบำเพ็ญและศักยภาพที่แท้จริงของเขา เขาจะต้องใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ตลอดการเดินทางที่เหลือต่อไป

ไม่ว่าจะอย่างไรการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลี่ฉางโซ่ว

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกจากทางด้านหลังของเขา หลี่ฉางโซ่วจึงหันหน้าไปมองและเห็นใบหน้าสำนึกผิดของโหย่วฉินเสวียนหย่า

แม้ว่าหลี่ฉางโซ่วปรารถนาจะกล่าวออกมาจริงๆ ว่า “โปรดรักษาความยับยั้งชั่งใจและความภาคภูมิใจที่สตรีน้ำแข็งควรมีเอาไว้ด้วยเถิด”

ทว่าสุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วโบกมือให้นางเพื่อบอกว่านางไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก แล้วก็หันศีรษะกลับมาอ่านม้วนตำราต่อไป

โหย่วฉินเสวียนหย่าเม้มปากในขณะที่ดวงตาฉายแววสำนึกผิดของนางยังไม่จางหายไปแต่อย่างใด

และด้วยปราณสัมผัสรับรู้ หลี่ฉางโซ่วก็ตรวจจับได้ว่าหยวนชิงผู้ซึ่งกำลังหลับตาอยู่ข้างหลังเขา พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย…

……

สองวันต่อมา

ดินแดนเทวะบูรพาซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ มีประชากรเบาบาง ค่อยๆ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

ตลอดการเดินทางนั้น น้ำเต้าขนาดใหญ่นี้ได้โบยบินไปท่ามกลางหมู่เมฆและหมอก ทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่ได้หยุดพัก ในที่สุดก็พุ่งไปที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือแห่งดินแดนเทวะอุดร

หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ฝึกบำเพ็ญมาตลอดการเดินทาง แต่กลับมุ่งความสนใจไปยังบริเวณพื้นที่เล็กๆ รอบกาย และยังสามารถจับภาพเงาร่างต่างๆ ที่ลอยผ่านท้องฟ้าเป็นครั้งคราว

โชคดีที่พวกเขาไม่พบอุปสรรคใดๆ ระหว่างทางเลย

จิ่วจิ่วเหยียดร่างของนางออกไป และน้ำเต้ายักษ์เริ่มชะลอตัวลงอย่างช้าๆ และบินลงไปที่ภูเขาสูงตระหง่านเบื้องล่าง

เซียนจิ่วจิ่วอ้าปากหาวก่อนจะตะโกนบอกผู้คนที่อยู่เบื้องหลังว่า “ทุกคนจงระวัง พวกเรากำลังจะเข้าสู่เขตชายแดนแล้ว…

พวกเจ้าทั้งหมด จงฟังให้ดี! ดินแดนเทวะอุดรไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัย คราวนี้พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ จงอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อแลกทรัพยากรล้ำค่าและสมุนไพรต่างๆ…

ถัดจากนี้ข้าจะพาเจ้าไปยังจุดเข้าสู่ดินแดนเทวะอุดร จงจำสถานที่นี้เอาไว้ให้ดี หากพวกเจ้าต้องการมาที่ดินแดนเทวะอุดรนี้ด้วยตัวเองในภายหน้า จงอย่าได้บุ่มบ่ามเข้ามาอย่างเด็ดขาด”

เหล่าศิษย์ทั้งห้าต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกัน แล้วประสานมือโค้งคารวะให้เซียนจิ่วจิ่วก่อนจะกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “พวกเราเข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์อา”

“อืม” จิ่วจิ่วพยักหน้าอย่างพอใจ

หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์อา…ดินแดนเทวะอุดรเป็นหนึ่งในสี่ดินแดนหลักไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดถึงมีทางเข้า หรือเป็นเพราะไอพิษที่นี่สามารถกลายเป็นค่ายกลเวทตามธรรมชาติได้หรือเจ้าคะ”

จิ่วจิ่วกระตุกมุมปากและกล่าวอย่างสงบว่า “ผู้ใดจะรู้เล่า พวกเจ้าอธิบายให้นางฟังสิ”

หยวนชิงที่อยู่ทางด้านหลังจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สำหรับผู้บำเพ็ญในขอบเขตคืนกลับอนัตตาที่มีความรู้เกี่ยวกับวัฏจักรแห่งสวรรค์นั้น พวกเขาจะต้านทานไอพิษในดินแดนเทวะอุดรได้ไม่ยากเลย…สิ่งที่ลำบากที่สุดของที่นี่คือแมลงพิษและพืชพิษที่เกิดจากไอพิษ รวมถึงสัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษที่ปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่งซึ่งจะจัดการพวกมันได้ยากมาก”

“ไม่เห็นเกี่ยวกับคำถามเลย”

จิ่วจิ่วกลอกตาแล้วดุหยวนชิง “นางถามว่าเหตุใดถึงมีทางเข้า แล้วเจ้าตอบอันใดกัน”

หยวนชิงยิ้มกระดาก และทำได้เพียงก้มศีรษะประสานมือคารวะเท่านั้น

ทันใดนั้นอวี่เหวินหลิงก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เพราะเผ่าปีศาจ”

“ใช่แล้ว เพราะเผ่าปีศาจ แม่ทัพร่างใหญ่รอบรู้ทีเดียว”

จิ่วจิ่วก้มศีรษะลงควบคุมน้ำเต้าขนาดใหญ่ให้ร่อนลงไปในหุบเขาภายในเขตภูเขา จากนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “มนุษย์ได้รวมตัวกันในดินแดนเทวะทักษิณและปล่อยให้ดินแดนเทวะอุดรเป็นเผ่าพันธุ์จอมเวทและผู้วิเศษ…

ในยุคโบราณ มีปรมาจารย์ปราชญ์สองสามคนตัดขาทั้งสี่ของเต่าดำ[1]ขอบเขตเซียนเทียนออกเพื่อสร้างเป็นเสาสวรรค์ใช้ค้ำจุนท้องฟ้าที่กำลังพังทลายลงมา…เต่าดำโกรธแค้นและไม่พอใจอย่างยิ่ง ดังนั้นมันจึงใช้ร่างกายที่ใหญ่โตและพลังเวทที่ไร้ขอบเขตเพื่อเปลี่ยนเป็นไอพิษในดินแดนเทวะอุดร ซึ่งยังคงอยู่มายาวนาน ไม่อาจสลายไปได้จนถึงทุกวันนี้ และหากพวกเจ้ามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นั่นหาใช่เมฆฝนไม่”

หลายคนมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือพร้อมๆ กัน ในเวลานี้พวกเขากำลังเกือบจะลงไปในภูเขาแล้ว และทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นคลื่นเมฆสีเทาดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

เป็นหมู่เมฆขนาดใหญ่ที่กว้างไกลไร้ขอบเขต

จิ่วจิ่วกล่าวต่อไปว่า “ไอพิษให้กำเนิดแมลงพิษและพืชมีพิษมากมาย ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่กล้าเข้าใกล้ และเมื่อไม่นานมานี้ สถานที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์บุปผาและผลไม้แปลกๆ มากมาย รวมถึงสัตว์ร้ายมีพิษหลายประเภท แม้แต่เซียนเทียนที่มาที่นี่ก็ยังไม่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของดินแดนนี้…

หลังสงครามจอมเวท-ปีศาจ ส่วนที่เหลือของเผ่าจอมเวทก็ถูกเนรเทศให้มาอยู่อย่างอิสระที่นี่ พวกเขาไปที่เขตทางเหนือสุดของดินแดนเทวะอุดร ที่นั่นมีอากาศเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยหิมะ ส่งผลให้มีแมลงและปีศาจไม่มากนัก พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชีวิตรอดที่นั่น แต่ว่ากันว่าพวกเขาก็กำลังใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว ช่างน่าอนาถใจนัก ปีศาจที่เก็บสะสมความเกลียดชังที่ฝังลึกต่อเผ่าพันธุ์จอมเวทรวมถึงปีศาจที่ถูกผู้บำเพ็ญมนุษย์ขับไล่ต่างก็มารวมตัวกันที่ดินแดนเทวะอุดรด้วยเช่นกัน…ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป เขตแดนแคบๆ แห่งนี้ก็แผ่ขยายออกไปหลายหมื่นลี้จากตะวันออกสู่ตะวันตก และกลายเป็นสถานที่หลบภัยที่สำคัญที่สุดของเหล่าปีศาจ”

เมื่อแนะนำมาถึงจุดนี้แล้ว จิ่วจิ่วก็มองสำรวจสีหน้าของเหล่าศิษย์และพบว่า นอกจากหลี่ฉางโซ่วแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนมีท่าทางค่อนข้างตื่นกลัว

ได้ผลไม่เลวแฮะ ดี พวกเขาจะได้พยายามให้หนักขึ้น

จิ่วจิ่วเดาะลิ้นแล้วยิ้มพลางกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ดูเทือกเขารอบๆ ตัวพวกเจ้าสิ รู้หรือไม่ว่ามีปีศาจใหญ่และปีศาจโบราณกี่ตัว พวกมันบางตัวมีพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง และยังชอบกินเหล่าผู้บำเพ็ญมนุษย์เป็นของหวานของพวกมันอีกด้วย”

ทันใดนั้น บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็ยิ่งหวาดผวามากขึ้น แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงพยักหน้าอย่างสงบแล้วก้มหน้าต่อไป

ในที่สุดจิ่วจิ่วก็รู้สึกเบื่อ จึงชี้ไปที่ก้นน้ำเต้าแล้วกล่าวต่อไปอย่างไร้อารมณ์ว่า “เมืองที่อยู่เบื้องล่างพวกเราเป็นหนึ่งในทางเข้าและออกของดินแดนเทวะอุดรที่เหล่ายอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราได้ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสร้างมันขึ้นมา ว่ากันว่าสงครามกับเหล่าปีศาจนั้นได้สงบศึกลงในช่วงหลายพันปีมานี้เช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะเริ่มต้นต่อสู้กันใหม่อีกครั้ง…

เมื่อเข้าไปในเมืองแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปซื้อยันต์ไล่ไอพิษและโอสถขจัดพิษ ความจริงแล้ว พวกเราก็มีสิ่งเหล่านี้ในสำนักของเราเช่นกัน แต่เนื่องจากมีกฎเน่าๆ บางอย่างซึ่งใครบางคนที่ข้าไม่รู้จักกำหนดขึ้นมา ข้าจึงจำต้องปล่อยให้พวกเจ้าไปสัมผัสกับชีวิตของผู้บำเพ็ญอิสระและข้าจะสอนวิธีการซื้อขายแลกเปลี่ยนให้พวกเจ้า…

จงจำไว้ว่าพวกเจ้าไม่สามารถขึ้นบินไปบนท้องฟ้าเหนือเมืองนี้อย่างไม่ระวังได้ มีผู้บำเพ็ญระดับสูงหลายคนคอยเฝ้าดูอยู่ที่นี่ และพวกเขาต้องคอยเฝ้าระวังดูแลผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ และจากนี้ พวกเราก็จะลงจอดที่เนินเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และเดินผ่านเส้นทางบนภูเขาซึ่งห่างจากที่นั่นไปไม่ไกลนัก”

จากนั้นศิษย์ทั้งห้าล้วนประสานมือคารวะและน้อมรับคำสั่งรวมถึงคำเตือนทั้งหมดของจิ่วจิ่วเอาไว้ในใจ

เมืองนี้อยู่ในหุบเขา ทั้งสองด้านของหุบเขานี้ ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาชันและอีกด้านเป็นหน้าผาหินสูงชัน มีถ้ำที่ถูกเจาะลึกเข้าไปบนหน้าผาและหน้าผาหินเหล่านี้ซึ่งมีทางเดินและบันไดอีกด้วย

ทั่วทั้งหุบเขานี้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างประเภทต่างๆ มากมายซึ่งดูไม่เป็นระเบียบเท่าใดนักเมื่อมองจากระยะไกล

มีตำหนักและเจดีย์สูงตระหง่านมากมาย ส่วนใหญ่มีโครงสร้างที่ทำจากไม้และดิน ทั้งเมืองนี้ไม่มีแผนผังใดๆ มีเพียงทางเดินแคบๆ ที่พวกเขาแทบจะไม่อาจผ่านไปได้

และแน่นอนว่า ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่บินไปในท้องฟ้าได้โดยไม่ต้องเดิน

จะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้ว มีผู้บำเพ็ญหลายคนมาที่ดินแดนเทวะอุดร และมีผู้คนมากมายสัญจรผ่านสถานที่นี้ ดังนั้น ผู้บำเพ็ญจำนวนมากจึงตั้งแผงลอยบนยอดอาคารไม้หรือดินของตน จึงสามารถพบสมุนไพรและสมบัติต่างๆ มากมายที่ผลิตในดินแดนเทวะอุดรได้ที่แผงขายของเหล่านี้

และแน่นอนว่า สมุนไพรและสมบัติเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนประทับตราคำว่า ‘พิษ’ เอาไว้

จิ่วจิ่วคุ้นเคยกับพื้นที่นี้แล้ว นางเรียกเมฆขาวออกมาและนำบรรดาศิษย์ทั้งห้ารวมถึงอวี่เหวินหลิง ไปรอบเมือง นางเปรียบเทียบแผงลอยต่างๆ ทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะบอกให้พวกเขานำศิลาวิญญาณออกไปซื้อโอสถและยันต์คุณภาพสูงต่างๆ ในราคาไม่แพง

อืม เหตุใดเจ้าหนูผู้นี้ไม่เคลื่อนไหวใดๆ เลย

จิ่วจิ่วเหลือบมองหลี่ฉางโซ่วซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนาง กำลังไพล่มือไปไว้ทางด้านหลังของเขา นางพลันถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนโยนกระเป๋าเงินข้ามไหล่ของนางไปให้หลี่ฉางโซ่ว

กระเป๋าเงินชนิดนี้เป็นคลังเวทจัดเก็บที่ใช้เก็บสมบัติเวทธรรมดา โดยปกติแล้ว พวกมันถูกใช้เพื่อเก็บศิลาวิญญาณตามจำนวนที่กำหนดแน่นอนเอาไว้

จากนั้นจิ่วจิ่วก็บ่นกระปอดกระแปดออกมาว่า “ข้ารู้ว่าอาจารย์ของเจ้าไม่มีอะไรให้เจ้ามากนัก ข้าก็ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงอยากปกป้องยอดเขาหยกน้อยแห่งนั้นมากนัก……

เจ้าต้องเตรียมโอสถขจัดพิษและยันต์ไล่ไอพิษ รีบไปซื้อเสีย อย่ามัวต้วมเตี้ยม รีบไปจัดการเร็วเข้า”

“เอ่อ” หลี่ฉางโซ่วชะงักงัน เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านอาจารย์อาผู้ไม่ชอบแต่งตัวที่อยู่ต่อหน้าเขา และเผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนออกมาทันที

โดยปกติแล้วรอยยิ้มเช่นนี้จะมีเพียงอาจารย์และศิษย์น้องหญิงของเขาจะได้เห็นเท่านั้น

เขาแค่อยากจะอธิบายว่าเขาได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอันใด อีก ก็มีมือเรียวยื่นออกมาข้างๆ เขา มือนั้นถือกองกระดาษยันต์สีเหลือง และยังมีขวดกระเบื้องอวบอ้วนอีกสองขวด

เป็นนาง…สาวน้อยในชุดสีแดงเพลิงที่มีกระบี่เล่มใหญ่สะพายอยู่ด้านหลัง

โหย่วฉินเสวียนหย่าหันไปมองและเอ่ยอย่างสงบเท่าที่จะทำได้ว่า “รับไปเถิดเจ้าค่ะ ถือเป็นการขออภัยศิษย์พี่ในเรื่องก่อนหน้านี้…”

ขณะกล่าวนั้นนางก็ดีดนิ้ว ใช้เวทที่เชี่ยวชาญส่งโอสถและยันต์ต่างๆ เข้าไปในมือของหลี่ฉางโซ่วโดยตรงทันที จากนั้นนางก็หันหลังกลับและเดินสำรวจไปตามแผงขายของข้างๆ ทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกขบขันเล็กน้อยขณะที่เขารับของจากนางโดยไม่เอ่ยวาจาใด

ภูเขาน้ำแข็งคนนี้ช่างไม่คู่ควรกับชื่อของนางเลยจริงๆ

…………………………………………………………………………………………………………………

[1] เต่าดำหรือเต่าเสวียน หรือเสวียนอู่ เป็นหนึ่งในสี่สัตว์เทพของจีน