บทที่ 18 กล้าเกินไป

ผู้อาวุโสผู้ทรงพลังแสร้งทำเป็นมนุษย์ และสัมผัสกับมนุษย์ทุกประเภทในโลก

นางเกือบจะพูดตรง ๆ ไปแล้วว่าอย่าแสร้งทำเป็นผู้เชี่ยวชาญไปหน่อยเลย ท่านไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ!

แต่นางไม่กล้าวิ่งไปตายหรอกนะ!

เกรงว่าหลังจากนางเอ่ยคำเหล่านั้นจบ ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่คงตบนางถึงตาย!

วิฬาร์ขาวมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่โชคดีที่นางไม่เอ่ยคำใด ไม่เช่นนั้นนางคงตายสนิท!

“เจ้าแมวน้อยกินเร็วเข้า ไม่ต้องห่วง ยังมีอยู่ในหม้อ ข้าจะให้เจ้าอีกชาม”

เมื่อหลี่จิ่วเต้าเห็นว่าแมวขาวกินช้า เขาจึงวางชามอีกใบลงตรงหน้ามัน

“กินเสีย แล้วต่อไปก็อยู่กับข้านะ เดี๋ยวข้าไปหยิบโอสถให้ป้าหวังก่อน”

ชายหนุ่มลูบหัววิฬาร์ขาว ต้องบอกว่าขนของมันนั้นนุ่มลื่นและสัมผัสสบายยิ่ง

จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบโอสถ ออกจากร้านและไปส่งยาให้กับป้าหวังซึ่งอยู่ร้านข้าง ๆ

ก่อนหน้านี้ เขาแค่ดูแลป้าหวัง แต่ไม่ได้สั่งเทียบยาให้ ป้าหวังทำงานหนักเกินไป จำเป็นต้องพักฟื้น และโอสถที่เขาให้ป้าหวังนั้นก็เป็นยาสำหรับพักฟื้นโดยเฉพาะ

‘ข้านำสิ่งนี้ไปให้ท่านพ่อก่อนดีกว่า!’

เมื่อเห็นหลี่จิ่วเต้าออกไป วิฬาร์ขาวก็หยิบชามขึ้นมาและวิ่งออกจากร้านทันที

นางวิ่งไวมากและหายไปในทันที เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง นางก็อยู่ในภูเขาลึก ซึ่งห่างออกไปหลายพันลี้แล้ว

“สุ่ยเอ๋อร์ เจ้าไปอยู่ไหนมา! พ่อไม่ได้บอกเจ้าหรอกหรือว่าอย่าวิ่งไปมา แม้ว่าเราจะหนีมาทางบูรพาทิศแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ในอันตรายนัก!”

ภายในถ้ำภูเขาลึก มีวิฬาร์สีขาวตัวใหญ่นอนอยู่บนพื้น ลมหายใจของมันอ่อนแรงมาก ราวกับเทียนไขซึ่งสามารถดับได้ทุกเมื่อ

“ท่านพ่อ ข้าจะพูดเรื่องนี้ทีหลัง ท่านกินข้าวต้มชามนี้ก่อน!”

นางวางข้าวต้มไว้ในปากต่อหน้าวิฬาร์สีขาวตัวใหญ่

“ไปเอามาจากที่ใด!?”

วิฬาร์ขาวตัวใหญ่อุทาน พลังชีวิตที่มีอยู่ในข้าวต้มนั้นยากจะจินตนาการได้ เกรงว่าแม้แต่โอสถศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีพลังน่าอัศจรรย์เช่นนี้!

“ท่านพ่อ กินก่อนแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง!”

วิฬาร์สาวสีขาวเร่งเร้า

“ช่างดีจริง ๆ”

ชามนั้นไม่ใหญ่มาก และวิฬาร์ยักษ์ก็กินข้าวต้มในอึกเดียว

เพียงชั่วพริบตา ความอ่อนแอทั้งหมดก็หายไปและแสงเจิดจ้าก็ส่องประกายบนร่างของมัน มันแหงนหน้าคำราม ภูเขาและป่าไม้พลันสั่นสะเทือน นกกับสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนต่างกลัวจนวิ่งหนีตาย!

“นี่ นี่มัน…!”

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าตอนนี้กลับหายเป็นปกติดีในพริบตา?

เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

ต้องรู้เสียก่อนว่า เขาได้รับบาดเจ็บมาจากกาลก่อน และอาการบาดเจ็บนั้นก็ยากที่จะรักษาได้ โดยเฉพาะแผลเก่าที่ทำให้เขาบาดเจ็บถึงตาย!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่สามารถรักษาเขาได้ในทันที!

และเมื่อข้าวต้มหนึ่งชามลงไปในท้องของเขา เขาก็ฟื้นตัวทันที กระทั่งพลังยังกลับสู่จุดสูงสุดเช่นเดิม นี่จะให้เขาเชื่อได้อย่างไร มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว!

“ท่านพ่อ ข้าได้พบกับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่!”

ลั่วสุ่ย เด็กสาววิฬาร์ขาวได้เล่าย้อนไปถึงร่องรอยของเทพบรรพกาล และพบกับหลี่จิ่วเต้าเข้า จากนั้นก็เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้บิดาของตนเองฟัง

“เจ้ากล้าไล่ตามเทพบรรพกาลเลยหรือ จะหาญกล้าเกินไปแล้ว!”

บิดาของลั่วสุ่ย เป็นจักรพรรดิแห่งเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ เมื่อได้ยินสิ่งลูกสาวเล่าก็ให้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

แม้แต่ตอนที่เขาอยู่ในจุดสูงสุด เขาก็ยังกลัวเทพบรรพกาล นับประสาอะไรกับเหล่าทวยเทพมากมายที่เคลื่อนไหวด้วยกัน!

เขายังไม่กล้าแม้แต่จะไล่ตามเทพบรรพกาลมากมายขนาดนี้เลย!

“คำว่า ‘เต๋า’ บนแผ่นป้ายมีสัมผัสแห่งเต๋าสูงสุดที่แม้กระทั่งพ่อของเจ้ายังไม่อาจไปถึง แล้วเจ้ากล้าจะกระทำล่วงเกิน!”

เขาสูดอากาศเย็นเข้าไป ยิ่งฟังมากเท่าใดก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น โชคดีแล้วที่นางยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้!

“ใช้ชุดเครื่องครัวทองคำจักรพรรดิทำอาหารงั้นหรือ!?”

จักรพรรดิวิฬาร์อ้าปากค้าง รู้สึกว่าสิ่งที่ลั่วสุ่ยพูดเป็นเรื่องเพ้อฝัน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทรงอำนาจอันดับต้น ๆ ของเหยียนโจว ย่อมมีสิ่งที่รู้มาก แต่ไม่เคยได้ยินใครที่มีฝีมือยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน!

จักรพรรดิเก้าชั้นฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ครานั้นเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก และออกค้นหาสิ่งที่สามารถสร้างภาชนะของจักรพรรดิได้ แต่กลับพบมันเพียงชิ้นส่วนเล็ก ๆ ซึ่งไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเล็บมือเสียด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ ลั่วสุ่ยกลับบอกว่าเครื่องครัวทั้งชุด ไม่ว่าจะมีดทำครัว กระทะ ตะหลิว และอุปกรณ์ทำครัวอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนทำจากทองคำจักรพรรดิ แล้วเขาจะเชื่อได้อย่างไร!?

“เจ้ามองไม่ผิดแน่นะ!”

เขาอดไม่ได้ที่จะถามซ้ำอีกครั้ง

รู้ดีว่าลั่วสุ่ยไม่เอ่ยโกหกตนแน่นอน ทว่าสิ่งที่ลั่วสุ่ยเอ่ยนั้นเหลือเชื่อจนเขาเชื่อไม่ลง!

เด็กสาวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเอ่ยว่า “ท่านพ่อ สายเลือดเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ของเราเป็นที่นับถือ และร่างกายของเราก็มีสายเลือดแห่งหนึ่งในอสูรร้ายบรรพกาลทั้งสิบ ซึ่งก็คือสายเลือดพยัคฆ์ขาว แม้ว่าสายเลือดในร่างกายของเราจะเบาบางลงตลอดช่วงการสืบทอดที่ผ่านมา แต่พวกเราก็ไม่ได้อ่อนแอเสียหน่อย รากฐานของเรานั้นลึกซึ้ง เทียบได้กับของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยเชียวนะ!”

ย้อนกลับไปในช่วงยุคบรรพกาล พยัคฆ์ขาว หนึ่งในสิบอสูรร้ายได้รวมร่างกับสัตว์ร้ายมากมายเพื่อให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ต่อไป

จากนั้น เผ่าพันธุ์เหล่านี้ก็ถูกรวมเข้ากับเผ่าพันธุ์อื่น จนเผ่าพันธุ์ใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น

เผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดในภายหลัง และมีสายเลือดของพยัคฆ์ขาวในร่างกายไม่ถึงหนึ่งในหมื่น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์จะมีสายเลือดพยัคฆ์ขาวไม่ถึงหนึ่งในหมื่น แต่พวกมันก็ยังทรงพลังมาก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นเผ่าที่แข็งแกร่ง!

สิบอสูรบรรพกาล นี่คือการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แต่ละตนนั้นน่ากลัวยิ่ง ซ้ำยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิ เรียกได้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง!

ลั่วสุ่ยกล่าวต่อ “ท่านพ่อ ท่านก็ทราบดีว่าสุ่ยเอ๋อร์ชอบอ่านคัมภีร์โบราณ ในเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ของเราก็มีคัมภีร์โบราณอยู่หลายเล่ม และในคัมภีร์โบราณเหล่านี้ก็มีหลายเล่มที่ได้บันทึกเรื่องทองจักรพรรดิไว้…”

นางทำสีหน้าแปลก ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่เครื่องใช้ในครัวเหล่านั้นทำมาจากทองคำจักรพรรดิจริง ๆ และไม่ได้ผสมกับวัสดุอื่นด้วย มันทำด้วยทองจักรพรรดิทั้งหมด!”

ทองจักรพรรดินั้นหาได้ยากยิ่ง และแค่ชิ้นเล็ก ๆ ก็เพียงพอให้โลกสั่นสะเทือนแล้ว แต่ชุดเครื่องครัวนี้กลับทำจากทองจักรพรรดิทั้งหมด มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป!

“ในเรื่องนี้เจ้ารู้ดีกว่าพ่อจริง ๆ…”

จักรพรรดิวิฬาร์รู้ว่าลั่วสุ่ยชอบอ่านหนังสือโบราณ เด็กสาวรู้เรื่องของโบราณและสมบัติโบราณมากกว่าเขานัก

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา

ได้แต่ครุ่นคิดว่า ตนเป็นถึงผู้ทรงอำนาจอันดับต้นๆ ของเหยียนโจว เคยเห็นผู้ทรงพลังมามากมาย แต่เมื่อเทียบกับคนที่ลั่วสุ่ยกล่าวถึงแล้ว…เขาเป็นเพียงกบในก้นบ่อ และผู้มีอำนาจเหล่านั้นที่เขาเห็นก็เป็นเพียงขยะ ไม่ควรค่าให้เปรียบเทียบแต่อย่างใด!

“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเอ่ยแล้ว ข้าจะกลับแล้ว!” ลั่วสุ่ยว่า

จักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์หน้าเปลี่ยนสีทันที จำได้ว่าลั่วสุ่ยเคยบอกว่า คนคนนั้นต้องการรับลั่วสุ่ยไปเป็นสัตว์เลี้ยง…

“ไม่! เจ้าเป็นลูกสาวของพ่อ เป็นเจ้าหญิงแห่งเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ เจ้าจะไปเป็นสัตว์เลี้ยงได้อย่างไร!”

เขาพูดเสียงดัง

“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าด้วยขอบเขตของผู้อาวุโสท่านนั้น เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าข้าหนีออกจากร้านน่ะ?”

ลั่วสุ่ยยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยต่อ “ที่ข้าออกมาได้ ต้องเป็นเพราะผู้อาวุโสยินยอมต่างหาก และถ้าข้าไม่กลับไป ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะแน่…”

นางกระวนกระวายไม่น้อยเมื่อวิ่งออกจากร้าน แต่จนตอนนี้หาได้มีอะไรเกิดขึ้นไม่ นางจึงเข้าใจทันทีว่าผู้อาวุโสยอมปล่อยนางออกมา

ในยามนั้น นางรู้ตัวทันทีว่านางต้องกลับไป

ด้วยขอบเขตของผู้อาวุโส นางไม่อาจหลบหนีไปได้ และนางก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ด้วย!