“ชวีเสี่ยวปออย่ามาทำตัวหน้าไม่อายแถวนี้ !” นายผมเหลืองปากเหม็นคนนี้เอาชนะเขาไม่ได้ จากเมื่อครู่ที่พูดสองอยู่ประโยคตอนนี้ก็เลยเริ่มด่าขึ้นมาแล้ว

 

        “นายน่ะน่าจะโดนต่อยเบาไปหน่อย” ชวีเสี่ยวปอมองเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยาม ถ้าเทียบกับต้วนเหล่ยที่เผยความสารเลวออกมาโดยไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย เขานั้นยิ่งรำคาญการหาเรื่องโดยใช้คำพูดไร้สาระของนายผมเหลืองนั่นขึ้นไปอีก จะต่อยก็ต่อย พูดมากทำไมให้เปลืองน้ำลาย

 

        “ทั้งปากทั้งอารมณ์รุนแรงจริงๆ เลยนะ” ต้วนเหล่ยที่ยืนอยู่หลังพวกของเขาสี่ห้าคนแสร้งทำตัวเป็นลูกพี่ใหญ่ ในที่สุดก็เดินออกมาข้างหน้าและยืนแทนที่ของนายผมเหลืองนั่น หนังจากนั้นจึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “บังเอิญจังเลยนะ เจอกันอีกแล้ว”

 

        “นายป่วยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเกือบจะหัวเราะออกไป คำพูดแบบพวกกุ๊ยที่ต้วนเหล่ยไปฝึกมาช่างดูไม่เข้ากับตัวเขาเสียจริง “แถวนี้ก็มีร้านอินเทอร์เน็ตอยู่ร้านเดียว แล้วอะไรคือบังเอิญไม่บังเอิญ อ่อ หรือว่าจมูกดีหายดีแล้ว? ”

 

        จิตใต้สำนึกของต้วนเหล่ยที่ถูกสะกิดเข้าตรงบาดแผลจึงยกมือขึ้นมาแตะที่จมูก แต่เพียงชั่วครู่ก็รู้สึกตัวกลับมา พร้อมทั้งสะบัดมือออกอย่างหงุดหงิด หลังจากนั้นจึงตรงเข้ามาลงมือด้วยใบหน้าอันโกรธแค้น

 

        “ห้ามต่อยกันตรงนี้ !”

 

        ทันใดนั้นก็มีศีรษะชะโงกออกมาจากตรงเคาน์เตอร์ในร้านอินเทอร์เน็ต อันที่จริงเจ้าของร้านยืนฟังพวกเขาคุยกันมานานแล้ว และโดยปกติก็จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่แล้วทุกวัน ซึ่งพอรู้ว่าเป็นนักเรียนที่อยู่โรงเรียนแถวนี้เลยขี้เกียจที่จะสนใจ แต่จะมามีเรื่องกันในร้านไม่ได้เป็นอันขาด

 

        “ช่างกล้ามีเรื่องกันเสียจริง นี่ยังใส่ชุดนักเรียนกันอยู่เลย” เจ้าของร้านชี้ไปยังคนหนึ่งในพวกของต้วนเหล่ย คนที่ถูกชี้คนนั้นเลยรีบหันหน้าหนีแล้วเดินหลบออกไป เจ้าของร้านก็ไม่รู้ว่าเห็นจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นเห็น แล้วจึงตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เดี๋ยวจะให้ครูโรงเรียนพวกนายมารับตัวกลับไปให้หมดเลย !”

 

        คนกลุ่มนั้นจึงเดินออกจากร้านอินเทอร์เน็ตไป ชวีเสี่ยวปอเดินตามหลังออกมาพร้อมทั้งส่งข้อความหาซือจวิ้น วันนี้เห็นได้ชัดว่าต้วนเหล่ยไม่ได้มาดี ไอ้หลานชายคนนี้คงจะหาโอกาสชำระแค้นเขาได้ไม่ง่ายๆ เห็นทีว่าคงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการปะทะได้แล้วล่ะสิ

 

        “พอเรียนคาบแรกจบก็ไม่เห็นเขาแล้วงั้นเหรอ? ”

 

        โหยวเจียมองเซี่ยเจิงแบบไม่อยากจะเชื่อ ทว่าที่นั่งว่างด้านข้างเขาซึ่งบนโต๊ะมีเพียงหนังสือภาษาอังกฤษวางเอาไว้นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีเลยว่าที่เซี่ยเจิงพูดมาเป็นความจริง

 

        ถึงแม้ว่าระยะเวลาการทำงานของโหยวเจียยังไม่นานมากนัก แต่ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยเจอกับนักเรียนที่น่าปวดหัวมามาก น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่าพอเปิดเทอมชวีเสี่ยวปอก็จะนำเรื่องปวดหัวมาให้เธอเลย ถ้าหากไม่ได้ปรึกษากับคุณครูคนก่อนของชวีเสี่ยวปอ เธอก็คงสงสัยว่าชวีเสี่ยวปอกำลังตั้งใจแผลงฤทธิ์ใส่ตัวเองหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำให้เธอรับมือไม่ทันจริงๆ

 

        “แล้วเธอรู้ไหมว่าเขาไปไหน? ” โหยวเจียหยุดความคิดที่อยากจะยกมือขึ้นมานวดขมับเอาไว้ แล้วถามต่อออกไป

 

        “ไม่รู้ครับ” เซี่ยเจิงตอบออกไปในทันที

 

        “ไม่รู้จริงๆ เหรอ? ”

 

        “ครูคิดว่าเขาจะบอกผมเหรอครับ? ” เซี่ยเจิงตอบกลับไป

 

        โหยวเจียอึ้งกับคำถามของเซี่ยเจิงไปครู่หนึ่ง แล้วอีกสักพักหนึ่งถึงได้พูดออกมาครั้ง : “ถ้าเธอมีช่องทางติดต่อเขา ก็บอกเขาให้รีบกลับมาโรงเรียนเดี๋ยวนี้”

 

        ในตอนที่ซือจวิ้นรีบมาหาเขา ในตรอกซอยนั้นก็กลับสู่สภาพสงบเหมือนดังเดิม สงบมากจนเหลือเพียงชวีเสี่ยวปออยู่คนเดียว ดูไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเมื่อครู่มีคนมารุมมาตุ้มตีกันอยู่ตรงนี้ ดังนั้นเมื่อซือจวิ้นเห็นชวีเสี่ยวปอที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่กับพื้นตรงนั้น คนตัวสูงอยู่นิ่งๆ ท่าทางราวกับลูกบอลกลมๆ ก้อนหนึ่ง ซือจวิ้นพูดออกไปว่า “บ้าหน่า” แล้วจึงรีบวิ่งเข้าไป

 

        “ปอเอ๋อร์…”

 

         แต่เมื่อเดินใกล้เข้าไปกลับพบว่าชวีเสี่ยวปอกำลังผูกเชือกรองเท้าอยู่

 

        “พอแล้วปู่ ไม่ต้องเรียกอย่างน่าเวทนาขนาดนั้นก็ได้” ชวีเสี่ยวปอมองออกไปอย่างไม่ชอบใจนัก หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน พลางปัดฝุ่นตามตัวออก

 

        “บรรพบุรุษนายทำฉันตกใจหมดเลย” พูดออกมาได้ว่าเรื่องไม่ใหญ่ ซือจวิ้นที่กำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอก กลับถูกชวีเสี่ยวปอหันหน้ามาจิ๊ปากใส่

 

        ในขณะนั้นซือจวิ้นจึงเห็นว่าบนใบหน้าของชวีเสี่ยวปอมีบาดแผล และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากที่บวมเป่ง

 

        “โห ไอ้หน้าโง่ต้วนเหล่ยนี่ !” ซือจวิ้นละอายใจและรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ในใจก็รู้สึกเจ็บใจและเสียดายที่เมื่อครู่ไม่มาถึงให้เร็วกว่านี้สักหน่อย “ยังเจ็บตรงไหนอีกไหม? ”

 

        “ไม่เป็นไร” ชวีเสี่ยวปอกลัวท่าทางเช่นนั้นของเขาเป็นที่สุด จึงจับไหล่ของเขาไว้แล้วเขย่าเบาๆ “ต้วนเหล่ยเจ้าหลานนั่นมันขี้ขลาด ไม่กล้าเลยสักนิด ฝีมือก็งั้นๆ แต่ว่านายนั่นน่าจะต้องรักษาจมูกไปอีกสักพักเลยล่ะ”

 

        ทั้งสองคนเดินไปด้วยพลางด่าต้วนเหล่ยไปด้วย แล้วชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่ามือถือสั่นขึ้นมาหนึ่งที

 

        “ ? ”

 

        ถูกส่งมาจากวีแชทที่มีรูปโปรไฟล์สีดำ และชื่อก็ยังเป็นเลขมั่วๆ ที่อ่านไม่รู้เรื่อง

 

        ชวีเสี่ยวปอจึงหยุดเดิน แล้วกดดูโปรไฟล์ที่เป็นภาพสีดำนั่นอยู่หลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เจอเบาะแสอะไรเลย แล้วทำไมเขาถึงจำไม่ได้ว่าเซี่ยเจิงตอบรับคำขอเป็นเพื่อนของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

        ที่แท้นายนั่นใช้ไอดีนี้เองเหรอ?

 

        “ใครเหรอ? ”

 

        “หึ หึ” ชวีเสี่ยวปอยิ้มเยาะออกมา “เพื่อนร่วมโต๊ะฉันเอง”

 

        “เซี่ยเจิง? !” ซือจวิ้นคิดไม่ถึง “นายนั่นมีเรื่องอะไร? ”

 

        “ฉันก็อยากถามอยู่เหมือนกัน” แล้วชวีเสี่ยวปอก็รีบพิมพ์ตัวอักษรส่งไปอย่างรวดเร็ว

 

        มีเรื่องอะไร

 

        อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

 

        โหยวเจียถามหานาย

 

        “นี่เขาหมายความว่า? ” ซือจวิ้นที่คอยสังเกตการณ์มาตลอดทางคิดไม่ตกว่ามันเป็นเช่นไรกันแน่ “แจ้งข่าวงั้นเหรอ? ”

 

        “คงใช่มั้ง” ชวีเสี่ยวปอใช้มือทั้งสองข้างจับมือถือสลับไปมา แล้วถอนหายใจออกมา “ส่งปลาสเตอร์ยาให้ฉันหน่อย ดูท่าแล้วอีกเดี๋ยวต้องมีเรื่องวุ่นวายแน่ๆ ”

 

        และเป็นอย่างที่ชวีเสี่ยวปอคาดการณ์เอาไว้ โหยวเจียถึงขนาดกับไม่ให้โอกาสเขาได้พักหายใจเลย เพราะว่าชวีเสี่ยวปอเห็นเธอยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนมาแต่ไกล

 

        ราวกับเทพเฝ้าประตูอย่างไรอย่างนั้น

 

        ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่รู้ตัวว่าผิดและยืนตรงอย่างเรียบร้อย ทางฝั่งของโหยวเจียก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เธอกลับเดินดูรอบๆ ตัวของชวีเสี่ยวปอไปรอบหนึ่ง จากด้านหน้าไปด้านหลัง จากทางซ้ายไปทางขวา ราวกับอยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา

 

        “ครูครับ” ชวีเสี่ยวปอเริ่มพูดออกมาก่อน โดยปกติแล้วเขาใช้กลยุทธ์เช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง ก็คือการใช้คำพูดที่รุนแรงให้น้อยลงเพราะมันกระตุ้นอารมณ์โกรธของอีกฝ่ายได้ง่าย และทำให้พายุยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ทว่าโหยวเจียกลับเดินรอบๆ ตัวเขาด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา กลัวว่าวินาทีถัดมาเขาจะดึงผ้ายันต์ออกมาจากหน้าอก แล้วตะโกนมาที่ตัวเขาว่า “บังเกิดผลบัดเดี๋ยวนี้”…… “ครูเหนื่อยไหมครับ? ”

 

        โหยวเจียยังคงไม่พูดอะไรออกมา และจากนั้นเธอก็เดินรอบชวีเสี่ยวปออีกครั้งแต่เดินไปในทิศทางตรงกันข้าม

 

        เสร็จแล้ว ท่าทางแบบนี้จะปล่อยตัวเขาไปแล้วล่ะ

 

        แต่วินาทีถัดมาโหยวเจียก็ยื่นมือไปตรงหน้าของชวีเสี่ยวปอ แล้วดึงปลาสเตอร์ยาที่ติดอยู่ตรงมุมปากเขาออกจดหมดเกลี้ยง

 

        เจ็บๆ เจ็บๆ เจ็บๆ !

 

        เมื่อถูกดึงโดนบาดแผล ชวีเสี่ยวปอจึงทำหน้าตาบิดเบี้ยวออกมา

 

        “โดดเรียน ! เพิ่งจะเปิดเทอมก็โดดเรียน ! ฝีมือดีจริงๆ เลยนะชวีเสี่ยวปอ!” พอโหยวเจียเริ่มพูดก็พูดออกไปอย่างเย็นชา “อธิบายมาว่าเธอไปทำอะไรมาถึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้”

 

        “ถ้าผมบอกว่าตอนกินข้าวผมไปกัดโดน ครูจะเชื่อมั้ย” ชวีเสี่ยวปอพบว่าโหยวเจียคุยเล่นกับนักเรียนได้นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่ว่าเป็นคนหลอกยากนี่สิเป็นเรื่องจริง

 

        “ยังไปมีเรื่องอีก !” โหยวเจียโกรธจนเหลือที่จะทน จึงยื่นมือออกไปจิ้มที่หน้าผากของชวีเสี่ยวปอ แต่ว่าเธอตัวเตี้ยกว่า และชวีเสี่ยวปอก็สูงกว่าเธอมาก ท่าทางเช่นนี้จึงดูตลกไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากนั้นโหยวเจียก็เหมือนกับปืนกลที่เริ่มยิ่งออกไปอย่างไม่ยั้ง “เจ้าเด็กนี่ช่างก่อปัญหาเก่งจริงๆ! กับใครล่ะ? อยู่ชั้นมอไหน? เป็นนักเรียนของโรงเรียนเราหรือเปล่า? ”

 

        ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปแบบขายผ้าเอาหน้ารอด [1] พูดจริงสามคำ พูดโกหกเจ็ดประโยค คำพูดชุดเดิมๆ แบบนี้เขาฟังมามากพอแล้วและยังรู้สึกรำคาญมากด้วยเช่นกัน โหยวเจียถอนหายใจแล้วพูดว่าตัวเขาเองพูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าจริงๆ สุดท้ายแล้วชวีเสี่ยวปอก็ยังดื้อรั้นหัวแข็งไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอยู่แบบเดิม

 

        โหยวเจียรู้สึกปวดเข้าที่ขมับ มือหนึ่งจึงดันประตูห้องเรียนเข้าไป

 

        “เซี่ยเจิง! เธอออกมานี่หน่อย!”

       

………………………..

เชิงอรรถ

[1] ขายผ้าเอาหน้ารอด เป็นสำนวนไทย แปลว่าแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้รอดพ้นไป