“พวกเธอทั้งคู่ฟังเอาไว้ให้ดี”

 

        คนตัวสูงทั้งสองที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ทำให้โหยวเจียรู้สึกว่าตัวเองใช้งานกระดูกสันหลังที่ต้นคอหนักมาก

 

        “ก่อนหน้านี้ครูได้คุยกับเซี่ยเจิงแล้ว” โหยวเจียมองไปที่ชวีเสี่ยวปอ “คะแนนของเขาดีกว่าของเธอมาก ครูหวังว่ามันจะสามารถกระตุ้นแรงจูงใจในการเรียนของเธอได้ อีกอย่างหนึ่งทำไมครูต้องบังคับให้เธอสองคนมานั่งด้วยกัน อันดับแรกเป็นเพราะว่าครูไม่ได้มองว่าพวกเธอสองคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่ ดังนั้นครูจึงยิ่งหวังขึ้นไปอีกว่าพวกเธอจะสามารถจัดการความขัดแย้งนี้ให้เรียบร้อยได้อย่างคนที่โตแล้วเขาทำกัน และสิ่งที่ครูอยากเห็นมากที่สุดก็คือการที่พวกเธอได้เจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน”

 

        “เซี่ยเจิง” หลังจากที่โหยวเจียพูดจบเขาก็หันเปลี่ยนเป้าหมายไปอีกทาง “ครูจะให้หน้าที่ใหม่กับเธอ”

 

        “ครับ” เซี่ยเจิงตอบรับอย่างสุขุม

 

        “คุมชวีเสี่ยวปอไว้ ห้ามไม่ให้เขาโดดเรียน”

 

        “ครูนี่ผมมาเรียนนะครับ ไม่ได้มาติดคุก” พอชวีเสี่ยวปอได้ยินก็ร้อนใจขึ้นมาทันที ยังไงซะเขาก็รู้สึกว่าเงื่อนไขนี้มันมากเกินไป แต่ทำไมเซี่ยเจิงกลับไม่มีท่าทีอะไรเลยล่ะ?

 

        “นี่เธอยังรู้ว่าเธอมาเรียนด้วยเหรอ !” เสียงตะโกนของโหยวเจียเหมือนจะดังขึ้นกว่าเมื่อครู่เป็นเท่าตัว “ถ้าอย่างนั้นเธอก็อธิบายมาให้ดีๆ ว่าวันนี้เธอไปทำอะไรมา! ได้เข้าเรียนไหม? ”

 

        “แต่จะให้เขามาเฝ้าติดตามผมแบบนั้นก็ไม่ได้นะครับ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่ยุติธรรมสุดๆ

 

        “ควบคุม ไม่ใช่เฝ้าติดตาม” โหยวเจียแก้คำที่ชวีเสี่ยวปอพูดผิดให้ถูกต้อง “ครูจะบอกอะไรเธอให้ การตั้งใจเรียนมันคือสิ่งที่นักเรียนทุกคนต้องทำ แค่เธอต้องให้คนอื่นมาควบคุมแบบนี้มันก็น่าอายมากพอแล้ว! ทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระให้เซี่ยเจิงอีก เธอต้องขอบคุณเขาสิถึงจะถูก!”

 

        ขอบคุณเขางั้นเหรอ? !

 

        ชวีเสี่ยวปอแอบชำเลืองมองไปยังเซี่ยเจิงที่ยืนตรงอยู่ข้างๆ แล้วก็แอบกลอกตาใส่เขาในใจ

 

        ยิ่งเซี่ยเจิงทำตัวนิ่งเงียบมากเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอก็ยิ่งโมโหขึ้นมากเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าเด็กเรียนทุกคนที่เหมือนกับเซี่ยเจิงนั้นล้วนเปล่งแสงประกายในสายตาของคุณครูหรือเปล่า ทว่าในสายตาของชวีเสี่ยวปอแล้ว นี่มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเซี่ยเจิงอย่างแน่นอน

 

        “โอเค วันนี้พอแค่นี้ก่อน”

 

        โหยวเจียพูดสิ่งที่ต้องการจะพูดออกไปหมดแล้ว จึงปล่อยทั้งสองคนเข้าห้องเรียนไปในที่สุด

 

        และแน่นอนว่าชวีเสี่ยวปอกำลังอารมณ์ไม่ดี พอกลับเข้ามาในห้องชวีเสี่ยวปอก็นอนคว่ำหน้าลงบนโต๊ะ และไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกว่าตัวเองน่าจะพูดอะไรกับเซี่ยเจิงสักหน่อย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบอีกฝ่ายก็เงียบมาโดยตลอด เหมือนกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น จึงทำให้เขารู้สึกจุกอยู่ในลำคอ

 

        ในชั้นเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำนั้นเงียบสงัดมาก นอกจากเสียงพลิกหนังสือกับเสียงเขียนหนังสือแล้วก็ไม่มีเสียงใดใดเลย ชวีเสี่ยวปอที่นอนอยู่แบบนั้นมาสักพักแล้วจึงเริ่มรู้สึกเบื่อ และในที่สุดก็ลุกขึ้นมา เมื่อหันไปก็เห็นเซี่ยเจิงกำลังจดโน้ตอย่างเป็นระเบียบ

 

        มือของเซี่ยเจิงนั้นสวยมาก เขามีนิ้วมือที่เรียวยาว ข้อนิ้วถูกแบ่งอย่างชัดเจน ลักษณะจับปากกาก็ถูกต้องตามมาตรฐาน ไม่เหมือนคนที่เขียนหนังสือมาตลอดทั้งปี แต่ตรงนิ้วกลางมีตุ่มหนาที่เกิดจากการเสียดสีของปากกา ชวีเสี่ยวปอมอเซี่ยเจิงเขียนหนังสือบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า จนกระทั่งเขียนจนเต็มหน้ากระดาษ เซี่ยเจิงจึงวางปากกาลง เหยียดแขนและบิดขี้เกียจ ซึ่งท่าทางเหล่านั้นของเขาดูราวกับเป็นแมวขี้เกียจตัวใหญ่ตัวหนึ่ง

 

        “นี่ ฉันว่า” ชวีเสี่ยวปอยื่นนิ้วชี้ออกไปเคาะลงบนสมุดโน้ตของเซี่ยเจิง “นายคงจะไม่ทำตามที่ของโหยวเจียพูดจริงๆ หรอกใช่ไหม? ที่ให้เฝ้าติดตามฉันน่ะ”

 

        เซี่ยเจิงวางแขนลง “แล้วทำไมต้องไม่ทำด้วย? ”

 

        “บ้าเอ๊ย? ” ชวีเสี่ยวปอนึกไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงจะตอบมาแบบนั้น ใช่แล้วที่เซี่ยเจิงเป็นเด็กเรียน แต่คนที่ชวีเสี่ยวปอรู้จักนั้น ตัวตนที่เป็นเด็กเรียนของเขาไม่ได้มีผลกระทบต่อเขาคนที่ชอบใช้ความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย ชวีเสี่ยวปอคิดว่าเงื่อนไขเช่นนี้ของโหยวเจีย เซี่ยเจิงจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าเขาเองกลับคาดเดาผิดงั้นเหรอเนี่ย?

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอมองไปยังเซี่ยเจิงอีกครั้ง ก็มักจะรู้สึกว่าด้านข้างเหมือนจะมีระเบิดจับเวลานั่งอยู่

 

        ฉันคงจะไม่มีความสุขอีกต่อไป ในใจของชวีเสี่ยวปอพลันกดเล่นเพลง “วันสิ้นโลก” ให้กับตัวเอง

 

        “นายโดดเรียนไปทำอะไรมา? ” เซี่ยเจิงคลายคิ้วออก แอบให้เวลาตัวเองได้ผ่อนคลาย

 

        “เล่นเกม” ชวีเสี่ยวปอดูเฉาลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขาได้จำลองภาพเหตุการณ์เอาไว้หมดแล้ว ในตอนที่ตัวเองกำลังจะกระโดดขึ้นไปบนกำแพงเตี้ยๆ ของโรงเรียน และกำลังจะกระโดดลงไปยังด้านล่าง แต่แล้วผลสุดท้ายก็คือ พอยืนศีรษะออกไปก็เห็นเข้ากับโหยวเจียที่กำลังจ้องมองตัวเขาจากอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง แล้วบริเวณรอบข้างก็มืดลง หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอก็ส่งเสี่ยวอันน่าเวทนาออกมา แต่ขณะนั้นเองเซี่ยเจิงก็เดินออกมาพร้อมกับแสร้งทำท่าทางสังหารด้วยเช่นกัน : “โปรดเรียกข้าว่า นักสังหารคนโดดเรียน”

 

        นี่มันไร้สาระอะไรกันเนี่ย !

 

        ชวีเสี่ยวปอถูกหลุมดำในสมองของตัวเองทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนสุดจะทน

 

        “สนุกไหม? ” เซี่ยเจิงถามต่อออกไป

 

        คนคนนี้นี่แปลกจริงๆ แน่นอนว่าชวีเสี่ยวอยากพูดว่าสนุก แต่เขารู้สึกว่าคำถามนี้ของเซี่ยเจิงมันดูมีอะไรไม่ชอบมาพากล จะมีใครบ้างไม่เคยเล่นเกม! ถามเขาว่าสนุกไหมนี่หมายความว่ายังไง!

 

        “นายอยากถามอะไรกันแน่? ” ชวีเสี่ยวปอคิดว่าเซี่ยเจิงคงไม่ได้มีเจตนาดีอะไรแน่ ตั้งใจจะแกล้งเขาซะมากกว่า

 

        “นายดูพวกเขาสิ” เซี่ยเจิงยกคางขึ้น เหมือนเป็นสัญญาณให้ชวีเสี่ยวปอดูเพื่อนคนอื่นในชั้นเรียน ชวีเสี่ยวปอมองดูเพื่อนรอบๆ ห้องไปตามสายตาของเซี่ยเจิงหนึ่งรอบอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งยังไม่เห็นตรงไหนผิดปกติ

 

        เซี่ยเจิงจึงพูดต่อออกไปว่า “ถ้านายไปถามพวกเขา พวกเขาก็จะตอบว่าสนุก”

 

        ชวีเสี่ยวปอยิ่งฟังก็ยิ่งงงเข้าไปกันใหญ่ เลยพูดไปอย่างหมดความอดทนว่า : “นายพูดไร้สาระอะไรของนาย? จริงๆ แล้วนายต้องการจะพูดอะไรกันแน่? ”

 

        “แล้วนายว่าทำไมพวกเข้ายังนั่งอยู่ตรงนี้ ทำแบบฝึกหัดอย่างไม่จบไม่สิ้น แล้วก็ยังจดโน้ตพวกนี้อยู่อีกล่ะ? ” เซี่ยเจิงหันกลับมามองชวีเสี่ยวปอ ดวงตาของเขาเป็นประกาย  ไม่มีโอกาสชวีเสี่ยวปอได้หลบสายตานี้เลย

 

        “ฉัน…ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน” ชวีเสี่ยวปอถูกเซี่ยเจิงจ้องจนขาดความมั่นใจไป เมื่อเขาเปิดปากพูดจึงพูดติดอ่างออกมา แต่ชวีเสี่ยวปอก็รีบรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ทำไมเขาต้องมาก้มหน้าอยู่ต่อหน้าเซี่ยเจิงด้วย แล้วจึงโต้ตอบกลับไปว่า : “ก็พวกเขาไม่กล้าโดดเรียนไง”

 

        “นายคิดว่าการโดดเรียนเป็นเรื่องที่กล้าหาญอย่างนั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงกระตุกยิ้มมุมปาก ทำให้ชวีเสี่ยวปอคิดไปว่าเขากำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่

 

        “ฉัน……” ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันได้ตอบออกไป

 

        “นายโดดเรียนก็เพราะว่านายอ่อนแอ” เซี่ยเจิงพูดต่อออกไปโดยเน้นทุกตัวอักษรทุกคำพูด และในทุกตัวอักษรนั้นก็ไปปะทะเข้ากับหูของชวีเสี่ยวปอ “นายคิดว่านั่งในห้องเรียนมันน่าเบื่อ เพราะว่าที่จริงแล้วนายไม่ได้อยากเรียน แม้แต่ความคิดที่จะขยันตั้งใจเรียนของนายก็ไม่มี นายเลยละทิ้งความพยายามไป แต่การโดดเรียนกลับทำให้นายได้รู้สึกถึงความสำเร็จนั้นเพียงชั่วคราว แต่ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ ความรู้สึกของความสำเร็จมันไม่ได้เป็นแบบนี้ ความรู้สึกของความสำเร็จคือ ในขณะที่ทุกคนตรงนี้มาโรงเรียนตอนเช้าแล้วอยากจะระเบิดโรงเรียนให้เป็นจุณ แต่เมื่อมานั่งลงที่นี่แล้วก็ยังคงทำแบบฝึกหัดกันอย่าบ้าคลั่ง”

 

        “พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร” เซี่ยเจิงยกคิ้วขึ้น “แล้วนายล่ะ? ”

 

        ชวีเสี่ยวปอถูกเซี่ยเจิงถามจนพูดอะไรไม่ออก

 

        ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเซี่ยเจิงพูดถูกไหม แต่เขารู้เพียงว่าตอนนี้ในใจของเขานั้นกลัดกลุ้มมาก เซี่ยเจิงเหมือนจะพูดกับเขายาวขนาดนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าเซี่ยเจิงคนนี้ปากจะชอบพูดเรื่องไร้สาระอยู่ตลอด แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจฟังสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป

 

        ชวีเสี่ยวปออ้าปากขึ้นมา แต่แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป และสุดท้ายก็ยังทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า “นายยุ่งอะไรด้วย” เป็นการจบบทสนทนาของทั้งคู่

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่สบอารมณ์อยู่เช่นนี้จนกระทั่งหมดคาบเรียนด้วยตัวเองในภาคค่ำ แม้แต่ขนาดในระหว่างนั้นที่ซือจวิ้นจะมาชวนเขาให้ไปห้องน้ำด้วยกัน เขายังไม่อยากจะลุกขึ้นเลย จนทำให้ซือจวิ้นยืนมองเซี่ยเจิงอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ตั้งนานสองนาน ซึ่งที่จริงแล้วเมื่อครู่เขาก็เห็นทั้งสองคนพูดซุบซิบกันมาตลอด แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน

 

        “ปอเอ๋อร์ เร็วเข้าฉันรองข้างนอกนะ !” ซือจวิ้นเดินออกจากห้องเรียนไป

 

        “เห้ย” ตอนที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะเดินออกไป ก็ถูกเซี่ยเจิงมาสกัดเอาไว้ก่อน

 

        “อะไรอีก? ” ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้าง

 

        “ไม่อยากยุ่งกับนายหรอกนะ” เซี่ยเจิงพูดขึ้นเรียบๆ “แต่ว่าอย่าหาเรื่องให้ฉันเดือดร้อนก็แล้วกัน” พูดจบ เซี่ยเจิงก็ปรับสายกระเป๋านักเรียนแล้วเดินออกไป