“ใครสร้างปัญหาให้นายไม่ทราบ !” ชวีเสี่ยวปอตะโกนใส่หลังของเซี่ยเจิงด้วยความโกรธจัด แต่ก็ยังไม่สามารถระบายความโกรธลงได้ จึงตะโกนสุดเสียงออกไปอีกครั้งว่า : “อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย !”

 

        แต่แล้วเซี่ยงเจิงก็ทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา ทั้งยังเดินห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หายลับไปตรงปากทางลงบันได

 

        “บ้าเอ๊ย !” ชวีเสี่ยวปอกำมัดแน่น รู้สึกว่าตัวเองกำลังโมโหแต่ไม่มีที่ให้ระบาย จึงเดินไปยังที่นั่งของเซี่ยเจิงและถีบมันไปหนึ่งที จนที่นั่งของเขาเลื่อนออกไปพร้อมทั้งส่งเสียงแหลมดังออกมา ในขณะนั้นก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยหันมามองเขาด้วยความแปลกประหลาด ชวีเสี่ยวปอรู้สึกรำคาญเป็นที่สุด จึงคว้ากระเป๋าแล้วรีบเดินออกมา

 

        บางทีเขาน่าจะฟังชวีอี้เจี๋ยแล้วเลือกสายวิทย์ไปให้จบๆ ถ้าเลือกสายวิทย์ก็จะไม่ต้องถูกแบ่งห้องให้มาอยู่ห้องเดียวกับเซี่ยเจิง ถ้าเลือกสายวิทย์ก็จะไม่มีเรื่องรำคาญใจมาวุ่นวายอะไรมากมายเช่นนี้

 

        “ปอเอ๋อร์” ซือจวิ้นรู้สึกกังวลใจ “นายกับเซี่ยเจิงมีอะไรกันอีกล่ะ? ”

 

        “ฉันจะมีอะไรกับเขาได้ล่ะ” ชวีเสี่ยวปอเดินออกไปอย่างเงียบๆ แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาถามว่า “นายอยากเข้ามหาลัยไหนอ่ะ”

 

        “ฉันเหรอ? วิทยาลัยกีฬาแหละมั้ง” ซือจวิ้นผงะไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณว่า : “วิทยาลัยกีฬาเป่ย X ถ้าไม่เข้าวิทยาลัยกีฬาที่เล่นบาสมาหลายปีขนาดนี้ก็เสียเปล่าน่ะสิ? ทำไม่จู่ๆ ถึงถามขึ้นมาล่ะ? ”

 

        “ไม่มีอะไรหรอก” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

 

        “อย่าทำแบบนี้สิ” จู่ๆ ซือจวิ้นก็อยากรู้ขี้นมา “ก่อนหน้านี้นายไม่เคยถามถึงเลยนี่ ทำไม สนใจจะมาเข้าร่วมเกมส์การแข่งขันสอบเข้าของพวกเราเหรอ? ”

 

        “อะไรก็ไม่รู้ไร้สาระ ไม่สนใจ” ชวีเสี่ยวปอเบะปาก

 

        “ฉันก็ว่าอยู่แล้วล่ะ” ซือจวิ้นชกชวีเสี่ยวปอไปที่หนึ่ง “เกมส์การแข่งขันที่โหดร้ายไม่สนความเป็นความตายแบบนี้ คุณชายบ้านรวยท่านนี้ก็ปล่อยให้คนอย่างพวกเราเล่นกันไปเถอะ แล้วนายก็ไปเป็นเศรษฐีรุ่นที่สองอย่างสบายใจเถอะนะ”

 

        “ไปให้พ้น !” ชวีเสี่ยวปอยกแขนขึ้นมาเหนี่ยวคอของซือจวิ้นไว้ แล้วใช้แรงกดลงไปอยู่หลายทีจนทำให้เขาที่เริ่มจะมึนๆ ร้องโอ๊ยออกมาแล้วพูดว่า “ไว้ชีวิตข้าด้วย” ชวีเสี่ยวปอถึงยอมปล่อยเขาไป

 

        ทว่าในกลางดึกของวันนี้ คิดไม่ถึงว่าชวีเสี่ยวปอจะนอนไม่หลับ

 

        เขาถึงขนาดที่ว่าลุกขึ้นจากเตียงมายืนมองดวงจันทร์ที่ริมหน้าต่างสักพักหนึ่ง แล้วจึงกลับไปที่เตียงอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย

 

        นี่มันผิดปกติแล้วนะเนี่ย

 

        “นายก็ไปเป็นเศรษฐีรุ่นที่สองอย่างสบายใจเถอะนะ”

 

        คำพูดนี้ของซือจวิ้นจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาและสะเทือนเข้ากับสมองของชวีเสี่ยวปอจนทำให้รู้สึกวิ้งไปทีหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ทนไม่ไหวจนต้องใช้แรงพลิกตัวไปมาในความมืด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยสลัดความคิดที่ยิ่งพุ่งพลานขึ้นมาเรื่อยๆ นั้นได้เลย ตรงกันข้ามกลับชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

 

        ซือจวิ้นก็มีมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าแล้ว

 

        ชวีเสี่ยวปอลืมตาขึ้นมา แสงของดวงจันทร์ที่ดูราวกับเป็นระลอกคลื่นสาดส่องเข้ามายังกำแพงในห้องนอนของเขา ทั้งสว่างทั้งใสกระจ่าง เหมือนกับกำลังเตือนเขาว่า ในค่ำคืนเช่นนี้ไม่อาจมีใครมาร่วงรู้ความคิดในใจของเขาได้ แต่ถ้าหากมี คนคนนั้นก็คือตัวเขาเอง

 

        หรือว่าเซี่ยเจิงจะพูดถูก

 

        ทุกคนล้วนมีเป้าหมายของตัวเอง ล้วนมีสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ทว่าชวีเสี่ยวปอกลับไม่มี สิ่งเหล่านี้ทำให้ตัวเขารู้สึกรำคาญใจเป็นที่สุด คำพูดของเซี่ยเจิงเป็นเหมือนค้อนหนักที่ไม่มีความเกรงใจด้ามหนึ่ง ค่อยๆ ใช้แรงทุบไปยังกำแพงล้อมรอบอันผุพังของชวีเสี่ยวปอให้พังทลายลง แล้วเผยให้เห็นความอ่อนแอของเขา ไม่เพียงเท่านั้นยังโจมตีความมั่นใจของเขาด้วย

 

        ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอตื่นเช้ามาล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว ในขณะกำลังเดินลงไปทานอาหารเช้าด้านล่าง เวินลี่ที่ถือแก้วนมยืนอยู่หน้าห้องครัว ก็อึ้งไปสามสิบวินาทีโดยที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน

 

        จนกระทั่งเขานั่งลง ขยี้ตาพลางบ่นออกไปว่า : “แม่ครับผมหิวจะตายอยู่แล้ว” เวินลี่จึงได้รีบยกแก้วนมไปวางลงตรงหน้าเขาทันที : “วันนี้โรงเรียนมีกิจกรรม? ” ลูกสุดที่รักของเขาไม่ได้รอให้เขาไปยืนเคาะประตูสักห้านาที แต่กลับตื่นเอง? แทบจะแปลกยิ่งกว่าการที่เขาเล่นไพ่นกกระจอกแล้วชนะติดต่อกันสี่ตาเสียอีก

 

        “ไม่มีนะครับ” ชวีเสี่ยวปอยกนมครึ่งแก้วนั้นขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียว แล้วทำหน้าอย่างงงๆ

 

        “ดีมากเลย ดีมาก” เวินลี่พยักหน้า “ในที่สุดพอขึ้นมอห้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ ด้วย โตขึ้นแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วก็น่าจะดี รีบเข้านอนตื่นแต่เช้ามันก็ดีต่อร่างกายด้วย”

 

        “หยิบขนมปังให้ผมอีกแผ่นครับ” มุมปากของชวีเสี่ยวปอเลือดไม่ไหลแล้ว แต่ว่ายังรู้สึกเจ็บอยู่นิดหน่อย เมื่อเขากัดขนมปังจึงอดไม่ได้ที่จะทำท่าเจ็บปากออกมา ซึ่งเมื่อคืนเวินลี่ไม่ทันเห็น แต่ตอนนี้กลับสังเกตเห็นขึ้นมาแล้ว

 

        “ปากไปโดนอะไรมา? ” เวินลี่ที่เมื่อครู่ใบหน้ายังยิ้มแย้มสดใสอยู่ก็เปลี่ยนสีหน้าไปในชั่วขณะ “นี่ลูกไปมีเรื่องกับเพื่อนมาอีกแล้วเหรอ? ”

 

        “เปล่าครับ” ชวีเสี่ยวปอจับมือของเวินลี่ที่กำลังจะยื่นออกมาไว้แล้ววางเบาๆ ลงบนโต๊ะ “แม่ครับ แม่จะคิดถึงผมในทางที่ดีหน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ”

 

        “แม่ก็อยากคิดอยู่หรอก !” เวินลี่ตีไปที่มือของเขาอย่างไม่แรงมาก “งั้นลูกก็อธิบายมาว่าเกิดอะไรขึ้น? ”

 

        “ตอนเตะฟุตบอลลูกบอลมันมาโดนเข้าที่หน้าครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดโกหกออกไปมั่วๆ “แล้วอีกอย่างเพิ่งจะเปิดเทอมวันแรก ผมจะไปมีเรื่องกับใครได้ล่ะครับ !”

 

        “ก็ระวังตัวหน่อยสิ ! เด็กรุ่นนี้นี่นะ ไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาซะเลย แค่เตะบอลเองจะใช้แรงเยอะขนาดนั้นไปทำไมกัน” เวินลี่หลงกลเข้าแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดตำหนิออกมา

 

        “แม่ไม่เข้าใจหรอก เตะบอลก็ต้องใช้แรงสิครับ” ชวีเสี่ยวปอกลั้นขำ

 

        เวินลี่ดึงกระดาษทิชชูออกมากำลังจะเอื้อมไปเช็ดปากให้ชวีเสี่ยวปอ ทั้งยังกำชับไปว่า : “เล่นกับเพื่อนดีๆ อย่ามีเรื่องกัน ได้ยินไหม? ”

 

        “แม่เห็นผมเป็นเด็กสามขวบเหรอ? ผมไม่ได้จะไปเข้าโรงเรียนอนุบาลสักหน่อย” ชวีเสี่ยวปอรับกระดาษทิชชูมาจากมือของเวินลี่ แล้วเช็ดไปที่ปากอย่างลวกๆ สองครั้ง แต่เขากลับไม่รู้ว่าทำไมตอนที่เวินลี่พูดคำนี้ออกมา ภาพของเซี่ยเจิงก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา

 

        “เชี่ยเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอสะบัดศีรษะอย่างแรง รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนเขานอนไม่หลับหรือเปล่าเลยส่งผลให้ตอนนี้สมองของเขาไม่ปลอดโปร่งสักเท่าไหร่

 

        “พูดจาอะไรของลูกเนี่ย! ไอ้เด็กบ้านี่! ” คำหยาบเมื่อครู่นี้ถูกเวินลี่ได้ยินเข้าอย่างจัง โมโหจนยื่นมือออกไปทำท่าจะตี

 

        “ผมไปละๆ ผมไปละๆ ไปเรียนแล้วๆ ปู่พระอาทิตย์เรียกผมให้สะพายกระเป๋าแล้ว !” ชวีเสี่ยวปอรีบเผ่นหนีออกไปทันที

 

        ทว่าอารมณ์ดีชั่วครู่ของชวีเสี่ยวปอที่สามารถฮัมเพลงมาได้ตลอดทางกลับหายวับไปในทันที ขณะที่กำลังจะเดินเข้าห้องเรียนแล้วเห็นเข้ากับเซี่ยเจิง

 

        “สวัสดีตอนเช้านะเพื่อนร่วมโต๊ะสุดที่รัก วันนี้ก็เป็นอีกวันที่นายต้องเฝ้าติดตามฉัน” ชวีเสี่ยวปอเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นมาบนโต๊ะ จงใจพูดให้เซี่ยเจิงรู้สึกสะอิดสะเอียน

 

        เซี่ยเจิงไม่ได้มีท่าทีตอบโต้ใดใด นี่เป็นสิ่งที่ชวีเสี่ยวปอคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว แต่นอกจากนั้นแล้วสีหน้าของเซี่ยเจิงก็ดูแปลกประหลาดมาก ท่าทางของเขาดูเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

        “เป็นอะไร? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อย จึงหัวเราะออกไปฮ่าๆ “ถึงฉันจะเรียกนายว่าเพื่อนร่วมโต๊ะสุดที่รักนายก็ไม่ต้องทำท่าสะอิดสะเอียนถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง งั้นฉันเอาคำนั้นคืนก็ได้ พอใจยัง”

 

        “เรื่องของต้วนเหล่ย” เซี่ยเจิงส่ายหน้าไปมา “นายรู้หรือยัง? ”

 

        “หะ? รู้ว่าอะไร? ” แน่นอนว่าชวีเสี่ยวปอพูดออกได้ด้วยความงงงวย “หมอนั่นมันทำไม? ”

 

        “ถูกคนมาดักรอ” เซี่ยเจิงอธิบาย “เมื่อคืนนี้เอง ตรงท่าน้ำหลังโรงเรียน”

 

        “สมควร !” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมาเสียงดัง กำลังรู้สึกดีใจจากความโชคร้ายของเขา “เมื่อวานนายนั่นแพ้แล้ว? มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ? หมอนั่นชอบทำตัวกร่าง ไม่ว่าจะไปตรงไหนก็เจอ ฉันก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่ไม่ชอบหมอนั่น”

 

        “ไม่ใช่แค่แพ้” เซี่ยเจิงมองไปที่เขา ในดวงตาแฝงไปด้วยคำพูดที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง วินาทีถัดมารอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนหน้าของชวีเสี่ยวปอก็หุบลงทันที

 

        “นายนั่นโดนแทง ตอนนี้ยังอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย”